พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑. เจตนาสูตร ว่าด้วยความได้อัตภาพ ๔ ประการ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  24 ต.ค. 2564
หมายเลข  38964
อ่าน  748

[เล่มที่ 35] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 405

จตุตถปัณณาสก์

สัญเจตนิยวรรคที่ ๓

๑. เจตนาสูตร

ว่าด้วยความได้อัตภาพ ๔ ประการ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 35]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 405

สัญเจตนิยวรรคที่ ๓

๑. เจตนาสูตร

ว่าด้วยความได้อัตภาพ ๔ ประการ

[๑๗๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อกายมีอยู่ สุขทุกข์ที่เป็นภายใน (เกิดขึ้นแก่ตน) ย่อมเกิดขึ้นเพราะกายสัญเจตนา (ความจงใจทำทางกาย) เป็นเหตุ หรือเมื่อวาจามีอยู่ สุขทุกข์ที่เป็นภายในย่อมเกิดขึ้น เพราะวจีสัญเจตนา (ความจงใจทำทางวาจา) เป็นเหตุ หรือเมื่อใจมีอยู่ สุขทุกข์ที่เป็นภายในก็ย่อมเกิดขึ้น เพราะมโนสัญเจตนา (ความจงใจทำทางใจ) เป็นเหตุ อีกอย่างหนึ่ง เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย บุคคลย่อมปรุงแต่งกายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขาร อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในนั้นเกิดขึ้นด้วยตนเองบ้าง คนอื่นปรุงแต่งกายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขารของบุคคลนั้น อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้นบ้าง บุคคลนั้นรู้อยู่ ปรุงแต่งกายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขารนั้น อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง บุคคลนั้นไม่รู้ ปรุงแต่งกายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขารนั้นอันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในเกิดขึ้นบ้าง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อวิชชาย่อมติดตามไปในธรรมเหล่านี้

เพราะอวิชชาดับสิ้นไปไม่เหลือ กาย วาจา ใจ ย่อมไม่เป็นปัจจัย ให้สุขทุกข์ภายในนั้นเกิดขึ้นแก่บุคคลนั้น เขตอันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในนั้นเกิดขึ้นย่อมไม่มี วัตถุ อายตนะ อธิกรณะ อันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ ภายในนั้นเกิดขึ้น ก็ย่อมไม่มี

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 406

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความได้อัตภาพ ๔ นี้ ความได้อัตภาพ ๔ คืออะไรบ้าง คือ ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนนำไป มิใช่สัญเจตนาของผู้อื่นนำไปก็มี ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของผู้อื่นนำไป มิใช่สัญเจตนาของตนนำไปก็มี ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของคนนำไปบ้าง สัญเจตนาของผู้อื่นนำไปบ้างก็มี ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนนำไปก็มิใช่ สัญเจตนาของผู้อื่นนำไปก็มิใช่ก็มี ภิกษุทั้งหลาย นี้แลความได้อัตภาพ ๔

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว พระสารีบุตรกราบทูลขึ้นว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโดยย่อนี้ ข้าพระพุทธเจ้าทราบเนื้อความกว้างออกไปอย่างนี้คือ ในความได้อัตภาพ ๔ นั้น ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนนำไป มิใช่สัญเจตนาของผู้อื่นนำไปนี้ การจุติจากอัตภาพนั้นแห่งเหล่าสัตว์ (ผู้ได้อัตภาพนั้น) ย่อมมีเพราะสัญเจตนาของตนเป็นเหตุ ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของผู้อื่นนำไป มิใช่สัญเจตนาของตนนำไปนี้ การจุติจากอัตภาพนั้นแห่งเหล่าสัตว์ (ผู้ได้อัตภาพนั้น) ย่อมมีเพราะ สัญเจตนาของผู้อื่นเป็นเหตุ ความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนนำไปบ้าง การจุติจากอัตภาพนั้นแห่งเหล่าสัตว์ (ผู้ได้อัตภาพนั้น) ย่อมมีเพราะสัญเจตนาของตนบ้าง สัญเจตนาของผู้อื่นบ้างเป็นเหตุ ส่วนความได้อัตภาพที่สัญเจตนาของตนนำไปก็มิใช่ สัญเจตนาของผู้อื่นนำไปก็มิใช่นี้ เหล่าสัตว์ (ผู้ได้อัตภาพนั้น) ได้แก่เทวดาจำพวกไหน.

