๗. ชัปปสูตร ว่าด้วยผู้รับที่ทําให้ทานมีผลมาก
[เล่มที่ 34] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 227
ทุติยปัณณาสก์
พราหมณวรรคที่ ๑
๗. ชัปปสูตร
ว่าด้วยผู้รับที่ทําให้ทานมีผลมาก
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 34]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 227
๗. ชัปปสูตร
ว่าด้วยผู้รับที่ทำให้ทานมีผลมาก
[๔๙๗] ครั้งนั้น ปริพาชกวัจฉโคตร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ฯลฯ ปริพาชกวัจฉโคตร นั่ง ณ ที่ควรส่วนหนึ่งแล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระเจ้าได้ยินเขาว่า พระสมณโคดมตรัสอย่างนี้ว่า ทานควรให้แก่เราเท่านั้น ไม่ควรให้แก่คนอื่นๆ ควรให้แก่สาวกของเราเท่านั้น ไม่ควรให้แก่สาวกของคนอื่นๆ ทานที่ให้แก่เราเท่านั้นมีผลมาก ให้แก่คนอื่นๆ ไม่มีผลมาก ให้แก่สาวกของเราเท่านั้นมีผลมาก ให้แก่สาวกของคนอื่นๆ ไม่มีผลมาก ดังนี้ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 228
ชนเหล่าที่กล่าวว่า พระสมณโคดมตรัสว่า ทานควรให้แก่เราเท่านั้น ฯลฯ ให้แก่สาวกของคนอื่นๆ ไม่มีผลมาก ดังนี้ ชนเหล่านั้นกล่าวตามคำที่พระโคดมผู้เจริญได้ตรัสไว้จริงละหรือ เขาไม่ใส่ความพระโคดมผู้เจริญด้วยเรื่องอันไม่จริงละหรือ เขากล่าวแก้ธรรมสมควรแก่ธรรมละหรือ การถือตามถ้อยคำที่ชอบแก่เหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง จะไม่ตกอยู่ในฐานที่น่าตำหนิละหรือ ความจริง พวกข้าพระเจ้าไม่ประสงค์จะใส่ความพระโคดมผู้เจริญเลย
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า วัจฉะ ชนเหล่าที่กล่าวว่า พระสมณโคดมตรัสว่า ทานควรให้แก่เราเท่านั้น ฯลฯ ให้แก่สาวกของคนอื่นๆ ไม่มีผลมาก ดังนี้ ชนเหล่านั้นมิได้กล่าวตามคำที่เรากล่าว อนึ่ง ชนเหล่านั้นใส่ความเราด้วยเรื่องอันไม่มี ไม่เป็นจริง วัจฉะ ผู้ใดห้ามคนอื่นที่ให้ทาน ผู้นั้นชื่อว่าทำอันตรายต่อคน ๓ คน ทำร้ายต่อคน ๓ คน ๓ คนคือใคร คือ ทำอันตรายต่อบุญของทายก ทำอันตรายต่อลาภของปฏิคาหก อนึ่ง ตัวของผู้นั้นชื่อว่าถูกก่น (ขุดรากคือความดี) และถูกประหาร (ตายไปจากความดี) เสียก่อนแล้ว วัจฉะ ผู้ใดห้ามคนอื่นที่ให้ทาน ผู้นั้นชื่อว่าทำอันตรายต่อคน ๓ คน ทำร้ายต่อคน ๓ คนนี้
เราตถาคตกล่าวอย่างนี้ต่างหาก วัจฉะ ว่า แม้สัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในหลุมโสโครกหรือท่อโสโครก ผู้ใดเทน้ำล้างหม้อก็ดี น้ำล้างชามก็ดี ลงไปในหลุมและท่อโสโครกนั้น ด้วยเจตนาให้สัตว์ในนั้นได้เลี้ยงชีพ อย่างนี้ เราตถาคตยังกล่าวการได้บุญอันมีกิริยาที่ทำอย่างนั้นเป็นมูล จะกล่าวอะไร (ถึงการให้ทาน) ในผู้ที่เป็นมนุษย์เล่า
แต่นั่นแหละ วัจฉะ เราตถาคตกล่าวว่า ทานที่ให้แก่ผู้มีศีลมีผลมาก หาได้กล่าวอย่างนั้นในผู้ทุศีลไม่ และผู้มีศีลนั้นเป็นผู้ละองค์ ๕ ประกอบด้วย
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 229
องค์ ๕ ละองค์ ๕ คืออะไร คือ ละกามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ผู้มีศีลนั้นเป็นผู้ละองค์ ๕ นี้ ประกอบด้วยองค์ ๕ คืออะไร คือ ประกอบด้วยสีลขันธ์ (กองศีล) สมาธิขันธ์ (กองสมาธิ) ปัญญาขันธ์ (กองปัญญา) วิมุตติขันธ์ (กองวิมุตติ) วิมุตติญาณทัสสนขันธ์ (กองวิมุตติญาณทัสนะ) อันเป็นอเสขะ ผู้มีศีลนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้.
