กิเลสอย่างละเอียด อย่างกลาง อย่างหยาบ
อนุสัยกิเลส คือ กิเลสที่นอนเนื่องอยู่ในจิต เป็นกิเลสอย่างละเอียด ปริยุฏฐานกิเลส คือกิเลสที่กลุ้มรุมจิตใจ เช่น นิวรณธรรมต่างๆ ความติดข้องในกามคุณ ฯลฯ ยังไม่ถึงกับล่วงศีลหรือล่วงทุจริตกรรมออกมาทาง กาย วาจาเป็นกิเลสอย่างกลาง วีติกกมกิเลส คือกิเลสที่มีกำลัง ถึงขั้นล่วงศีลหรือล่วงทุจริตกรรมออกมาทางกาย วาจาเป็นกิเลสอย่างหยาบ
เรียนถามว่า ๑. ตามความเข้าใจที่กล่าวมาข้างต้น ถูกหรือไม่ครับ? ๒. ในขณะที่เป็นมโนทุจริตกรรม ล่วงกรรมบทของมโนกรรมแล้ว เช่น มีอภิชฌาหรือพยาปาท แต่ยังไม่ถึงกับล่วงทุจริตกรรมนั้นออกมาทางกายหรือวาจา คือยังไม่ล่วงศีลเช่นนี้ จัดเป็นปริยุฏฐานกิเลส หรือวีติกกมกิเลสครับ?
ขอบพระคุณครับ
๑. ถูกแล้วครับ ๒. ในพระไตรปิฎกและอรรถกถา ท่านไม่ได้ตีเส้นหรือแยกโดยละเอียดว่า แค่ไหนเป็นปริยุฏฐา หรือแค่ไหนเป็นวีติกกม เพียงแต่แยกให้เห็นว่า กิเลสที่กลุ่มรุมจิต นิวรณ์ ทั้งหลายเป็นปริยุฏฐาน ส่วนกิเลสที่ก้าวล่วงทุจริต และทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เป็นวีติกกมะ แต่กรณีที่ท่านถามมา ยังไม่พบคำอธิบาย (ถ้ามีกำลัง ถึงขนาดคิดเพ่งเล็ง ทรัพย์ของผู้อื่นในทางทุจริต ควรจะเป็นวีติกกมะ แต่ก็ยากที่จะตัดสิน เพราะแต่ละคนไม่เหมือนกัน)
๑. ตามความเข้าใจที่กล่าวมาข้างต้น ถูกหรือไม่ครับ?
๒. ในขณะที่เป็นมโนทุจริตกรรม ล่วงกรรมบทของมโนกรรมแล้วเช่น มีอภิชชาหรือพยาปาทะ แต่ยังไม่ถึงกับล่วงทุจริตกรรมนั้น ออกมาทางกายหรือวาจา คือยังไม่ล่วงศีล เช่นนี้ จัดเป็นปริยุฏฐานกิเลส หรือวีติกกมกิเลสครับ?
๑. ถูกต้องครับ
๒. ขณะที่ยังไม่ล่วงออกมา ทางกาย วาจา (ไม่ล่วงศีล) อกุศลที่เกิดภายในจิต ก็เป็นเพียงปริยุฏฐานกิเลส กลุ้มรุมอยู่ในจิตนั่นเอง ดังเช่น นิวรณ์ ดังนั้นก็ต้องตีความให้ถูกว่า ถ้าล่วงกรรมบทแล้ว เป็นมโนกรรม ก็ต้องเป็นวีติกกมกิเลส แต่ถ้ายังไม่ล่วงกรรมบท คิดทั้งวันว่าอยากได้ของผู้อื่น ก็ไม่ต่างจากนิวรณ์ อันเป็นปริยุฏฐานกิเลสครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์