พ. ตรัสตอบว่า ได้แก่เทวดาเหล่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ.

พระสารีบุตรกราบทูลถามต่อไปว่า อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัยพระพุทธเจ้าข้า ที่ทำให้เหล่าสัตว์บางพวกผู้จุติจากอัตภาพ (เนวสัญญานาสัญญายตนะ) นั้นแล้ว เป็นอาคามี มาสู่อัตภาพอย่างนี้อีก อนึ่ง อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่ทำให้เหล่าสัตว์บางพวกผู้จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เป็นอนาคามี ไม่มาสู่อัตภาพอย่างนี้อีก.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 407

พ. ตรัสตอบว่า บุคคลละสังโยชน์เบื้องต่ำยังไม่ได้ แต่ได้เนวสัญญานาสัญญายตนะในปัจจุบันนี้ บุคคลนั้นติดใจยินดีปลื้มเปรมด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ยับยั้งอยู่ในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ปักใจในเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ช่ำอยู่ด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้นไม่เสื่อม จนทำกาลกิริยา ย่อมไปเกิดอยู่ร่วมกับเทวดาเหล่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ บุคคลนั้นจุติจากอัตภาพนั้นย่อมเป็นอาคามี มาสู่อัตภาพอย่างนี้อีก ส่วนบุคคลบางคนละสังโยชน์เบื้องต่ำได้แล้ว ได้เนวสัญญานาสัญญายตนะในปัจจุบันนี้ บุคคลนั้นติดใจยินดีปลื้มใจด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนะนั้น ฯลฯ ไม่เสื่อม จนทำกาลกิริยา ย่อมไปบังเกิดอยู่ร่วมกับเทวดาเหล่าเนวสัญญานาสัญญายตนะ บุคคลนั้นจุติจากอัตภาพนั้นย่อมเป็น อนาคามี ไม่มาสู่อัตภาพอย่างนี้อีก ดูก่อนสารีบุตร นี่แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่ทำให้เหล่าสัตว์บางพวกจุติจากอัตภาพนั้นแล้วเป็นอาคามี มาสู่อัตภาพอย่างนี้อีก บางพวกจุติจากอัตภาพนั้นแล้วเป็นอนาคามี ไม่มาสู่อัตภาพอย่างนี้อีก.

จบเจตนาสูตรที่ ๑

สัญเจตนิยวรรควรรณนาที่ ๓

อรรถกถาเจตนาสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในเจตนาสูตรที่ ๑ แห่งวรรคที่ ๓ ดังต่อไปนี้ :-

บทว่า กาเย ได้แก่ เมื่อกายทวาร อธิบายว่า เมื่อความเคลื่อนไหว ทางกายมีอยู่. ในบทว่า กายสญฺเจตนาเหตุ เป็นต้น ความสำเร็จแห่งเจตนา

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 408

ในกายทวารชื่อว่า กายสัญเจตนา (ความจงใจทำทางกาย) กายสัญเจตนานั้น มี ๒๐ อย่าง คือ กามาวจรกุศล ๘ อย่าง อกุศล ๑๒ อย่าง. วจีสัญเจตนา (ความจงใจทำทางวาจา) ก็เหมือนกัน มโนสัญญเจตนา (ความจงใจทำทางใจ) ก็เหมือนกัน. อนึ่ง แม้มหัคคตเจตนา ๙ ก็ได้ในบทนี้. บทว่า กายสญฺเจตนาเหตุ ได้แก่ เพราะกายสัญเจตนาเป็นปัจจัย. บทว่า อุปฺปชฺชติ อชฺฌตฺตํ สุขทุกฺขํ ได้แก่ สุขเกิดขึ้นภายในตนเพราะกุศลกรรม ๘ เป็นปัจจัย ทุกข์เกิดขึ้นเพราะอกุศลกรรม ๑๒ เป็นปัจจัย. แม้ในทวารที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า อวิชฺชาปจฺจยา วา ได้แก่ เพราะอวิชชาเป็นเหตุ. จริงอยู่ ถ้าว่าอวิชชาที่ถูกปกปิดไว้เป็นปัจจัย เมื่อเป็นเช่นนั้น เจตนาอันเป็นปัจจัยแห่งสุขและทุกข์ในทวาร ๓ ย่อมเกิดขึ้น. นี้ท่านกล่าวด้วยอำนาจปัจจัยอันเป็นมูล ด้วยประการฉะนี้.