เราตถาคตกล่าวว่า ทานที่ให้ในผู้มีศีลที่ละองค์ ๕ ประกอบด้วยองค์ ๕ อย่างนี้ มีผลมาก
ในโคเมียทั้งหลาย เช่น แม่โคสีดำ สีขาว สีแดง สีเขียว สีด่าง สีปกติ หรือ สีนกพิราบก็ตาม โคผู้ ซึ่งฝึกแล้วเป็นโคทนงาน มีกำลัง ฝีเท้าดี ย่อมเกิดในแม่โคเหล่านั้นได้ทุกเหล่า คนทั้งหลายใช้มันในการหนักเท่านั้น หาได้พิถีพิถันสีของมันไม่
ฉันเดียวกันนั่นแล ในหมู่มนุษย์ ในชนชาติใดชาติหนึ่ง จะเป็นชาติกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร จัณฑาล หรือปุกกุสะ บุคคลผู้ซึ่งฝึกตนแล้ว มีพรตอันดี ตั้งอยู่ในธรรม ถึงพร้อมด้วยศีล พูดเป็นสัจ มีใจประกอบด้วยหิริ ละชาติและมรณะแล้ว จบพรหมจรรย์แล้ว ปลงของหนักแล้ว ปลอดโปร่งแล้ว เสร็จกิจ ไม่มี
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 230
อาสวะ ถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ดับกิเลสได้เพราะไม่ยึดถือแล้ว ย่อมเกิดในชาติเหล่านั้นได้ทุกชาติ ทักษิณาทานที่ให้ในบุคคลนั้นอันเป็นเนื้อนาที่ปราศจากโทษ ย่อมมีผลไพบูลย์
ส่วนคนเขลาทรามปัญญา มิได้สดับ ไม่รู้จัก (บุญเขต) ให้ทานไปภายนอก (เขต) ไม่เข้าใกล้สัตบุรุษทั้งหลายเลย
ฝ่ายคนเหล่าใดเข้าใกล้สัตบุรุษผู้มีปัญญา นับว่าเป็นปราชญ์ และศรัทธาของเขามีรากฐานมั่นคงในองค์พระสุคต คนเหล่านั้นย่อมไปเทวโลก มิฉะนั้น เกิดในสกุล ณ โลกนี้ ก็จะเป็นบัณฑิต ได้บรรลุพระนิพพานโดยลำดับ.
จบชัปปสูตรที่ ๗
อรรถกถาชัปปสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในชัปปสูตรที่ ๗ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า มหปฺผลํ แปลว่า มีผลมาก. ในบทว่า ธมฺมสฺส จ อนุธมฺมํ พฺยากโรนฺติ นี้ พึงทราบอธิบายดังต่อไปนี้ ถ้อยคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว ชื่อว่า พระธรรม. การตรัสทบทวนซึ่งข้อความที่ตรัสแล้ว ชื่อว่า อนุธรรม.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 231
บทว่า สหธมฺมิโก ได้แก่ พร้อมด้วยการณ์ พร้อมด้วยเหตุ. การถือตาม คือ การคล้อยตาม อธิบายว่า การประพฤติตามถ้อยคำ ชื่อว่า วาทานุปาตะ. บทว่า คารยฺหํ านํ ได้แก่ เหตุที่ควรตำหนิ. ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า การคล้อยตามถ้อยคำที่มีเหตุผลอันพระโคดมผู้เจริญตรัสไว้แล้ว ไม่น่าจะถึงเหตุที่ควรตำหนิไรๆ เลย. อีกอย่างหนึ่ง พราหมณ์ถามว่า การคล้อยตามพฤติการณ์ของวาทะที่มีเหตุซึ่งคนเหล่านั้นกล่าวแล้ว จะถึงเหตุที่น่าตำหนิอะไรๆ ไหม.
บทว่า อนฺตรายกโร โหติ ความว่า กระทำอันตราย คือ ความพินาศ คือ ให้ได้รับความลำบาก ได้แก่ ให้เกิดความเดือดร้อน. บทว่า ปาริปนฺถิโก ได้แก่ โจรที่ดักจี้ปล้นคนเดินทาง. บทว่า ขโต จ โหติ ได้แก่ ถูกขุด โดยขุดคุณความดีทิ้งไป. บทว่า อุปหโต ได้แก่ ถูกขจัด โดยการทำลายคุณงามความดี. บทว่า จนฺทนิกาย ได้แก่ ในบ่อน้ำโคลนที่ไม่สะอาด. บทว่า โอฬิคลฺเล ได้แก่ (ท่อ) ที่ยังไม่ได้ล้างโคลน. บทว่า โส จ ได้แก่ พระขีณาสพที่ท่านกล่าวไว้ว่า ท่านผู้มีศีลนั้น. บทว่า สีลกฺขนฺเธน แปลว่า ด้วยกองศีล. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ก็ปัจจเวกขณญาณ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า วิมุตติญาณทัสสนะ ในคำว่า วิมุตฺติาณทสฺสนกฺขนฺเธน นี้. ปัจจเวกขณญาณนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อเสขะ เพราะเป็นไปแล้วแก่พระอเสขะ. ญาณนอกนี้ แม้ตัวเองก็เป็นอเสกขะอยู่แล้ว เพราะบรรลุแล้วในที่สุดแห่งสิกขา. อีกทั้งญาณเหล่านั้นก็เป็นโลกุตระ ปัจจเวกขณญาณเป็นโลกิยะ.
