การเจริญสมถภาวนาดับกิเลสไม่ได้
การเจริญสมถภาวนาที่จะบรรลุถึงแม้อุปจารสมาธิก็แสนยาก เพราะปกติเมื่ออารมณ์ ใดกระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ย่อมคล้อยตามอารมณ์นั้นด้วยโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง กุศลที่เป็นไปในทานบ้าง ในศีลบ้าง ในภาวนาบ้างนั้นในวันหนึ่งๆ มีเป็นส่วนน้อยมาก เมื่อเทียบกับอกุศลที่เกิดขึ้นรวดเร็วเป็นประจำทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และการเจริญสมถภาวนานั้นก็ดับกิเลสไม่ได้ เมื่อกิเลสเกิดขึ้นครอบงำจิตใจขณะใด สมถภาวนาที่เพียรอบรมมาจนถึงขั้นสามารถแสดงอิทธิปฏิหาริย์ต่างๆ ได้ ก็เสื่อมหมดสิ้นไป
การเจริญสมถภาวนา ไม่ใช่การดับกิเลสเป็นสมุจเฉท เพราะไม่ใช่การประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมตามปกติตามความเป็นจริง เมื่อฌานจิตไม่เสื่อมและฌานวิถีจิตเกิดก่อนจุติจิต เป็นกัมมปัจจัยให้ฌานวิบากจิตปฏิสนธิในพรหมภูมิขั้นต่างๆ แต่เมื่อหมดอายุของพรหมภูมินั้นๆ แล้ว ก็ต้องกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้อีก คือ ยินดี พอ ใจ ติดข้อง ในตัวตน ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพพะ
สมถภาวนาเจริญจนถึงได้ฌานก็แสนยาก แต่เสื่อมง่าย เช่น พระเทวทัตได้ฌาน เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่พอจิตคิดอยากเป็นใหญ่ ฌานจิตก็เสื่อม และที่สำคัญ สมถภาวนาไม่ใช่หนทางพ้นทุกข์ มีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ เพราะฉะนั้น ชีวิตที่เป็นมนุษย์แสนสั้น อบรมเจริญสติปัฏฐานดีกว่า เพราะเป็นหนทางแห่งการดับกิเลสค่ะ