ในบทว่า อวิชฺชาปจฺจยา วา สามํ วา เป็นต้น บุคคลอันคนอื่นไม่ได้ใช้ เมื่อปรุงแต่งด้วยตนเอง ชื่อว่า ปรุงแต่งกายสังขารเอง. ชักชวนคนอื่นให้ปรุงกายสังขารใด คนอื่น ชื่อว่า ปรุงกายสังขารนั้นของเขา. ก็บุคคลใดรู้กุศลว่าเป็นกุศล รู้อกุศลว่าเป็นอกุศล รู้กุศลวิบากว่าเป็นกุศลวิบาก รู้อกุศลวิบากว่าเป็นอกุศลวิบาก ย่อมปรุงสังขาร ๒๐ อย่างในกายทวาร บุคคลนี้ ชื่อว่า รู้ปรุงสังขาร บุคคลใดไม่รู้อย่างนี้ปรุงสังขาร บุคคลนี้ ชื่อว่า ไม่รู้ ปรุงสังขาร. แม้ในทวารที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน.

ในข้อนั้นพึงทราบการการทำโดยไม่รู้ตัวดังนี้. พวกเด็กรุ่น คิดว่าเราจะทำกิจที่มารดาบิดาทำไว้ จึงไหว้เจดีย์ บูชาด้วยดอกไม้ ไหว้หมู่ภิกษุสงฆ์ แม้ทั้งที่เขาไม่รู้ว่าเป็นกุศล การกระทำนั้นก็เป็นกุศลทั้งนั้น. สัตว์เดียรัจฉาน มีเนื้อและนกเป็นต้นก็เหมือนกัน ฟังธรรม ไหว้สงฆ์ ไหว้เจดีย์ ทั้งที่มันรู้บ้าง ไม่รู้บ้าง การกระทำนั้นก็เป็นกุศลเหมือนกัน. แต่พวกเด็กรุ่น เอามือและเท้า

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 409

เตะดีมารดาบิดา ยกมือขู่ตะคอกขว้างก้อนดินด่า. แม่โคไล่ตามหมู่ภิกษุ. เหล่าสุนัขไล่ตามกัด. สีหะและพยัคฆ์เป็นต้น ไล่ตามฆ่า. ทั้งที่มันรู้บ้างไม่รู้บ้าง พึงทราบว่าเป็นอกุศลกรรม.

บัดนี้ พึงรวบรวมเจตนาอันประมวลลงในทวารแม้ทั้ง ๓. ถามว่าอย่างไร. ตอบว่า ในกายทวาร เจตนาที่ทำด้วยตนเองเป็นมูล ๒๐ ที่คนอื่นใช้เป็นมูล ๒๐ ที่รู้ตัวเป็นมูล ๒๐ ที่ไม่รู้ตัวอยู่เป็นมูล ๒๐ รวมเป็นเจตนา ๘๐. ในวจีทวารก็เหมือนกัน. แต่ในมโนทวาร วิกัปหนึ่งๆ วิกัปละ ๒๙ (๔ วิกับ) รวมเป็น ๑๑๖. ดังนั้น เจตนาแม้ทั้งหมดในทวาร ๓ มีสองร้อยเจ็ดสิบหก (๒๗๖) เจตนาแม้ทั้งหมดนั้น ย่อมนับได้ว่า เป็นสังขารขันธ์ทั้งนั้น การเสวยอารมณ์สัมปยุตด้วยสังขารนั้นเป็นเวทนาขันธ์ อาการรู้จำเป็นสัญญา จิตเป็นวิญญาณขันธ์ กายเป็นอุปาทารูป ธาตุ ๔ ที่เป็นปัจจัยแห่งอุปาทารมณ์ เป็นภูตรูป ๔ ขันธ์ ๕ ดังกล่าวมาเหล่านี้ ชื่อว่าทุกขสัจ. บทว่า อิเมสุ ภิกฺขเว ธมฺเมสุ อวิชฺชานุปติตา ความว่า อวิชชาตกไปแล้วในเจตนาธรรมมีประเภทดังกล่าวแล้วเหล่านี้ ด้วยอำนาจสหชาตปัจจัย และอุปนิสสยปัจจัย. เป็นอันท่านแสดงถึงวัฏฏะและอวิชชา ที่เป็นมูลแห่งวัฏฏะ ด้วยอาการอย่างนี้.

