๒. วิตถารสูตร ว่าด้วยปฏิปทา ๔
[เล่มที่ 35] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 386
จตุตถปัณณาสก์
ปฏิปทาวรรคที่ ๒
๒. วิตถารสูตร
ว่าด้วยปฏิปทา ๔
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 35]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 386
๒. วิตถารสูตร
ว่าด้วยปฏิปทา ๔
[๑๖๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทา ๔ นี้ ฯลฯ คือ
ทุกฺขา ปฏิปทา ทนฺธาภิญฺา ปฏิบัติลำบาก ทั้งรู้ได้ช้า
ทุกฺขา ปฏิปทา ขิปปาภิญฺา ปฏิบัติลำบาก แต่รู้ได้เร็ว
สุขา ปฏิปทา ทนฺธาภิญฺา ปฏิบัติสะดวก แต่รู้ได้ช้า
สุขา ปฏิปทา ขิปฺปาภิญฺา ปฏิบัติสะดวก ทั้งรู้ได้เร็ว
ปฏิบัติลำบาก ทั้งรู้ได้ช้าเป็นไฉน? บุคคลบางคนโดยปกติเป็นคนมีราคะกล้า ได้รับทุกขโทมนัสที่เกิดเพราะราคะเนืองๆ บ้าง โดยปกติเป็นคนมีโทสะกล้า ได้รับทุกขโทมนัสที่เกิดเพราะโทสะเนืองๆ บ้าง โดยปกติเป็นคนมีโมหะกล้า ได้รับทุกขโทมนัสที่เกิด เพราะโมหะเนืองๆ บ้าง อินทรีย์ ๕ คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ของเขาก็อ่อน เพราะอินทรีย์ ๕ นี้อ่อน เขาย่อมบรรลุอนันตริยคุณเพื่อความสิ้นอาสวะได้ช้า นี้เรียกว่า ปฏิบัติลำบาก ทั้งรู้ได้ช้า
ปฏิบัติลำบาก แต่รู้ได้เร็วเป็นไฉน? บุคคลบางคนโดยปกติเป็นคน มีราคะกล้า ได้รับทุกขโทมนัสที่เกิดเพราะราคะเนืองๆ บ้าง โดยปกติเป็นคนมีโทสะกล้า ได้รับทุกขโทมนัสที่เกิดเพราะโทสะเนืองๆ บ้าง โดยปกติเป็นคนมีโมหะกล้า ได้รับทุกขโทมนัสที่เกิดเพราะโมหะเนืองๆ บ้าง แต่อินทรีย์ ๕ คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ของเขาแก่กล้า เพราะอินทรีย์ ๕ นี้แก่กล้า เขาย่อมบรรลุอนันตริยคุณเพื่อความสิ้นอาสวะได้เร็ว นี้เรียกว่า ปฏิบัติลำบาก แต่รู้ได้เร็ว
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 387
ปฏิบัติสะดวก แต่รู้ได้ช้าเป็นไฉน? บุคคลบางคนโดยปกติ มิใช่เป็นคนมีราคะกล้า มิใคร่ได้รับทุกขโทมนัสที่เกิดเพราะราคะ มิใช่เป็นคนมีโทสะกล้า มิใคร่ได้รับทุกขโทมนัสที่เกิดเพราะโทสะ อนึ่ง โดยปกติมิใช่เป็นคนมีโมหะกล้า มิใคร่ได้รับทุกขโทมนัสที่เกิดเพราะโมหะ แต่อินทรีย์ ๕ คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ของเขาอ่อน เพราะอินทรีย์ ๕ นี้อ่อน เขาย่อมบรรลุอนันตริยคุณ เพื่อความสิ้นอาสวะได้ช้า นี้เรียกว่า ปฏิบัติสะดวก แต่รู้ได้ช้า
ปฏิบัติสะดวก ทั้งรู้ได้เร็วเป็นไฉน? บุคคลบางคนโดยปกติ มิใช่เป็นคนมีราคะกล้า มิใคร่ได้รับทุกขโทมนัสที่เกิดเพราะราคะ โดยปกติมิใช่เป็นคนมีโทสะกล้า มิใคร่ได้รับทุกขโทมนัสที่เกิดเพราะโทสะ อนึ่ง โดยปกติ มิใช่เป็นคนมีโมหะกล้า มิใคร่ได้รับทุกขโทมนัสที่เกิดเพราะโมหะ ทั้งอินทรีย์ ๕ คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ของเขาก็แก่กล้า เพราะอินทรีย์ ๕ นี้แก่กล้า เขาย่อมบรรลุอนันตริยคุณเพื่อความสิ้นอาสวะได้เร็ว นี้เรียกว่า ปฏิบัติสะดวก ทั้งได้รู้เร็ว
ภิกษุทั้งหลาย นี้แลปฏิปทา ๔.
