อยากทราบเรื่อง บาป-บุญ

 
สุทัศน์
วันที่  6 มิ.ย. 2550
หมายเลข  3924
อ่าน  1,346

ตั้งแต่เกิดมาแต่เล็กจนโต ๑.เราสามารถทราบไหมครับว่าเรามีบาปหรือบุญอยู่มากน้อยแค่ไหน ๒.เราจะแก้ไขบาปให้น้อยลงได้อย่างไร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
panee.r
วันที่ 6 มิ.ย. 2550

๑. เราไม่สามารถทราบได้ พระพุทธองค์ทรงตรัสไม่ให้สนใจสิ่งที่ผ่านไปแล้วและยังมาไม่ถึง คืออยู่กับปัจจุบัน

๒. เราไม่สามารถแก้ไขสิ่งที่ผ่านไปแล้ว แต่ควรอาจหาญร่าเริงที่จะต้องได้รับผล (ที่ได้กระทำแล้ว) และเพียรระวังการกระทำกรรมใหม่ ซึ่งจะต้องเข้าใจก่อนว่า ขณะไหนเป็นกรรม ขณะไหนเป็นผลของกรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
olive
วันที่ 7 มิ.ย. 2550

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 7 มิ.ย. 2550

๑. สัตว์โลกเป็นที่ดูผลของบุญและบาป ทำไมบางคนเกิดมารวย รูปงาม มีปัญญาทั้งทางโลกและทางธรรม ก็เพราะในอดีตเขาเคยทำบุญให้ทาน รักษาศีล และ ฟังธรรม ถ้าเราอยากได้รับเหตุที่ดี ก็เริ่มตั้งแต่ชาตินี้ค่ะ เพราะชาตินี้จะเป็นชาติหน้าของอนาคตค่ะ

๒. บาปกรรมหรืออกุศลกรรมบถที่เราทำไปแล้ว ไม่สามารถแก้ไขได้ นอกจากเราทำเหตุใหม่ การทำความดีมากๆ โดยเฉพาะอบรมสติปัฏฐาน จนกว่าจะเป็นพระอริยบุคคล เมื่อนั้นก็ปิดประตูอบายภูมิสนิทค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
janpreeya
วันที่ 7 มิ.ย. 2550

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 7 มิ.ย. 2550

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

๑. เราสามารถทราบไหมครับว่าเรามีบาปหรือบุญอยู่มากน้อยแค่ไหน

๒ .เราจะแก้ไขบาปให้น้อยลงได้อย่างไร

ข้อ ๑ คำถามข้อแรก ไม่แน่ใจว่า กล่าวถึงกุศลหรืออกุศลมาก หรือผลของกุศลหรือผลของอกุศลมาก ซึ่งเป็นวิบากผลของกรรม แต่จะขออธิบายทั้ง ๒ นัย

นัยแรก จะทราบได้อย่างไรว่า เรามีกุศลหรืออกุศลมาก

ก่อนศึกษาธรรม เราเข้าใจว่าเราเป็นคนดีมากไม่ได้ทำความเดือดร้อนกับใครแต่จะทราบขึ้น เมื่อศึกษาธรรม ทราบได้ก็เมื่อปัญญาเกิดขึ้นนั่นเองว่า กิเลสมีหลายระดับ ทั้งที่ออกมาทางกาย วาจา หรือ ที่อยู่ในใจ (เช่น โกรธ แต่ไม่แสดงออก) หรือกิเลสระดับที่นอนเนื่องอยู่ในจิตทุกขณะเป็นอนุสัยกิเลส จะทราบว่ามี กุศลหรืออกุศลมาก ทราบหรือรู้ก็มีหลายระดับตามระดับปัญญา ปัญญาขั้นการฟัง ก็รู้ด้วยการคิดนึก เทียบเคียงในชีวิตประจำวันว่าเรามีกิเลสมาก แต่ยังไม่รู้จักตัวจริงของกิเลส ขั้นสติปัฏฐานก็เริ่มรู้จักตัวจริงของกิเลสมากขึ้น จนเป็นปัญญาระดับสูงขึ้นก็รู้จักตัวเองมากขึ้น ว่ามีกิเลสมากครับ ดังนั้นการจะรู้สิ่งใดตามความเป็นจริงจึงเป็นหน้าที่ของปัญญา

นัยที่สอง จะทราบได้อย่างไรว่า เรามีผลของบุญหรือ ผลของบาปมาก (วิบาก)

ก็ด้วยปัญญา เช่นกัน ตามระดับปัญญา ปกติเราจะคิดเป็นเรื่องราวว่า ถ้าโดนรถชน วิบากไม่ดีแต่ตามความเป็นจริงแล้ว วิบากไม่เป็นเรื่องราวยาวนานอย่างนั้นแต่เป็นจิตที่เกิดทีละขณะ ขณะที่เห็นไม่ดี ขณะหนึ่งก็เป็นวิบากที่ไม่ดี เป็นต้น รู้อย่างนี้ด้วยการศึกษาแต่ก็ยังไม่รู้ตัวจริงของวิบาก เช่น จิตเห็น ต่อเมื่อเป็นปัญญาที่เป็นระดับสติปัฏฐานครับ จะรู้ได้ด้วยปัญญาเท่านั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 7 มิ.ย. 2550

๒. เราจะแก้ไขบาปให้น้อยลงได้อย่างไร

คงหมายถึง ผลของบาปให้น้อยลง ก็ด้วยมีปัญญา เช่นกัน ดังนั้นต้องเริ่มจากการศึกษาฟังธรรมให้เข้าใจหนทางที่ถูกต้องไม่ต้องห่วงเรื่องการให้ผลของบาป เพราะบังคับไม่ได้อยู่แล้วครับตราบใดที่ยังมีขันธ์ ๕ ก็ยังต้องได้รับผลของอกุศล แม้พระพุทธเจ้าก็ได้รับผลของอกุศล แต่ท่านไม่เดือดร้อน จึงควรอบรมปัญญาเท่านั้นครับ ซึ่งการให้ผลของอกุศลจะน้อยลง ก็แตกต่างตามระดับของบุคคลอันเนื่องมาจากการอบรมปัญญาครับ ดังข้อความในพระไตรปิฎก

เชิญคลิกอ่านที่นี่

เปรียบทุกข์ที่หมดไปเท่ากับขุนเขา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
แล้วเจอกัน
วันที่ 7 มิ.ย. 2550
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
orawan.c
วันที่ 8 มิ.ย. 2550

บุญ-บาปเป็นเรื่องของขณะจิต ถ้าเชื่อเรื่องเหตุผล ทำกรรมอะไรย่อมได้รับผลกรรมนั้น

ไม่ว่าจะมีความหวังหรือไม่ก็ตาม

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