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงสรรเสริญพระขีณาสพผู้เจริญ วิปัสสนาด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล้วบรรลุพระอรหัต จึงตรัสว่า อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา ดังนี้เป็นอาทิ. ในบทเหล่านั้น บทว่า อเสสวิราคนิโรธา ได้แก่ สำรอกโดยไม่เหลือ และดับโดยไม่เหลือ. บทว่า โส กาโย น โหติ ความว่า การกระทำทางกายของพระขีณาสพ ย่อมปรากฏเป็นต้น อย่างนี้ คือ การกวาดลานเจดีย์ การกวาดลานโพธิ์ การก้าวไปและการถอยกลับ การทำวัตรปฏิบัติ. แต่ในกายทวาร เจตนา ๒๐ ของพระขีณาสพนั้น

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 410

ย่อมถึงความเป็นกิจไม่มีวิบากเป็นธรรมดา. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า โส กาโย น โหติ ยมฺปจฺจยาสฺส ตํ อุปฺปชฺชติ อชฺฌตฺตํ สุขทุกฺขํ (กายอันเป็นปัจจัยให้สุขทุกข์ภายในของพระขีณาสพนั้นเกิดไม่มี) เจตนาอันเป็นไปในกายทวาร ท่านประสงค์ว่า กายในที่นี้. แม้ในสองบทที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน. แม้บทมีอาทิว่า เขตฺตํ ดังนี้ ก็เป็นชื่อของกรรมทั้งที่เป็นกุศลและอกุศลนั่นแล. จริงอยู่ สุขและทุกข์นั้นท่านกล่าวว่าชื่อว่าเขต เพราะอรรถกถาว่า เป็นที่งอกแห่งวิบาก ชื่อว่าวัตถุ เพราะอรรถว่า เป็นพื้นที่ตั้งชื่อว่า อายตนะ เพราะอรรถว่าเป็นเหตุ ชื่อว่า อธิกรณะ เพราะอรรถว่า เป็นเรื่องราว.

พระศาสดา ครั้นทรงแสดงกรรมอันประมวลลงด้วยทวาร ๓ โดยฐานะ ประมาณเท่านี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงถึงฐานะอันเป็นผลของกรรมนั้น จึงตรัสว่า จตฺตาโรเม ภิกฺขเว ดังนี้ เป็นอาทิ. ในบทนั้น บทว่า อตฺตภาวปฏิลาภา ได้แก่ อัตภาพที่ทนได้แล้ว. บทว่า อตฺตสญฺเจตนา กมติ ได้แก่ เจตนาที่ตนดำริไว้ย่อมนำไป คือ ย่อมเป็นไป. ในบทมีอาทิว่า อตฺตสญฺเจตนาเหตุ เตสํ สตฺตานํ ตมฺหา กายา จุติ โหติ (การจุติ จากกายนั้นของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นย่อมมี เพราะสัญเจตนาของคนเป็นเหตุ) ได้แก่ พวกเทพผู้เป็นขิฑฑาปโทสิกะ (มุ่งแต่จะเล่น.) ย่อมจุติเพราะสัญเจตนาของตนเป็นเหตุ. ด้วยว่า เมื่อทวยเทพเหล่านั้นดื่มด่ำอยู่ในความพอใจของทิพย์ ในสวนนันทวัน จิตรลดาวันและปารุสกวันเป็นต้น เหนื่อยอ่อน ลืมดื่มและบริโภค. เขาย่อมแห้งไปเพราะขาดอาหาร เหมือนดอกไม้ที่เหวี่ยงไปในแดด.

มโนปโทสิกา (ทวยเทพผู้ทำร้ายทางใจ) ย่อมจุติเพราะสัญเจตนาของผู้อื่นเป็นเหตุ ได้แก่ ทวยเทพชั้นจาตุมมหาราชิกา ได้ยินว่า บรรดาทวยเทพเหล่านั้น เทพบุตรองค์หนึ่ง หมายจักเล่นนักขัตฤกษ์ จึงพร้อมด้วย

