อรรถกถาสูตรที่ ๒ ประวัติพระอุรุเวลกัสสปเถระ
[เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 456
อรรถกถาสูตรที่ ๒
ประวัติพระอุรุเวลกัสสปเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 32]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 456
อรรถกถาสูตรที่ ๒
ประวัติพระอุรุเวลกัสสปเถระ
ในสูตรที่ ๒ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ด้วยบทว่า มหาปริสานํ ท่านแสดงว่า ท่านพระอุรุเวลกัสสปะ เป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้มีบริวารมาก จริงอยู่ พระเถระอื่นๆ บางกาลก็มีบริวารมาก บางกาลก็มีบริวารน้อย ส่วนพระเถระนี้กับน้องชายทั้งสอง มีบริวารประจำ เป็นสมณะถึงหนึ่งพันรูป บรรดาภิกษุชฎิลสามรูปนั้น เมื่อแต่ละรูปให้บรรพชาครั้งละรูป ก็จะเป็นสมณะสองพันรูป เมื่อให้บรรพชาครั้งละสองรูป ก็จะเป็นสมณะสามพันรูป เพราะฉะนั้น ท่านอุรุเวลกัสสปะ จึงเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้มีบริวารมาก. ก็คำว่ากัสสปะ เป็นโคตรของท่าน. ปรากฏชื่อว่า อุรุเวลกัสสปะ เพราะท่านบวชในอุรุเวลาเสนานิคม. ในปัญหากรรมของท่านมีเรื่องจะกล่าวตามลำดับ ดังนี้.
ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ แม้ท่านอุรุเวลกัสสปนี้ ก็ถือปฏิสนธิในเรือนสกุล ณ กรุงหงสวดี เจริญวัยแล้ว ฟังธรรมกถาของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวก ผู้มีบริษัทมาก คิดว่าแม้เราก็ควรจะเป็น เช่น ภิกษุรูปนี้ ในอนาคตกาล จึงถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ๗ วัน ให้ครองไตรจีวร ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ได้กระทำความปรารถนา ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวก ผู้มีบริษัท พระศาสดาทรงเห็นไม่มีอันตราย จึงทรงพยากรณ์
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 457
ว่า เขาจักเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้มีบริษัทมาก ในศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้า ในอนาคตกาล แล้วเสด็จกลับไป กุลบุตรแม้นั้น กระทำกัลยาณกรรมตลอดชีวิต เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ ในที่สุดกัปที่ ๙๒ ก็บังเกิดเป็นกนิษฐภาดาต่างมารดา ของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปุสสะ พระราชบิดา พระนามว่ามหินทรราชา. ท่านยังมีพี่น้องอื่นๆ อีกสององค์. พี่น้องทั้งสามองค์นั้น ได้ตำแหน่งองค์ละแผนกอย่างนี้ ทรงปราบปรามชนบทชายแดนที่ก่อกบฏ โดยนัยที่กล่าวแล้วในหนหลัง ทรงได้พรจากสำนักพระราชบิดา ทรงรับพรว่า พวกข้าพระองค์จักบำรุงพระทศพลตลอดไตรมาส ครั้งนั้น พี่น้องทั้งสามพระองค์ทรงดำริว่า พวกเราบำรุงพระทศพลกระทำให้เหมาะ จึงควรจึงแต่งตั้งอำมาตย์ผู้หนึ่งไว้ ในตำแหน่งเป็นผู้หารายได้ แต่งตั้งอำมาตย์ผู้หนึ่งเป็นผู้รับจ่าย แต่งตั้งอำมาตย์ผู้หนึ่ง ในตำแหน่งเป็นผู้เลี้ยงภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข สมาทานศีลสิบ สำหรับพระองค์รักษาสิกขาบททั้งหลาย ตลอดไตรมาส อำมาตย์ทั้งสามคนนั้น บังเกิดเป็นพิมพิสาระ วิสาขะ และรัฐปาละ ในพุทธุปบาทกาลนี้ โดยนัยที่กล่าวมาแล้วในหนหลัง ส่วนพระราชกุมารเหล่านั้น เมื่อพระทศพลอยู่จำพรรษา แล้วทรงบูชาด้วยปัจจัย ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง กระทำกัลยาณกรรมตลอดชีวิต บังเกิดในสกุลพราหมณ์ ก่อนพระทศพลของเรา ทรงอุบัติมีนามว่า กัสสปะ ทั้งสามคนตามโคตรของตน คนทั้งสามนั้นเจริญวัยแล้ว เรียนไตรเพท คนใหญ่ มีบริวารมาณพ ๕๐๐ คน คนกลาง ๓๐๐ คนคนเล็ก ๒๐๐ คน. ทั้งสามพี่น้อง ตรวจดูสาระในคัมภีร์ (ไตรเพท) เห็นแต่ประโยชน์ส่วนปัจจุบันเท่านั้น ไม่เห็นประโยชน์ส่วนภายภาคหน้า พี่ชายคนใหญ่ไปยังตำบลอุรุเวลา บวชเป็นฤษีพร้อมกับบริวารของตน
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 458
ชื่อว่า อุรุเวลกัสสปะ. คนกลางไปบวชที่คุ้งมหาคงคานที ชื่อว่า นทีกัสสปะ. คนเล็กไปบวชที่คยาสีสประเทศ ชื่อว่า คยากัสสปะ.
