พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

อรรถกถาสูตรที่ ๔ ประวัติพระพากุลเถระ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  16 ต.ค. 2564
หมายเลข  38370
อ่าน  501

[เล่มที่ 32] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 466

อรรถกถาสูตรที่ ๔

ประวัติพระพากุลเถระ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 32]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 2 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 466

อรรถกถาสูตรที่ ๔

ประวัติพระพากุลเถระ

ในสูตรที่ ๔ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

บทว่า อปฺปาพาธานํ ได้แก่ ผู้ไม่มีอาพาธ. บทว่า พากุโล ได้แก่ พระเถระได้ชื่ออย่างนี้ เพราะเจริญเติบโตมาในสกุลทั้งสอง ในปัญหากรรมของท่าน มีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับ ดังนี้.

ดังได้ยินมา ในอดีตกาล พระเถระนี้ ถือปฏิสนธิในสกุลพราหมณ์ ก่อนแต่พระทศพลพระนามว่า อโนมทัสสี ปลายอสงไขยกำไรแสนกัป นับแต่กัปนี้ เจริญวัยก็เรียนพระเวท มองไม่เห็นสาระในคัมภีร์ไตรเพท คิดว่าจักแสวงหาประโยชน์ ที่เป็นไปภายภาคหน้า จึงบวชเป็นฤษี ได้อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ ทำเวลาให้ล่วงไป ด้วยการเล่นฌาน สมัยนั้น พระอโนมทัสสีโพธิสัตว์ บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ มีหมู่พระอริยะแวดล้อมแล้ว เสด็จจาริกไป ดาบสฟังว่า พระรัตนะสามเกิดขึ้นแล้ว จึงไปสำนักพระศาสดาฟังธรรม จบเทศนา ก็ตั้งอยู่ในสรณะ แต่ไม่อาจละฐานะ (เพศ) ของตนได้ ท่านไปเฝ้าพระศาสดา และฟังธรรมเป็นครั้งคราว ต่อมา สมัยหนึ่งพระตถาคตเกิดโรคลมในพระอุทร. ดาบสมา เพื่อเฝ้าพระศาสดาทราบว่า พระศาสดาประชวรจึงถามว่า ท่านเจ้าข้า ประชวรเป็นโรคอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า เป็นโรคลมในพระอุทร จึงคิดว่า นี้เป็นเวลาทำบุญของเรา จึงไปยังเชิงเขา รวบรวมยาชนิดต่างๆ แล้วถวายพระเถระผู้อุปัฏฐาก ด้วยกล่าวว่า โปรดน้อมถวายยานี้ แด่พระศาสดา โรคลมใน

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 2 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 467

พระอุทรก็สงบ พร้อมกับการใช้ยา ดาบสนั้น ไปเฝ้าในเวลาที่พระศาสดาทรงผาสุก ทูลอย่างนี้ว่า ความผาสุกเกิดแก่พระตถาคต เพราะยาของข้าพระองค์นี้ อันใด ด้วยผลแห่งการถวายยาของข้าพระองค์นั้น ขอความเจ็บไข้ทางร่างกายแม้แต่เพียงถอนผม ก็จงอย่ามี ในภพที่ข้าพระองค์เกิดแล้ว เกิดเล่า. นี้เป็นกัลยาณกรรม ในอัตตภาพนั้นของท่าน ท่านจุติจากภพนั้น บังเกิดในพรหมโลก เวียนว่ายอยู่ในเทวดา และมนุษย์สิ้นอสงไขยหนึ่ง ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ถือปฏิสนธิในครอบครัว ณ กรุงหงสวดี เห็นพระศาสดา ทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวก ผู้มีอาพาธน้อย กระทำกุศลกรรมยิ่งยวดขึ้นไป ก็ปรารถนาตำแหน่งนั้น.