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 411

บริวาร ขึ้นรถไปตามทาง ทีนั้นเทพบุตรอีกองค์หนึ่ง ออกไปเห็นเทพบุตรนั้นกำลังไปข้างหน้า จึงโกรธว่า อะไรกันพ่อเอ้ย คนขอทานผู้เห็นเทพบุตรองค์หนึ่งทำเหมือนไม่เคยเห็นแล้วเห่อผยองราวกระบวนแห่ไปตามถนน. เทพบุตรผู้เดินไปข้างหน้าเหลียวดูเห็นเทพบุตรนั้นโกรธ คิดว่า ขึ้นชื่อว่า คนโกรธรู้ได้ง่าย ครั้นรู้ว่าเทพบุตรนั้นโกรธจริง จึงโกรธตอบว่าท่านโกรธจักทำอะไรเราได้ เราได้สมบัตินี้มาด้วยอำนาจทานและศีลเป็นต้น ไม่ใช่ได้มาด้วยอำนาจของท่าน ก็เมื่อเทพบุตรองค์หนึ่งโกรธ อีกองค์หนึ่งไม่โกรธยังรักษาไว้ได้ แต่เมื่อทั้งสองโกรธ ความโกรธของเทพบุตรองค์หนึ่งเป็นปัจจัยของอีกองค์หนึ่ง ความโกรธของเทพบุตรองค์นั้นก็เป็นปัจจัยของเทพบุตรอีกองค์หนึ่ง เพราะฉะนั้น เทพบุตรทั้งสองย่อมจุติทั้งที่สนมเทพอัปสรคร่ำครวญอยู่.

มนุษย์ทั้งหลายย่อมจุติเพราะสัญเจตนาของตนและสัญเจตนาของผู้อื่นเป็นเหตุ อธิบายว่า มนุษย์ทั้งหลายย่อมจุติ เพราะเหตุแห่งสัญเจตนาของตน และแห่งสัญเจตนาของผู้อื่น. จริงอยู่ มนุษย์ทั้งหลายครั้นโกรธแล้วก็เอามือบ้าง เท้าบ้าง ทุบตีตนด้วยตนเอง ผูกด้วยเครื่องผูกคือเชือกเป็นต้นบ้าง ตัดศีรษะด้วยดาบบ้าง กินยาพิษบ้าง ย่อมกระโดดเหวบ้าง กระโดดน้ำบ้าง เข้ากองไฟบ้าง เอาท่อนไม้ศัสตราประหาร แม้คนอื่นให้ตายบ้าง. สัญเจตนาของตนก็ดี สัญเจตนาของผู้อื่นก็ดี ย่อมเป็นไปในมนุษย์เหล่านั้น ด้วยอาการอย่างนี้.

บทว่า กตเม เตน เทวา ทฏฺพฺพา ความว่า จะพึงเห็นทวยเทพ เหล่านั้นเป็นไฉน หรือความว่าจะพึงเห็นทวยเทพด้วยอัตภาพนั้นเป็นไฉน ดังนี้บ้าง. ถามว่า เพราะเหตุไร พระเถระจึงถามปัญหานี้ การกล่าวด้วยตนเอง ยังไม่พอหรือ. ตอบว่า ยังไม่พอ. ก็บทนี้เป็นปัญหาพุทธวิสัยโดยสภาวะของปัญหา เพราะเหตุนั้น พระเถระจึงไม่กล่าว. บทว่า เตน ทฏฺพฺพา ได้แก่ พึงเห็นด้วยอัตภาพนั้น. ก็ปัญหานี้ย่อมได้ในกามาวจรบ้าง รูปาวจรบ้าง

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 27 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 412

ในเบื้องต่ำ แต่ตรัสกำหนดด้วยภวัคคพรหม เป็นอันตรัสโดยสิ้นเชิง เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอย่างนี้. บทว่า อาคนฺตาโร อิตฺถตฺตํ ได้แก่ เป็นผู้กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือ สู่ความเป็นกามาวจรและเบญจขันธ์นั่นเอง หาได้เกิดในภพนั้นไม่ มิได้เกิดในภพเบื้องบน. บทว่า อนาคนฺตาโร อิตฺถตฺตํ ได้แก่ เป็นผู้ไม่กลับมาสู่ขันธบัญจกนี้คือเป็นผู้ไม่เกิดในเบื้องต่ำ อธิบายว่า เป็นผู้เกิดในภพนั้นบ้าง เป็นผู้เกิดในเบื้องบนบ้าง เป็นผู้ปรินิพพานในภพนั้นนั่นเองบ้าง. ในบทนี้พึงทราบสัตว์ผู้เกิดในเบื้องบน แม้ด้วยอำนาจสัตว์ทั้งหลายผู้เกิดแล้วในภพชั้นต่ำ. ก็ขันธบัญจกนี้ไม่มีในภวัคคพรหม. คำที่เหลือในบททั้งปวงง่ายทั้งนั้นแล.

จบอรรถกถาเจตนาสูตรที่ ๑