บทว่า โรหิณึสุ ได้แก่ มีสีแดง. บทว่า สรูปาสุ ได้แก่ มีสีเสมอด้วยลูกโคของตน. บทว่า ปเรวตาสุ ได้แก่ มีสีเหมือนนกพิราบ. บทว่า
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 232
ทนฺโต ได้แก่ หมดพยศแล้ว. โคตัวผู้ชื่อว่า ปุงฺคโว. บทว่า โธรยฺ โห ได้แก่ โคใช้งาน. บทว่า กลฺยาณชวนิกฺกโม ได้แก่ ประกอบด้วยเชาว์ไว ไหวพริบดี คือ ซื่อตรง. บทว่า นาสฺส วณฺณํ ปริกฺขเร ความว่า ไม่สนใจถึงสีร่างกายของโคนั้น แต่สนใจเฉพาะงาน คือ การประกอบธุระของมันเท่านั้น.
บทว่า ยสฺมึ กิสฺมิญฺจิ ชาติเย ความว่า เกิดแล้วในตระกูลใดๆ บทว่า ยาสุ กาสุจิปิ เอตาสุ ได้แก่ ในกำเนิดอย่างใดอย่างหนึ่ง แยกประเภทเป็นกษัตริย์เป็นต้นเหล่านี้. บทว่า พฺรหฺมจริยสฺส เกวลี ความว่า ประกอบด้วยการอยู่จบพรหมจรรย์ อธิบายว่า ประกอบด้วยความเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยพรหมจรรย์. เพราะว่าพระขีณาสพ ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ทั้งสิ้น ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำนี้ไว้.
บทว่า ปนฺนภาโร ได้แก่ วางภาระแล้ว อธิบายว่า วางภาระคือขันธ์ ภาระคือกิเลส และภาระคือกามคุณลงได้แล้ว. บทว่า กตกิจฺโจ คือ กระทำกิจด้วยมรรคทั้ง ๔ เสร็จแล้ว. บทว่า ปารคู สพฺพธมฺมานํ ความว่า เบญจขันธ์ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ ตรัสเรียกว่า สรรพธรรม. ชื่อว่า ปารคู เพราะถึงฝั่ง ๖ อย่าง คือ ฝั่งคืออภิญญูา ๑ ฝั่งคือปหานะ ๑ ฝั่งคือฌาน ๑ ฝั่งคือภาวนา ๑ ฝั่งคือสัจฉิกิริยา ๑ ฝั่งคือสมาบัติ ๑ แห่งสรรพธรรมนั้น. บทว่า อนุปาทาย ได้แก่ ไม่ยึดถือ. บทว่า นิพฺพุโต ได้แก่ เว้นจากความเร่าร้อนเพราะกิเลส. บทว่า วิรเช ได้แก่ เว้นจากธุลี คือ ราคะ โทสะ และโมหะ.
บทว่า อวิชานนฺตา ได้แก่ ไม่รู้จักบุญเขต. บทว่า ทุมฺเมธา ได้แก่ ไม่มีปัญญา. บทว่า อสฺสุตาวิโน ได้แก่ เว้นจากการได้ยินข้อวินิจฉัยเกี่ยวกับบุญเขต. บทว่า พหิทฺธา ได้แก่ ภายนอกจากพระศาสนานี้. บทว่า
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 233
น หิ สนฺเต อุปาสเร ความว่า ไม่เข้าไปหาพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระขีณาสพทั้งหลายผู้เป็นบุรุษสูงสุด. บทว่า ธีรสมฺมเต ได้แก่ บัณฑิตยกย่องแล้ว ชมเชยแล้ว. ด้วยบทว่า มูลชาตา ปติฏฺิตา นี้ ทรงแสดงถึงศรัทธาของพระโสดาบัน. บทว่า กุเล วา อิธ ชายเร ความว่า หรือเกิดในตระกูลกษัตริย์ ตระกูลพราหมณ์ ตระกูลแพศย์ ในมนุษยโลกนี้. บุคุคลนี้นี่แหละชื่อว่า มีกุลสมบัติ ๓ ประการ. บทว่า อนุปุพฺเพน นิพฺพานํ อธิคจฺฉนฺติ ความว่า บำเพ็ญคุณธรรมเหล่านี้ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ให้สมบูรณ์ แล้วบรรลุพระนิพพาน ตามลำดับฉะนี้แล.
จบอรรถกาชัปปสูตรที่ ๗