ท่านกระทำกุศลจนตลอดชีวิต เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ บังเกิดในครอบครัวพราหมณ์ ณ กรุงพันธุมวดี ก่อนพระทศพลพระนามว่า วิปัสสีบังเกิด บวชเป็นฤษีโดยนัยก่อน นั่นแล เป็นผู้ได้ฌานอาศัยอยู่เชิงเขา พระวิปัสสีโพธิสัตว์บรรลุพระสัพพัญญุตญาณ มีภิกษุหกล้านแปดแสนเป็นบริวาร ทรงอาศัยกรุงพันธุมวดี ทรงทำการสงเคราะห์พระมหาราชเจ้า ผู้พุทธบิดา แล้วประทับอยู่ ณ มิคทายวันอันเกษม ครั้งนั้น ดาบสนี้ทราบว่า พระทศพลบังเกิดในโลก จึงมาฟังธรรมกถาของพระศาสดา ตั้งอยู่ในสรณะ ไม่อาจละบรรพชาของตน แต่ก็มาอุปัฏฐากพระศาสดาเป็นครั้งคราว สมัยหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายเว้นพระศาสดา และพระอัครสาวกเกิดโรคที่ศีรษะ เพราะถูกลมของต้นไม้มีพิษ ที่ออกดอกสพรั่งในป่าหิมพานต์. ดาบสมาที่เฝ้าพระศาสดา พบภิกษุนั่งคลุมศีรษะ จึงถามว่า ท่านเจ้าข้า ภิกษุสงฆ์เป็นอะไร ภิกษุทั้งหลายตอบว่า ผู้มีอายุ เหล่าภิกษุเป็นโรคดอกไม้พิษ ดาบสคิดว่า

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 2 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 468

นี้เป็นเวลา ที่จะทำการขวนขวายทางกาย แก่ภิกษุสงฆ์ ให้บุญบังเกิดแก่เรา จึงเก็บยาชนิดต่างๆ ด้วยอำนาจของตน แล้วเอาประกอบเป็นยาถวาย โรคของภิกษุทุกรูปก็สงบไปทันที ดาบสนั้น ดำรงอยู่ชั่วอายุ ก็บังเกิดในพรหมโลก เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ เก้าสิบเอ็ดกัป ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ บังเกิดในกรุงพาราณสี ครองเรือนอยู่คิดว่า เรือนที่อยู่ของเราทรุดโทรม จำจักต้องไปชายแดน นำทัพพสัมภาระมาสร้างเรือน จึงไปกับพวกช่างไม้ พบวิหารใหญ่ใหญ่คร่ำคร่าในระหว่างทาง ก็คิดว่า การสร้างเรือนของเรายกไว้ก่อน การสร้างเรือนนั้น จักไม่ไปกับเรา แต่การไปด้วยกัน ช่วยกันทำอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน ควรอยู่ เขาให้พวกช่างไม้เหล่านั้น ถือทัพพสัมภาระ ให้สร้างโรงอุโบสถในวิหารนั้น ให้สร้างโรงฉัน โรงไฟ (ที่จงกรม) เรือนไฟกัปปิยกุฏิ (โรงพยาบาล) ที่พักกลางคืน และที่พักกลางวัน วัจจกุฏิ (ส้วม) จัดตั้งยาใช้และฉัน สำหรับภิกษุสงฆ์ไว้ทุกอย่าง.

เขากระทำกุศลจนตลอดชีวิต เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ พุทธันดรหนึ่ง ถือปฏิสนธิในเรือนเศรษฐี กรุงโกสัมพี ก่อนพระทศพลของเราบังเกิด ตั้งแต่วันที่เขาถือปฏิสนธิ สกุลเศรษฐีนั้น ก็ประสบลาภอันเลิศ ยศอันเลิศ ครั้งนั้น มารดาของเขาคลอดบุตรแล้ว คิดว่าเด็กคนนี้มีบุญ กระทำบุญไว้แต่ก่อน เป็นผู้ไม่มีโรค อายุยืน ยังดำรงอยู่ตลอดกาลเท่าใด ก็จักเป็นผู้ให้สมบัติแก่เรา ตลอดกาลเพียงนั้น ก็เด็กทั้งหลายที่อาบน้ำในแม่น้ำยมุนา ในวันเกิด นั่นแล ย่อมเป็นผู้ไม่มีโรค จึงส่งเด็กนั้นไปอาบน้ำ ท่านอาจารย์ผู้รจนา คัมภีร์มัชฌิมนิกาย กล่าวว่า นางให้อาบศีรษะในวันที่ ๕ แล้วส่งเด็กนั้นไปเล่นน้ำ ณ ที่นั้น เมื่อพี่เลี้ยงนางนม กำลังให้เด็กเล่นดำลง โผล่ขึ้น ปลาตัวหนึ่งเห็นเด็กนั้น

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 2 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 469

