พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑. ปฐมอุรุเวลสูตร ว่าด้วยคนไม่มีที่เคารพ ไม่มีที่ยําเกรง อยู่เป็นทุกข์

 
บ้านธัมมะ
วันที่  23 ต.ค. 2564
หมายเลข  38811
อ่าน  397

[เล่มที่ 35] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 52

ปฐมปัณณาสก์

อุรุเรลวรรคที่ ๓

๑. ปฐมอุรุเวลสูตร

ว่าด้วยคนไม่มีที่เคารพ ไม่มีที่ยําเกรง อยู่เป็นทุกข์


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 35]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 52

อุรุเรลวรรคที่ ๓

๑. ปฐมอุรุเวลสูตร

ว่าด้วยคนไม่มีที่เคารพไม่มีที่ยำเกรงอยู่เป็นทุกข์

[๒๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อครั้งแรกตรัสรู้ เราพักอยู่ที่ต้นอชปาลนิโครธ แทบฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลา เมื่อเราเร้นอยู่ในที่สงัด เกิดปริวิตกขึ้นว่า คนไม่มีที่เคารพ ไม่มีที่ยำเกรงอยู่เป็นทุกข์ เราจะพึงสักการะ เคารพ พึ่งพิงสมณะหรือพราหมณ์ผู้ใดอยู่เล่าหนอ เราตรองเห็นว่า เราจะพึงสักการะเคารพพึ่งพิงสมณะหรือพราหมณ์อื่นอยู่ ก็เพื่อทำสีลขันธ์ สมาธิขันธ์ ปัญญาขันธ์ วิมุตติขันธ์ ของเราที่ยังไม่บริบูรณ์ให้บริบูรณ์ ก็แต่ว่าเราไม่เห็นสมณะหรือพราหมณ์อื่น ที่ถึงพร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติยิ่งกว่าตนในโลกทั้งเทวโลก ทั้งมารโลก ทั้งพรหมโลก ในหมู่สัตว์ทั้งเทวดามนุษย์ ทั้งสมณพราหมณ์ ซึ่งเราจะพึงสักการะเคารพพึ่งพิงอยู่ได้ดังนี้แล้ว เราตกลงใจว่า อย่ากระนั้นเลย ธรรมใดที่เราตรัสรู้นี้ เราพึงสักการะเคารพพึ่งพิงธรรมนั้นอยู่เถิด.

ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นสหัมบดีพรหมรู้ความปริวิตกของเราด้วยใจ (ของตน) แล้ว หายไปจากพรหมโลกมาปรากฏตัวต่อหน้าเรา (รวดเร็ว) ประดุจบุรุษผู้มีกำลัง เหยียดแขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เยียด ฉะนั้น

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 53

ครั้นแล้วสหัมบดีพรหมทำผ้าห่มเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง คุกเข่าข้างขวาลงที่พื้นดิน ประคองอัญชลีตรงมาทางเรา กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้อที่ พระองค์ทรงตกลงพระหฤทัยนั้นถูกแล้ว ข้าแต่พระสุคตเจ้า ข้อที่พระองค์ ทรงตกลงพระหฤทัยนั้นชอบแล้ว พระอรหันตสัมมาสัมพุทธะแม้เหล่าใดที่มีมาแล้วในอดีตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้เหล่านั้น ก็ได้ทรงสักการะเคารพ พึ่งพิงพระธรรมอยู่เหมือนกัน พระอรหันตสัมมาสมพุทธะแม้เหล่าใดที่จักมีในอนาคตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้เหล่านั้น ก็จักทรงสักการะเคารพพึ่งพิงพระธรรมนั่นแลอยู่ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธะในกาลบัดนี้ ก็ขอจงทรงสักการะเคารพพึ่งพิงพระธรรมนั้นอยู่เถิด สหัมบดีพรหมได้กล่าวคำนี้แล้ว จึงกล่าวคำประพันธ์นี้ อีกว่า

พระสัมพุทธเจ้าเหล่าใดที่ล่วงไปแล้วก็ดี พระพุทธเจ้าเหล่าใดที่ยังไม่มาถึงก็ดี พระสัมพุธเจ้าพระองค์ใดผู้ยังความโศกของชนเป็นอันมากให้เสื่อมหายใน ปัจจุบันนี้ก็ดี พระพุทะเจ้าทั้งปวงนั้นเป็นผู้ทรงเคารพพระสัทธรรมแล้ว ทรงเคารพพระสัทธรรมอยู่ และจักทรงเคารพพระสัทธรรม นี่เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.

