พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๔. ปริสาสูตร ว่าด้วยบริษัท ๓ จําพวก

 
บ้านธัมมะ
วันที่  22 ต.ค. 2564
หมายเลข  38727
อ่าน  428

[เล่มที่ 34] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 481

ทุติยปัณณาสก์

โลณผลวรรคที่ ๕

๔. ปริสาสูตร

ว่าด้วยบริษัท ๓ จําพวก


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 34]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 22 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 481

๔. ปริสาสูตร

ว่าด้วยบริษัท ๓ จำพวก

[๕๓๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บริษัท ๓ นี้ บริษัท ๓ คืออะไร คือ (อคฺควตี ปริสา) บริษัทที่มีแต่คนดี (วคฺคา ปริสา) บริษัทที่เป็นพรรค (คือ แตกกัน) (สมคฺคา ปริสา) บริษัทที่สามัคคีกัน

บริษัทที่มีแต่คนดี เป็นอย่างไร? ในบริษัทใด ภิกษุผู้ใหญ่ๆ ไม่เป็นผู้สะสมบริขาร ไม่ย่อหย่อน (ในการบำเพ็ญสิกขา) ทอดธุระในทางต่ำทราม มุ่งไปในทางปวิเวก ปรารภความเพียรเพื่อถึงธรรมที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุธรรมที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง ปัจฉิมาชนตา (ประชุมชนผู้เกิดมาภายหลัง) ได้เยี่ยงอย่างภิกษุผู้ใหญ่เหล่านั้น ก็พากันเป็นผู้ไม่สะสมบริขาร ไม่ย่อหย่อน (ในการบำเพ็ญสิกขา) ฯลฯ เพื่อทำให้แจ้งซึ่งธรรมที่ยังมิได้ทำให้แจ้ง บริษัทนี้เรียกว่า บริษัทที่มีแต่คนดี

บริษัทที่เป็นพรรค เป็นอย่างไร? ในบริษัทใด ภิกษุทั้งหลายเกิดแก่งแย่งทะเลาะวิวาทกัน ทิ่มแทงกันและกันด้วยหอกคือปาก บริษัทนี้เรียกว่า บริษัทที่เป็นพรรค

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 22 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 482

บริษัทที่สามัคคีกัน เป็นอย่างไร? ในบริษัทใด ภิกษุทั้งหลายพร้อมเพรียงกัน ชื่นบานต่อกัน ไม่วิวาทกัน (กลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน) เป็นประหนึ่งว่านมประสมกับน้ำ มองดูกันและกันด้วยปิยจักษุ (คือ สายตาของคนที่รักใคร่กัน) บริษัทนี้เรียกว่า บริษัทที่สามัคคีกัน

ภิกษุทั้งหลาย ในสมัยใด ภิกษุทั้งหลายพร้อมเพรียงกัน ฯลฯ มองดูกันและกันด้วยปิยจักษุ ในสมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายย่อมได้บุญมาก ในสมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายชื่อว่าอยู่อย่างพรหม คือ อยู่ด้วยมุทิตา (พรหมวิหาร) อันเป็นเครื่องพ้นแห่งใจ (จากริษยา) ปีติย่อมเกิดแก่ผู้ปราโมทย์ยินดี กายของผู้มีใจปีติย่อมระงับ ผู้มีกายรำงับย่อมเสวยสุข จิตของผู้มีสุขย่อมเป็นสมาธิ

ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนเมื่อฝนเม็ดหนาตกบนภูเขา น้ำนั้นไหลไปตามที่ลุ่ม ยังซอกเขาและลำรางทางน้ำให้เต็ม ซอกเขาและลำรางทางน้ำเต็มแล้ว ย่อมยังหนองให้เต็ม หนองเต็มแล้ว ย่อมยังบึงให้เต็ม บึงเต็มแล้ว ย่อมยังคลองให้เต็ม คลองเต็มแล้ว ย่อมยังแม่น้ำให้เต็ม แม่น้ำเต็มแล้ว ย่อมยังทะเลให้เต็ม ฉันใดก็ดี ในสมัยใด ภิกษุทั้งหลายพร้อมเพรียงกัน ฯลฯ มองดูกันและกันด้วยปิยจักษุ ในสมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายย่อมได้บุญมาก ฯลฯ จิตของผู้มีสุขย่อมเป็นสมาธิ ฉันนั้นเหมือนกัน

ภิกษุทั้งหลาย นี้แล บริษัท ๓.