สำคัญว่าเหยื่อ ก็อ้าปากคาบเอาไป พี่เลี้ยงนางนม (ตกใจ) ก็ทิ้งเด็กหนีไป ปลาก็กลืนเด็กนั้น สัตว์มีบุญ ไม่ประสบทุกข์ ก็เหมือนเข้าห้องนอนแล้วนอน ด้วยเดชะบุญของเด็ก ปลาก็เหมือนกลืนภาชนะที่ร้อน ก็เร่าร้อน ก็ว่ายไปโดยเร็วถึง ๓๐ โยชน์ เข้าไปติดอวนของประมง ชาวกรุงพาราณสี ธรรมดาปลาใหญ่ติดอวนย่อมตาย แต่เดชะบุญของเด็ก ปลาตัวนี้พอเขาปลดจากอวนจึงตาย ประมงทั้งหลาย ได้ปลาตายย่อมชำแหละขาย ใช้คานหามไปทั้งตัว เที่ยวตระเวนไปในกรุง บอกว่าเอาทรัพย์มาพันหนึ่ง และให้ปลาตัวนี้ ใครๆ ก็ไม่ซื้อ.

ในกรุงนั้น มีสกุลเศรษฐีมีสมบัติ ๘๐ โกฏิ พวกประมงถึงใกล้ประตูเรือนสกุลเศรษฐีนั้น ถูกเศรษฐีถามว่า พวกท่านเอาอะไร จึงจะให้ จึงตอบว่า เอากหาปณะ พวกเขาให้กหาปณะแล้ว รับเอาปลาไป ภริยาเศรษฐี เล่นกับปลาในวันอื่นๆ แต่วันนั้น วางปลาไว้บนเขียง ชำแหละด้วยตนเอง ธรรมดาคนทั้งหลาย ย่อมชำระปลาทางท้องแต่ภริยาเศรษฐีนั้น ชำแหละทางข้างหลัง เห็นเด็กมีผิวดังทอง ในท้องปลา ก็ส่งเสียงลั่นว่า เราได้บุตรในท้องปลา จึงพาเด็กไปหาสามีในทันที นั้นเอง เศรษฐีก็ให้ตีกลองป่าวร้อง แล้วพาเด็กไปสำนักพระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่เทวะ ข้าพระบาทได้เด็กในท้องปลา ข้าพระบาทจะทำอย่างไร พระราชารับสั่งว่า เด็กนี้มีบุญ อยู่ในท้องปลา ก็ไม่มีโรคท่านจงเลี้ยงไว้ สกุลอีกสกุลหนึ่งได้ยินว่า เขาว่า สกุลเศรษฐีสกุลหนึ่ง ในกรุงพาราณสีได้เด็กในท้องปลา เศรษฐีสามีภริยานั้นก็ไปกรุงพาราณสี ลำดับนั้น มารดาของเด็กนั้น เห็นเด็กแต่งตัวเล่นหัวอยู่ ก็ถามว่า เด็กคนนี้ถูกใจจริงหนอ จึงบอกเรื่องนั้น มารดาอีกคนหนึ่งกล่าวว่า บุตรของเราน่ะ ถามว่า ท่านได้บุตรที่ไหน ตอบว่า ในท้องปลา

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 2 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 470