เพราะเหตุนั้นแล ผู้รักตน จำนงความเป็นใหญ่ ระลึกถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พึงเคารพพระสัทธรรมเถิด.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 54

ภิกษุทั้งหลาย สหัมบดีพรหมกล่าวคำประพันธ์นี้แล้วอภิวาทเราทำประทักษิณแล้วหายไปในที่นั้นแล

ครั้งนั้น เราแจ้งว่า พรหมวิงวอนและรู้ภาวะอันสมควรแก่ตนแล้ว ธรรมใดที่เราได้ตรัสรู้แล้ว เราก็สักการะเคารพพึ่งพิงธรรมนั้นอยู่มา ก็แต่ว่าเมื่อใด แม้สงฆ์ถึงพร้อมด้วยความใหญ่แล้ว เมื่อนั้นเราจะเคารพในสงฆ์ด้วย.

จมปฐมอุรุเวลสูตรที่ ๑

อรุเวลวรรควรรณนาที่ ๓

อรรถกถาอุรุเวลสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในอุรุเวลสูตรที่ ๑ แห่งวรรคที่ ๓ ดังต่อไปนี้ :-

บทว่า อุรุเวลา ในบทว่า อุรุเวลายํ นี้ ได้แก่เขตทรายกองใหญ่ อธิบายว่า ทรายกองใหญ่. อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นเนื้อความในข้อนี้อย่างนี้ว่า ทราบเรียกว่าอุรุ เขตแดนเรียกว่าเวลา. ทรายที่เขาขนมาเพราะละเมิดกติกาเป็นเหตุ ชื่อว่าอุรุเวลา. ได้ยินว่า ในอดีตกาล เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่ทรงอุบัติ กุลบุตรหมื่นคนบวชเป็นดาบสอยู่ในประเทศนั้น ในวันหนึ่ง ประชุมพร้อมกันแล้วได้ตั้งกติกากันว่า ชื่อว่ากายกรรม วจีกรรม ย่อมปรากฏแก่ชนเหล่าอื่นได้ ส่วนมโนกรรมไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น บุคคลใดตรึกถึงกามวิตก พยาบาทวิตก หรือวิหิงสาวิตก. บุคคลอื่นชื่อว่า จะตักเตือนบุคคลนั้นไม่มี บุคคลนั้นตักเตือนตนด้วยตนเองแล้ว เอาใบไม้ห่อทรายนำมาเกลี่ยลงในที่นี้. นี้จัดเป็นทัณฑกรรมของบุคคลนั้น. ตั้งแต่นั้นมา ผู้ใดตรึกวิตกเช่นนั้น ผู้นั้นเอาใบไม้ห่อทรายมาเกลี่ยลงในที่นั้น จึงเกิดเป็นกองทรายใหญ่ โดยลำดับในที่นั้น ด้วยประการฉะนี้ ต่อมา หมู่คนที่เกิดในภายหลัง จึงล้อมกองทรายใหญ่นั้น

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 55

ทำให้เป็นเจติยสถาน ท่านหมายถึงเจติยสถานนั้น จึงกล่าวว่า อุรุเวลาติ มหาเวลา มหาวาลิการาสีติ อตฺโถ ดังนี้ ท่านหมายถึงข้อนั้นเอง จึงกล่าวไว้ อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นเนื้อความในข้อนี้อย่างนี้ว่า ทรายเรียกว่า อุรุ เขตแดนเรียกว่าเวลา ทรายที่เขานำมาเพราะเหตุละเมิดกติกาเป็นเหตุชื่อ อุรุเวลา.

ด้วยบทว่า นชฺชา เนรญฺชราย ตีเร ทรงแสดงว่า เราอาศัยอุรุเวลคามพักอยู่ แทบฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา. บทว่า อชปาลนิโคฺรเธ ความว่า พวกคนเลี้ยงแพะนั่งบ้าง ยืนบ้าง ในร่มเงาของต้นนิโครธนั้น เพราะเหตุนั้นต้นนิโครธนั้น จึงเรียกว่า อชปาลนิโครธ. อธิบายว่า ภายใต้ต้นอชปาลนิโครธนั้น.

