๘. ทุติยอัจฉริยสูตร ว่าด้วยความอัศจรรย์ ๔ ในพระตถาคตเจ้า
[เล่มที่ 35] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 339
ตติยปัณณาสก์
ภยวรรคที่ ๓
๘. ทุติยอัจฉริยสูตร
ว่าด้วยความอัศจรรย์ ๔ ในพระตถาคตเจ้า
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 35]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 339
๘. ทุติยอัจฉริยสูตร
ว่าด้วยความอัศจรรย์ ๔ ในพระตถาคตเจ้า
[๑๒๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความอัศจรรย์ไม่เคยมี ๔ ประการ ย่อมปรากฏ เพราะความปรากฏแห่งพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ ประการเป็นไฉน? ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หมู่สัตว์ผู้มีอาลัย (คือกามคุณ) เป็นที่รื่นรมย์ ยินดีในอาลัย บันเทิงในอาลัย เมื่อพระตถาคตแสดงธรรมอันหาความอาลัยมิได้อยู่ หมู่สัตว์นั้นย่อมฟังด้วยดี เงี่ยโสตสดับ ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึง
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 340
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมีข้อที่ ๑ ย่อมปรากฏ เพราะความปรากฏแห่งพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หมู่สัตว์ผู้มีมานะ (ความถือตัว) เป็นที่รื่นรมย์ ยินดีในมานะ บันเทิงในนานะ เมื่อพระตถาคตแสดงธรรมอันเป็นเครื่องปราบปรามมานะอยู่ หมู่สัตว์นั้นย่อมฟังด้วยดี เงี่ยโสตสดับ ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมีข้อที่ ๒ ย่อมปรากฏ เพราะความปรากฏแห่งพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หมู่สัตว์ผู้มีความไม่สงบเป็นที่รื่นรมย์ ยินดีแล้วในความไม่สงบ บันเทิงในความไม่สงบ เมื่อพระตถาคตแสดงธรรมอันกระทำความสงบอยู่. หมู่สัตว์นั้นย่อมฟังด้วยดี เงี่ยโสตสดับ ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นความอัศจรรย์ไม่เลยมีข้อที่ ๓ ย่อมปรากฏ เพราะ ความปรากฏแห่งพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หมู่สัตว์ผู้ตกอยู่ในอวิชชา เป็นผู้มืด ถูกอวิชชารัดรึงไว้ เมื่อพระตถาคตแสดงธรรมอันเป็นเครื่องปราบปรามอวิชชาอยู่ หมู่สัตว์นั้นย่อมฟังด้วยดี เงี่ยโสตสดับ ตั้งจิตเพื่อรู้ทั่วถึง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมีข้อที่ ๔ ย่อมปรากฏ เพราะความปรากฏแห่งพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความอัศจรรย์ไม่เคยมี ๔ ประการนี้ ย่อมปรากฏ เพราะความปรากฏแห่งพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า.
จบทุติยอัจฉริยสูตรที่ ๘
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 341
อรรถกถาทุติยอัจฉริยสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในทุติยอัจฉริยสูตรที่ ๘ ดังต่อไปนี้ :-
เบญจกามคุณหรือวัฏฏะทั้งสิ้น ชื่อว่า อาลัย เพราะอรรถว่า พึงถูกตัณหาและทิฏฐิยึดไว้. ชื่อว่า อารามะ เพราะเป็นที่ยินดี. อาลัยเป็นที่ยินดีของหมู่สัตว์นี้ เหตุนั้น หมู่สัตว์นี้จึงชื่ออาลยารามะมีอาลัยเป็นที่ยินดี.ชื่อว่า อาลยรตะเพราะยินดีแล้วในอาลัย. ชื่อว่าอาลยสัมมุทิตะ เพราะบันเทิงแล้วในอาลัย. บทว่า อนาลเย ธมฺเม ความว่า อริยธรรมอาศัยวิวัฏฏนิพพานที่ตรงกันข้ามกับอาลัย. บทว่า สุสฺสุสติ คือเป็นผู้ใคร่จะฟัง. บทว่า โสตํ โอทหติ แปลว่า เงี่ยโสต. บทว่า อญฺาจิตฺตํ อุปฏฺเปติ ความว่า เข้าไปตั้งจิต เพื่อจะรู้ทั่วถึงธรรม. บทว่า มาโน คือ ความสำคัญ หรือวัฏฏะทั้งสิ้นนั้นแล ชื่อว่ามานะ เพราะอรรถว่าหมู่สัตว์พึงสำคัญ. บทว่า มานวินเย ธมฺเม คือ ธรรมที่เป็นเครื่องกำจัดเสียซึ่งมานะ. ธรรมที่ตรงกันข้ามกับความสงบ ชื่อว่า อนุปสมณะหรือวัฏฏะนั่นเอง ชื่อว่าอนุปสมะ เพราะอรรถว่าไม่สงบแล้ว. บทว่า โอปสมิเก ได้แก่ ธรรมที่ทำความสงบคืออาศัยวิวัฏฏะคือนิพพาน. ชื่อว่า อวิชชาคตะ เพราะไปคือประกอบด้วยอวิชชา. ชื่อว่าอันธภูตะ เพราะเป็น ดุจคนตาบอด เพราะถูกกองมืดคืออวิชชาปกคลุมไว้. ชื่อว่าปรโยนัทธา เพราะ หุ้มไว้รอบด้าน. ในบทว่า อวิชฺชาวินเย พระอรหัตเรียกว่าธรรมเป็นเครื่องกำจัดอวิชชา เมื่อธรรมที่อาศัยธรรมเป็นเครื่องกำจัดอวิชชานั้น อันพระตถาคตแสดงอยู่. ในสูตรนี้ตรัสวัฏฏะไว้ ๔ ฐานะ ตรัสวิวัฏฏะไว้ ๔ ฐานะ ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถาทุติยอัจฉริยสูตรที่ ๘