๕. ทัฏฐัพพสูตร ว่าด้วยการที่จะพึงเห็นกําลัง ๕
[เล่มที่ 36] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 22
ปฐมปัณณาสก์
พลวรรคที่ ๒
๕. ทัฏฐัพพสูตร
ว่าด้วยการที่จะพึงเห็นกําลัง ๕
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 36]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 22
๕. ทัฏฐัพพสูตร
ว่าด้วยการที่จะพึงเห็นกำลัง ๕
[๑๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กำลัง ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ กำลังคือศรัทธา ๑ กำลังคือวิริยะ ๑ กำลังคือสติ ๑ กำลังคือสมาธิ ๑ กำลังคือปัญญา ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็พึงเห็นกำลัง คือ ศรัทธาในที่ไหน พึงเห็นในโสตาปัตติยังคะ [องค์เป็นเครื่องให้บรรลุ ความเป็นพระโสดา] ๔ พึงเห็นกำลัง คือ ศรัทธาในที่นี้ พึงเห็นกำลัง คือ วิริยะในที่ไหน พึงเห็นในสัมมัปปธาน ๔ พึงเห็นกำลัง คือ วิริยะในที่นี้ พึงเห็นกำลัง คือ สติในที่ไหน พึงเห็นในสติปัฏฐาน ๔ พึงเห็นกำลัง คือ สติในที่นี้ พึงเห็นกำลัง คือ สมาธิในที่ไหน พึงเห็นในฌาน ๔ พึงเห็นกำลัง คือ สมาธิในที่นี้ พึงเห็นกำลัง คือ ปัญญาในที่ไหน พึงเห็นในอริยสัจ ๔ พึงเห็นกำลัง คือ ปัญญาในที่นี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กำลัง ๕ ประการ นี้แล.
จบทัฏฐัพพสูตรที่ ๕
อรรถกถาทัฏฐัพพสูตร
พึงทราบวินิจฉัย ในทัฏฐัพพสูตรที่ ๕ ดังต่อไปนี้ :-
พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะตรัสโลกุตตรธรรม ในที่มิใช่วิสัย จึงตรัสคำมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พึงเห็นสัทธาพละในธรรมไหน ดังนี้. เหมือนอย่างว่า เมื่อสหายมีพระราชาเป็นที่ ๕ คือบุตรเศรษฐี ๔ คน พระราชาลงเดินถนน ด้วยคิดว่า เราจักเล่นนักษัตร ในเวลาไปเรือนของบุตรเศรษฐี
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 23
คนที่หนึ่ง อีก ๔ คนก็นั่งเฉย เจ้าของเรือนกล่าวว่า พวกท่านจงให้ของเคี้ยว ของบริโภค ของหอม ดอกไม้ และเครื่องประดับ เป็นต้น แก่ท่านเหล่านี้ ดังนี้ แล้วตรวจตราในเรือน. ในเวลาไปเรือนของบุตรเศรษฐี คนที่ ๒ คนที่ ๓ คนที่ ๔ อีก ๔ คนก็นั่งเฉย เจ้าของเรือนกล่าวว่า พวกท่านจงให้ของเคี้ยว ของบริโภค ของหอม ดอกไม้ และเครื่องประดับ แก่ท่านเหล่านี้ ดังนี้แล้ว ตรวจตราในเรือน. ครั้นต่อมา ในเวลาไปราชมณเฑียรของพระราชา ทีหลังเขาทั้งหมด พระราชาแม้จะทรงเป็นใหญ่ ในชนทั้งหมดก็จริง ถึงดังนั้น ในเวลานี้ ยังตรัสว่า พวกท่านจงให้ของเคี้ยว ของบริโภค ของหอม ดอกไม้ และเครื่องประดับ เป็นต้น แก่ท่านเหล่านี้ ดังนี้ แล้วทรงตรวจตรา ในพระราชมณเฑียร ของพระองค์ ฉันใด เมื่อพละมีศรัทธาเป็นที่ ๕ แม้เกิดขึ้นในอารมณ์เดียวกัน ก็เหมือนเมื่อสหายเหล่านั้น ลงเดินถนนพร้อมกัน สหายอีก ๔ คนนั่งเฉยในเรือน ของคนที่ ๑ สหายที่เป็นเจ้าของเรือน ย่อมตรวจตรา ฉันใด สัทธาพละ มีลักษณะน้อมใจเชื่อ เพราะบรรลุโสดาปัตติยังคะ จึงเป็นใหญ่ เป็นหัวหน้า พละที่เหลือ ก็คล้อยตามสัทธาพละนั้น ฉันนั้น ในเรือนของบุตรเศรษฐีคนที่ ๒ สหายอีก ๔ คนก็นั่งเฉย สหายเจ้าของเรือน ย่อมตรวจตรา ฉันใด วิริยพละ มีลักษณะประคองไว้ เพราะถึงสัมมัปปธาน พละที่เหลือ ก็คล้อยตามวิริยพละนั้น ฉันนั้น ในเรือนของบุตรเศรษฐีคนที่ ๓ สหายอีก ๔ คนก็นั่งเฉย สหายเจ้าของเรือน ย่อมตรวจตรา ฉันใด สติพละ มีลักษณะเขาไปตั้งไว้ เพราะถึงสติปัฏฐาน จึงเป็นใหญ่ เป็นหัวหน้า พละที่เหลือ ก็คล้อยตามสติพละนั้น ฉันนั้น ในเรือนของบุตรเศรษฐีคนที่ ๔ สหายอีก ๔ คนก็นั่งเฉย สหายเจ้าของเรือน ย่อมตรวจตรา ฉันใด สมาธิพละ มีลักษณะไม่ฟุ้งซ่าน เพราะถึงฌานวิโมกข์ พละที่เหลือ ก็คล้อยตามสมาธิพละนั้น ฉันนั้น. แต่ในเวลาไป พระราชมณเฑียรของพระราชา ภายหลังเขาทั้งหมด สหายอีก ๔ คนก็นั่งเฉย พระราชาพระองค์เดียว ทรงตรวจตราใน
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 24
พระราชมณเฑียร ฉันใด ปัญญาพละ มีลักษณะรู้ทั่ว เพราะบรรลุอริยสัจ ๔ จึงเป็นใหญ่ เป็นหัวหน้า พละที่เหลือ ก็คล้อยตามปัญญาพละนั้น ฉันนั้น ท่านกล่าวพละ ๕ ในสูตรนี้ เจือกันอย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้.
จบอรรถกถา ทัฏฐัพพสูตรที่ ๕