เมื่อกัสสปะพี่น้องบวชเป็นฤษีอยู่ ณ ที่นั้น ล่วงวันไปเป็นอันมาก พระโพธิสัตว์ของเรา เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงได้พระสัพพัญญุตญาณ ประกาศพระธรรมจักรตามลำดับ ทรงสถาปนาพระปัญจวัคคียเถระไว้ ในพระอรหัต ทรงแนะนำสหาย ๕๕ คน มียศกุลบุตรเป็นหัวหน้า ทรงส่งพระอรหันต์ ๖๐ องค์ ให้จาริกไปเพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก ด้วยพระดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงจาริกไปดังนี้ เป็นต้น ทรงแนะนำพวกภัททวัคคีย์ แล้วทรงเห็นเหตุแห่งอุรุเวลกัสสปะ ก็ทรงทราบว่า เมื่อเราไปสามพี่น้องพร้อมบริวาร จักบรรลุพระอรหัต ลำพังพระองค์เดียวไม่มีเพื่อน เสด็จถึงที่อยู่ของอุรุเวลกัสสปะ ทรงขอเรือนไฟเพื่อประทับอยู่ ทรงแนะนำอุรุเวลกัสสปะพร้อมด้วยบริวาร ตั้งต้นแต่ทรงทรมานงู ซึ่งอยู่ในเรือนไฟนั้น ด้วยปาฏิหาริย์ทั้งหลาย เป็นจำนวนถึง ๓,๕๐๐ อย่าง แล้วทรงให้บวช น้องชายอีกสองคนรู้ว่าพี่ชายบวช ก็มาบวชพร้อมด้วยบริวาร เหล่าชฎิลทั้งหมด เป็นเอหิภิกขุ ทรงบาตรและจีวรสำเร็จมาแต่ฤทธิ์. พระศาสดาทรงพาสมณะ ๑,๐๐๐ รูปนั้นไปยังคยาสีสประเทศ ประทับนั่งบนหลังแผ่นหิน ทรงตรวจดูว่า คนเหล่านี้บวชบำเรอไฟ ควรจะแสดงภพทั้งสาม ให้เป็นเสมือนเรือนไฟไหม้แก่คนเหล่านี้ จึงทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตร. จบเทศนา ก็บรรลุพระอรหัตหมดทุกรูป. พระศาสดามีภิกษุชฎิลเหล่านั้นแวดล้อม ทรงทราบถึงปฏิญญาที่ถวายไว้แด่พระเจ้าพิมพิสารตามลำดับเสด็จถึงพระราชอุทยานลัฏฐิวัน กรุงราชคฤห์ พระราชาทรงทราบว่าพระทศพลเสด็จมาถึงแล้ว ก็พร้อมด้วยพราหมณ์ และคฤหบดีสิบสองนหุต
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 459
เสด็จเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคับแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูบริษัททั้งหมด ทรงเห็นมหาชน ทำความนอบน้อมอุรุเวลกัสสปะ ทรงพระดำริว่า คนเหล่านี้ไม่รู้ว่า เราหรือกัสสปะเป็นใหญ่ ขึ้นชื่อว่า เหล่าชนที่มีวิตก ไม่อาจรับเทศนาได้ จึงได้ประทานสัญญา (ณ) แก่พระเถระว่า กัสสปะ เธอจงตัดความวิตก ของเหล่าอุปัฏฐากของเธอเสีย. พระเถระรับพระดำรัสของพระศาสดาแล้ว ลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระศาสดา ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ เหาะขึ้นสู่อากาศประมาณชั่วต้นตาล แสดงฤทธิ์ต่างๆ ประกาศว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเป็นศาสดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นศาสดาของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เป็นสาวก แล้วลงมาถวายบังคมพระยุคลบาทพระทศพล โดยอุบายนั้น ครั้งที่ ๗ เหาะขึ้นสู่อากาศ ๗ ชั่วต้นตาล แล้วถวายบังคมพระยุคลบาทของพระทศพล นั่ง ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง. เวลานั้นมหาชน หมดวิตกในพระศาสดาว่า ท่านผู้นี้เป็นมหาสมณะในโลก. ลำดับนั้น พระศาสดาจึงทรงแสดงธรรมโปรด. จบเทศนา พระราชาพร้อมด้วยพราหมณ์ และคฤหบดีสิบเอ็ดนหุต ดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผล นหุตหนึ่งประกาศตนเป็นอุบาสก. ภิกษุจำนวนพันรูป บริวารของอุรุเวลกัสสปะเหล่านั้น คิดด้วยความคุ้นเคยของตนว่า กิจบรรพชิตของพวกเราถึงที่สุดแล้ว พวกเราจักไปภายนอกทำอะไร. จึงเที่ยวห้อมล้อมท่านพระอุรุเวลกัสสปะอย่างเดียว บรรดาภิกษุชฎิลทั้งสามนั้น เมื่อภิกษุชฎิลแต่ละองค์รับนิสสิตได้ครั้งละองค์ ก็เป็นสองพัน เมื่อรับได้ครั้งละสององค์ ก็เป็นสามพัน. ตั้งแต่นั้นมา นิสสิตของภิกษุชฎิลเหล่านั้น มีเท่าใด จะกล่าวถึงนิสสิตเท่านั้น ก็ควรแล.