มารดาเดิมบอกว่า ก็ไม่ใช่บุตรของท่าน เป็นบุตรของเรา ถามว่า ท่านได้มาอย่างไร ตอบว่า เราอุ้มท้องมาถึง ๑๐ เดือน ครั้งนั้น เด็กกำลังเล่นน้ำในแม่น้ำ ปลาก็ฮุบเด็กไป มารดาอีกคนหนึ่งบอกว่า บุตรของท่าน คงจักเป็นปลาตัวอื่นฮุบเอาไป ส่วนเด็กคนนี้ เราได้ในท้องปลา แม่ทั้งสองฝ่ายก็พากันไปยังราชสกุล. พระราชาตัดสินว่า หญิงผู้นี้ไม่เป็นมารดามิอาจจะทำได้ เพราะอุ้มท้องมาถึง ๑๐ เดือน พวกประมงถึงจับปลาได้ ชื่อว่า จับได้แต่ภายนอก มีตับไตเป็นต้นก็ไม่มี แม้หญิงผู้นี้ไม่เป็นมารดา ก็ไม่อาจทำได้ เพราะได้เด็กในท้องปลา เพราะฉะนั้น เด็กจงเป็นทายาทของทั้งสองสกุล นับแต่นั้นมา สกุลทั้งสองก็ประสบลาภอันเลิศ ยศอันเลิศอย่างยิ่ง จึงพากันขนานนามท่านว่า พากุลกุมาร เพราะสกุลทั้งสองเลี้ยงให้เติบโต เมื่อท่านรู้ความแล้ว สกุลทั้งสองก็สร้างปราสาท ๓ หลัง ไว้ในนครทั้งสอง จัดนาฏกะ นักฟ้อนรำไว้ท่านอยู่ ๒ เดือนในนครหนึ่งๆ อยู่ครบ ๔ เดือนแล้ว เขาสร้างมณฑปไว้บนเรือขนาน ให้ท่านกับเหล่านาฏกะ ลงไปอยู่ในมณฑปนั้น ท่านเสวยสมบัติอยู่ก็ไปยังอีกนครหนึ่ง ๔ เดือน เหล่านาฏกะชาวนครออกไป ต้อนรับท่านด้วยคิดว่า ท่านจักมาครึ่งทาง ๒ เดือน แล้วห้อมล้อมท่าน นำไปยังนครของตนอีก ๒ เดือน เหล่านาฏกะอีกพวกหนึ่ง ก็กลับไปนครของตน ท่านอยู่ในนครนั้น ๒ เดือนแล้ว ก็ไปยังอีกนครหนึ่งโดยทำนองนั้น นั่นแล ท่านเสวยสมบัติอย่างนี้ ๘๐ ปีบริบูรณ์

สมัยนั้น พระโพธิสัตว์ของเรา ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ประกาศธรรมจักรอันประเสริฐ. เสด็จจาริกมาโดยลำดับ ถึงกรุงโกสัมพี พระมัชฌิมภาณกาจารย์ว่า กรุงพาราณสี แม้พากุลเศรษฐีสดับข่าวว่า พระทศพลเสด็จมาแล้ว จึงถือเอาของหอมและมาลัยไป

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 2 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 471

สำนักพระศาสดาฟังธรรม ได้ศรัทธาก็บวช ท่านเป็นปุถุชนอยู่ ๗ วัน อรุณวันที่ ๗ ก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ครั้งนั้น พวกหญิงแม่บ้าน ที่ท่านสร้างสมไว้ครั้งเป็นคฤหัสถ์ ในนครทั้งสอง ก็กลับไปเรือนสกุลของตน อยู่ในเรือนสกุลนั้น นั่นแหละ ทำจีวรส่งไปถวายพระเถระ ใช้สอยจีวรผืนหนึ่ง ที่ชาวกรุงโกสัมพีส่งไปถวาย ครึ่งเดือนจีวรผืนหนึ่ง ที่ชาวกรุงพาราณสีส่งไปถวาย ครึ่งเดือน โดยทำนองนี้ นี่แล ชาวนครก็นำจีวรแต่ชนิดสุดยอด ในนครทั้งสองมาถวายแด่พระเถระรูปเดียว พระเถระครองเรือน ๘๐ ปี อาพาธเจ็บป่วยไรๆ ก็มิได้มีตลอดกาล แม้เพียงใช้ ๒ นิ้วจับก้อนของหอมสูดดม ในปีที่ ๘๐ ก็เข้าบรรพชาโดยสะดวกดาย ท่านแม้บวชแล้ว อาพาธแม้เล็กน้อย หรือความขาดแคลนด้วยปัจจัย ๔ มิได้มีเลย แม้สมัยปรินิพพาน ในปัจฉิมกาล ท่านก็กล่าว พากุลสูตร ทั้งสิ้น โดยแสดงสุขที่เป็นทางกาย และทางใจของตน แก่อเจลกัสสปะ สหายเก่าครั้งเป็นคฤหัสถ์ แล้วก็ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ อัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่อง ตั้งขึ้นดังกล่าวมาฉะนี้ ส่วนพระศาสดาสถาปนาพระเถระทั้งหลายไว้ ในตำแหน่งต่างๆ ตามลำดับ ก็ทรงสถาปนาท่านพระพากุลเถระไว้ ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นยอดของภิกษุสาวก ผู้มีอาพาธน้อย ในพระศาสนานี้ ครั้งพระเถระยังมีชีวิต อยู่แล.

จบ อรรถกถาสูตรที่ ๔