จบวิตถารสูตรที่ ๒
อรรถกถาวิตถารสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในวิตถารสูตรที่ ๒ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า อภิกฺขณํ แปลว่าเนืองๆ. บทว่า อนนฺตริยํ ได้แก่ มรรคสมาธิอันให้ผลเป็นอนันตริยคุณ. บทว่า อาสวานํ ขยา ได้แก่
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 388
เพื่ออรหัตตผล. บทว่า ปญฺจินฺทฺริยานิ ได้แก่ อินทรีย์ ๕ อันมีวิปัสสนา เป็นที่ ๕. ก็ในบทว่า ปญฺินฺทฺริยํ นี้ ท่านประสงค์เอาวิปัสสนาปัญญา เท่านั้นว่า ปัญญินทรีย์. คำที่เหลือในสูตรนี้ง่ายทั้งนั้นโดยอำนาจ ที่ตรัสไว้แล้ว ในบาลี.
ก็กถาจำแนกปฏิปทาเหล่านี้มีดังนี้. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่เคยทำการยึดถือมาเบื้องต้น ย่อมลำบากในการกำหนดรูป ย่อมลำบากในการกำหนดอรูป ย่อมลำบากในการกำหนดปัจจัย ย่อมลำบากในกาลทั้งสาม ย่อมลำบากในมัคคามัคคะทางและมิใช่ทาง เมื่อลำบากในฐานะ ๕ อย่างนี้ ย่อมบรรลุวิปัสสนา ครั้นบรรลุวิปัสสนาแล้ว ก็ลำบากในวิปัสสนาญาณ ๙ เหล่านั้นคือ ในอุทยัพพยานุปัสสนาญาณ (ปรีชาคำนึงเห็นทั้งความเกิดและความดับ) ๑ ในภังคานุปัสสนาญาณ (ปรีชาคำนึงเห็นความดับ) ๑ ในภยตุปัฏฐานญาณ (ปรีชาคำนึงเห็นสังขารปรากฏเป็นของน่ากลัว) ๑ ในอาทีนวานุปัสสนาญาณ (ปรีชาคำนึงเห็นโทษ) ๑ ในนิพพิทานุปัสสนาญาณ (ปรีชาคำนึงถึงความเบื่อหน่าย) ๑ ในมุญจิตุกามยตาญาณ (ปรีชาคำนึงด้วยใคร่จะพ้นไป) ๑ ใน สังขารุเบกขาญาณ (ปรีชาคำนึงด้วยความเฉยในสังขาร) ๑ ในอนุโลมญาณ (ปรีชาคำนึงโดยสมควรแก่กำหนดรู้อริยสัจ) ๑ ในโคตรภูญาณ (ปรีชากำหนดญาณอันเป็นลำดับอริยมรรค) ๑ แล้วจึงบรรลุโลกุตรมรรค โลกุตรมรรคนั้น ของภิกษุนั้น ชื่อว่าปฏิบัติลำบาก ทั้งรู้ลำบาก เพราะทำให้แจ้งโดยความหนักไปด้วยทุกข์อย่างนี้ ก็ภิกษุใดเบื้องต้นลำบากในญาณ ๕ แต่เบื้องปลาย ไม่ลำบากในวิปัสสนาญาณ ๙ ย่อมทำให้แจ้งซึ่งมรรค มรรคนั้นของภิกษุนั้นชื่อว่าปฏิบัติลำบาก แต่รู้ได้เร็ว เพราะทำให้แจ้งโดยไม่หนักด้วยทุกข์ อย่างนี้. อีกสองปฏิปทาก็พึงทราบโดยอุบายนี้.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 389
อนึ่ง ปฏิปทาเหล่านี้จะพึงแจ่มแจ้วก็ด้วยข้ออุปมาเปรียบด้วยคนหาโค. โค ๔ ตัวของชายคนหนึ่งหนีเข้าไปในดง. เขาหาโคเหล่านั้นในป่าซึ่งมีหนามหนาทึบ ทางที่ไปก็ไปด้วยความยากลำบาก โคซ่อนอยู่ในที่อันหนาทึบเช่นนั้น ก็เห็นด้วยความยากลำบาก. ชายคนหนึ่งไปด้วยความลำบาก โคยืนอยู่ในที่แจ้ง ก็เห็นได้ฉับพลันทันที. อีกคนหนึ่งไปทางโล่งไม่หนาทึบ โคซ่อนอยู่เสียในที่หนาทึบก็เห็นด้วยความยากลำบาก. อีกคนหนึ่งไปสะดวกตามทางโล่ง โคยืนอยู่ในที่โล่งก็เห็นได้ฉับพลัน. ในข้ออุปมานั้น อริยมรรค ๔ พึงเห็นดุจโค ๔ ตัว พระโยคาวจรดุจชายหาโค การปฏิบัติลำบากในเบื้องต้นของภิกษุผู้ลำบากในญาณ ๕ ดุจไปทางหนาทึบด้วยความยากลำบาก การเห็นอริยมรรคในเบื้องปลายของผู้เหนื่อยหน่ายในญาณ ๙ ดุจการเห็นโคที่ซ่อนอยู่ในที่หนาทึบด้วยความยาก. พึงประกอบแม้ข้ออุปมาที่เหลือโดยอุบายนี้.
จบอรรถกถาวิตถารสูตรที่ ๒