บทว่า ปมาภิสมฺพุทฺโธ ความว่า เป็นผู้ตรัสรู้ครั้งแรก. บทว่า อุทปาทิ ความว่า วิตกนี้เกิดในสัปดาห์ที่ ๕ ถามว่า เพราะเหตุไร จึงเกิดขึ้น. ตอบว่า เพราะเป็นอาจิณปฏิบัติ และอาเสวนปัจจัยชาติก่อนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ในเหตุข้อนั้น พึงนำติดติรชาดกมาแสดงเพื่อประกาศอาเสวนะ การส้องเสพในชาติก่อน ได้ยินว่า นกกระทา ลิง และช้าง เมื่ออยู่ในประเทศแห่งหนึ่ง จึงแสดงต้นไทรว่า บรรดาพวกเรา ผู้ใดเป็นผู้แก่ เราทั้งหลายจักเคารพในผู้นั้นอยู่. ทบทวนกันอยู่ว่า บรรดาพวกเราใครหนอเป็นผู้แก่. รู้ว่านกกระทาเป็นผู้แก่ จึงทำความอ่อนน้อมต่อนกกระทานั้น เป็นผู้พร้อมเพรียง ยินดีกะกันและกันอยู่. ก็ได้มีสวรรค์เป็นเบื้องหน้า. เทวดาผู้สถิตอยู่ ณ ต้นไม้ ทราบเหตุนั้น จึงกล่าวคาถานี้ว่า.

เย วุฑฺฒมปจายนฺติ นรา ธมฺมสฺส โกวิทา ทิฏฺเ ธมฺเม จ ปาสํสา สมฺปราเย จ สุคฺคติ

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 56

นรชนเหล่าใด ฉลาดในธรรม ย่อมอ่อนน้อมผู้ใหญ่ นรชนเหล่านั้นได้รับสรรเสริญในโลกนี้ และในสัมปรายภพ ก็มีสุคติ ดังนี้.

พระตถาคตแม้เกิดในกำเนิดอเหตุกดิรัจฉานอย่างนี้ ยังทรงชอบพระทัยการอยู่อย่างมีความเคารพ บัดนี้ เหตุไรจักไม่ทรงชอบพระทัยเล่า. บทว่า อคารโว คือเว้น ความเคารพในบุคคลอื่น. อธิบายว่า ไม่ตั้งใครไว้ในฐานะควรเคารพ. บทว่า อปฺปติสฺโส คือเว้น ความยำเกรง อธิบายว่า ไม่ทั้งใครไว้ในฐานะผู้ใหญ่. ในบทว่า สมณํ วา พฺรหฺมณํ วา นี้ ท่านประสงค์เอาสมณะและพราหมณ์ผู้สงบบาป และผู้ลอยบาปแล้วเท่านั้น.

บทว่า สกฺกตฺวา ครุกตฺวา ความว่า ทำสักการะและเข้าไปตั้งความเคารพ. ในบทว่า สเทวเก โลเก เป็นอาทิ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ สเทวกะ แปลว่า พร้อมกับเทวดาทั้งหลาย ก็บรรดามารและพรหมทั้งหลาย ที่ทรงถือเอาด้วยเทวศัพท์ในบทนี้ ชื่อว่า มาร ผู้มีอำนาจย่อมใช้อำนาจเหนือสัตว์ทั้งปวง ชื่อว่า ท้าวมหาพรหมผู้มีอานุภาพใหญ่ ย่อมแผ่แสงสว่างไปในหนึ่งจักรวาลด้วยนิ้วหนึ่ง ในสองจักรวาลด้วยสองนิ้ว ย่อมแผ่แสงสว่างไปในหมื่นจักรวาลด้วยนิ้วทั้ง ๑๐ จึงแยกตรัสว่า สมารเก สพฺรหฺมเก ด้วยดำริว่า ชนทั้งหลาย อย่าได้กล่าวว่าผู้นั้นเป็นผู้มีศีลสมบูรณ์กว่าด้วยศีลนี้. ชื่อว่า สมณะทั้งหลายก็เหมือนกันเป็นพหูสูต ด้วยอำนาจนิกายหนึ่งเป็นต้น มีศีลเป็นบัณฑิต. แม้พราหมณ์ทั้งหลาย เป็นพหูสูต ด้วยอำนาจวิชารู้พื้นที่เป็นต้น เป็นบัณฑิต จึงตรัสว่า สสฺสมณพฺราหฺมณิยา ปชาย ด้วยทรงดำริว่า ชนทั้งหลาย อย่าได้กล่าวว่าสมณะและพราหมณ์เหล่านั้นเป็นผู้มีศีล