จบปริสาสูตรที่ ๔

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 22 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 483

อรรถกถาปริสาสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในปริสาสูตรที่ ๔ ดังต่อไปนี้ :-

บทว่า พาหุลฺลิกา น โหนฺติ ความว่า ไม่เป็นผู้มักมากด้วยปัจจัย. บทว่า น สาถลิกา คือ ไม่รับสิกขา ๓ ทำให้ย่อหย่อน. บทว่า โอกฺกมเน นิกฺขิตฺตธุรา ความว่า นิวรณ์ ๕ เรียกว่า โอกกมนะ เพราะหมายความว่า ทำให้ตกต่ำ (ภิกษุผู้เถระ) เป็นผู้ทอดทิ้งธุระในนิวรณ์ซึ่งทำให้ตกต่ำเหล่านั้น. บทว่า ปวิเวเก ปุพฺพงฺคมา ความว่า เป็นหัวหน้าในวิเวก ๓ อย่าง กล่าวคือ กายวิเวก จิตตวิเวก และอุปธิวิเวก. บทว่า วิริยํ อารภนฺติ ได้แก่ เริ่มความเพียรทั้ง ๒ อย่าง. บทว่า อปฺปตฺตสฺส ได้แก่ ไม่บรรลุคุณวิเศษ กล่าวคือ ฌาน วิปัสสนา มรรค และผล. แม้ในสองบทที่เหลือก็มีนัยนี้แล.

บทว่า ปจฺฉิมา ชนตา ได้แก่ ประชุมชนภายหลัง มีสัทธิวิหาริกและอันเตวาสิกเป็นต้น. บทว่า ทิฏฺานุคตึ อาปชฺชติ ความว่า ทำตามที่อุปัชฌาย์และอาจารย์ได้ทำมาแล้ว. ประชุมชนภายหลังนี้ ชื่อว่าถึงการดำเนินไปตามสิ่งที่ประชุมชนนั้นได้เห็นมาแล้วในอุปัชฌาย์อาจารย์. บทว่า อยํ วุจฺจติ ภิกฺขเว อคฺควตี ปริสา ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บริษัทนี้เรียกว่า บริษัทที่มีแต่คนดี.

บทว่า ภณฺฑนชาตา แปลว่า เกิดการบาดหมางกัน. บทว่า กลหชาตา แปลว่า เกิดการทะเลาะกัน ก็ส่วนเบื้องต้นของการทะเลาะกัน ชื่อว่าการบาดหมาง ในสูตรนี้. การล่วงเกินกันด้วยอำนาจ (ถึงขนาด) จับมือกันเป็นต้น ชื่อว่าการทะเลาะกัน. บทว่า วิวาทาปนฺนา ได้แก่ ถึงการ

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 22 เม.ย. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 484

ทุ่มเถียงกัน. บทว่า มุขสตฺตีหิ ความว่า วาจาที่หยาบคายเรียกว่า หอก คือ ปาก เพราะหมายความว่าทิ่มแทงคุณ (ภิกษุทั้งหลายทิ่มแทงกันและกัน) ด้วยหอก คือ ปากเหล่านั้น บทว่า วิตฺทนฺตา วิหรนฺติ คือ เที่ยวทิ่มแทงกัน.

บทว่า สมคฺคา แปลว่า พร้อมเพรียงกัน. บทว่า สมฺโมทมานา ได้แก่ มีความบันเทิงเป็นไปพร้อม. บทว่า ขีโรทกีภูตา ได้แก่ (เข้ากันได้) เป็นเหมือนน้ำกับน้ำนม. บทว่า ปิยจกฺขูหิ ได้แก่ ด้วยจักษุอันเจือด้วยเมตตาที่สงบเย็น.

บทว่า ปีติ ชายติ ได้แก่ ปีติ ๕ ชนิด เกิดขึ้น. บทว่า กาโย ปสฺสมฺภติ ความว่า ทั้งนามกาย ทั้งรูปกาย เป็นอันปราศจากความกระวนกระวาย. บทว่า ปสฺสทฺธกาโย ได้แก่ มีกายไม่กระสับกระส่าย. บทว่า สุขํ เวทิยติ ได้แก่ เสวยสุขทั้งทางกายและทางใจ. บทว่า สมาธิยติ ความว่า ก็จิต (ของภิกษุผู้มีความสุข) ย่อมตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์.

บทว่า ถุลฺลผุสิตเก ได้แก่ ฝนเม็ดใหญ่. ในบทว่า ปพฺพตกนฺทรปทรสาขา นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ ที่ชื่อว่า กันทระ ได้แก่ ส่วน (หนึ่ง) ของภูเขาที่ถูกน้ำซึ่งได้นามว่า กํ เซาะแล้ว คือ ทำลายแล้ว ที่ชาวโลกเรียกว่า นิตัมพะ (ไหล่เขา) บ้าง นทีนิกุญชะ (โตรกแม่น้ำ) บ้าง. ที่ชื่อว่า ปทระ ได้แก่ ภูมิประเทศที่แตกระแหง ในเมื่อฝนไม่ตกเป็นเวลาครึ่งเดือน. ที่ชื่อว่า สาขา ได้แก่ ลำรางเล็ก ทางสำหรับน้ำไหลไปสู่หนอง. ที่ชื่อว่า กุสุพฺภา ได้แก่ หนอง. ที่ชื่อว่า มหาโสพฺภา ได้แก่ บึง. ที่ชื่อว่า กุนฺนที ได้แก่ แม่น้ำน้อย. ที่ชื่อว่า มหานที ได้แก่ แม่น้ำใหญ่ มีแม่น้ำคงคาและยมุนาเป็นต้น.

จบอรรถกถาปริสาสูตรที่ ๔