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 57

สมบูรณ์กว่า ด้วยศีลนี้. ส่วนบทว่า สเทวมนุสฺสาย นี้ทรงถือเอาเพื่อทรงแสดงโดยสิ้นเชิง ครั้นทรงถือเอาแล้วจึงตรัส อนึ่ง ในคำนี้ สามบทแรกตรัสด้วยอำนาจโลก สองบทหลังตรัสด้วยอำนาจหมู่สัตว์. บทว่า สีลสมฺปนฺนตรํ ความว่า ผู้สมบูรณ์กว่า คือผู้ยิ่งกว่าด้วยศีล. ก็ในข้อนี้ ธรรม ๔ มีศีลเป็นต้น ตรัสทั้งโลกิยะทั้งโลกุตระ.

วิมุตติญาณทัสสนะ และปัจจเวกขณญาณ เป็นโลกิยะอย่างเดียว. บทว่า ปาตุรโหสิ ความว่า สหัมบดีพรหม คิดว่า พระศาสดานี้ เมื่อไม่ทรงเห็นผู้ที่ยิ่งกว่าพระองค์ด้วยศีลเป็นต้น ตั้งแต่อเวจีจนถึงภวัคคพรหม ทรงดำริว่า เราจักทำสักการะโลกุตรธรรม ๙ ที่เราแทงตลอดแล้วเข้าอาศัยอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงดำริถึงเหตุ ทรงดำริถึงประโยชน์ คุณวุฒิพิเศษจำเราจักไป ทำอุตสาหะให้เกิดแด่พระองค์ ดังนี้ จึงได้ปรากฏ ณ เบื้องพระพักตร์. อธิบายว่า ได้ยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์. ในบทว่า วิหํสุ วิหรนฺติ จ นี้พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ ผู้ใดพึงกล่าวว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นอันมาก แม้ในปัจจุบัน เพราะพระบาลีว่า วิหรนฺติ ดังนี้ ผู้นั้นพึงถูกคัดค้าน ด้วยบาลีนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้ ดังนี้. พึงแสดงความไม่มีพระพุทธะทั้งหลาย อื่นแก่ผู้นั้นด้วยสูตรทั้งหลายเป็นอาทิว่า

น เม อาจริโย อตฺถิ สทิโส เม น วิชฺชติ สเทวกสฺมึ โลกสฺมึ นตฺถิ เม ปฏิปุคฺคโล

เราไม่มีอาจารย์ ไม่มีคนเสมือนเรา คนที่จะเทียบเราไม่มีในโลก ทั้งเทวโลก.

บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าทุกพระองค์จึงทรงเคารพพระสัทธรรม บทว่า มหตฺตมภิกงฺขตา ความว่า ปรารถนาความ

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 58

เป็นใหญ่. บทว่า สรํ พุทฺธาน สาสนํ ความว่า เมื่อมาระลึกถึงศำสอน องพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. บทว่า ยโต แปลว่า ในกาลใด. บทว่า มหตฺเตน สมนฺนาคโต ความว่า แม้สงฆ์ประกอบด้วยความเป็นใหญ่ ๔ อย่างนี้ คือ ความเป็นใหญ่โดยเป็นรัตตัญญู รู้ราตรีนาน ๑ ความเป็นใหญ่โดยความไพบูลย์ ๑ ความเป็นใหญ่โดยพรหมจรรย์ ๑ ความเป็นใหญ่โดยความเป็นผู้เลิศด้วยลาภ ๑. บทว่า อถ เม สงฺเฆปิ คารโว ความว่า เมื่อนั้นเราก็เกิดความเคารพแม้ในสงฆ์. ถามว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทำความเคารพในสงฆ์ในเวลาไร ตอบว่า ในเวลาพระนางประชาบดีถวายผ้าคู่ จริงอยู่ ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อตรัสถึงผ้าคู่ ที่พระนางมหาปชาบดีน้อมเข้าไปถวายแด่พระองค์ว่า โคตมี พระนางจงถวายในสงฆ์เถิด เมื่อพระนางถวายในสงฆ์แล้ว ทั้งเราทั้งสงฆ์ก็จักเป็นอันพระนางบูชาแล้ว ชื่อว่าทรงทำความเคารพในสงฆ์.

จบอรรถกถาอุรุเวลสูตรที่ ๑