พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑๐. นิสสารณียสูตร ว่าด้วยธาตุที่พึงพรากได้ ๕ ประการ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  28 ต.ค. 2564
หมายเลข  39277
อ่าน  437

[เล่มที่ 36] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 441

จตุตถปัณณาสก์

พราหมณวรรคที่ ๕

๑๐. นิสสารณียสูตร

ว่าด้วยธาตุที่พึงพรากได้ ๕ ประการ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 36]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 441

๑๐. นิสสารณียสูตร

ว่าด้วยธาตุที่พึงพรากได้ ๕ ประการ

[๒๐๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธาตุที่พึงพรากได้ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน? คือ เมื่อภิกษุในธรรมวินัยนี้ มนสิการถึงกามทั้งหลาย จิตของเธอย่อมไม่แล่นไป ย่อมไม่เลื่อมใส ย่อมไม่ตั้งอยู่ ย่อมไม่น้อมไป ในกามทั้งหลาย แต่เมื่อเธอมนสิการถึงเนกขัมมะ จิตของเธอย่อมแล่นไป ย่อมเลื่อมใส ย่อมตั้งอยู่ ย่อมน้อมไปในเนกขัมมะ จิตของเธอย่อมแล่นไป ย่อมดำเนินไปแล้ว อบรมดีแล้ว ตั้งอยู่ดีแล้ว หลุดพ้นดีแล้ว พรากออกดีแล้ว จากกามทั้งหลาย อาสวะ ทุกข์ และความเร่าร้อนเหล่าใด ย่อมเกิดเพราะกามเป็นปัจจัย เธอหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ ทุกข์ และความเร่าร้อนเหล่านั้น เธอย่อมไม่เสวยเวทนา ที่เกิดเพราะเหตุนั้น นี้เรากล่าวว่า เป็นการพรากออก แห่งกามทั้งหลาย.

อีกประการหนึ่ง เมื่อภิกษุมนสิการถึงพยาบาท จิตของเธอย่อมไม่แล่นไป ย่อมไม่เลื่อมใส ย่อมไม่ตั้งอยู่ ย่อมไม่น้อมไปในพยาบาท แต่เมื่อเธอมนสิการถึงความไม่พยาบาท จิตของเธอย่อมแล่นไป ย่อมเลื่อมใส ย่อมตั้งอยู่ ย่อมน้อมไปในความไม่พยาบาท จิตของเธอนั้นชื่อว่า เป็นจิตดำเนินไปดีแล้ว อบรมดีแล้ว หลุดพ้นดีแล้ว พรากออกดีแล้วจากพยาบาท อาสวะ ทุกข์ และความเร่าร้อนเหล่าใด ย่อมเกิดเพราะพยาบาทเป็นปัจจัย เธอหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ ทุกข์ และความเร่าร้อนเหล่านั้น เธอย่อมไม่เสวยเวทนาที่เกิด เพราะเหตุนั้น นี้เรากล่าวว่า เป็นการพรากออกแห่งพยาบาท.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 442

อีกประการหนึ่ง เมื่อภิกษุมนสิการถึงวิหิงสา จิตของเธอย่อมไม่แล่นไป ย่อมไม่เลื่อมใส ย่อมไม่ตั้งอยู่ ย่อมไม่น้อมไปในวิหิงสา แต่เมื่อเธอมนสิการถึงอวิหิงสา จิตของเธอย่อมแล่นไป ย่อมเลื่อมใส ย่อมตั้งอยู่ ย่อมน้อมไปในอวิหิงสา จิตของเธอนั้นชื่อว่า เป็นจิตดำเนินไปดีแล้ว อบรมดีแล้ว ตั้งอยู่ดีแล้ว หลุดพ้นดีแล้ว พรากออกดีแล้วจากวิหิงสา อาสวะ ทุกข์ และความเร่าร้อนเหล่าใด ย่อมเกิดเพราะวิหิงสาเป็นปัจจัย เธอหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ ทุกข์ และความเร่าร้อนเหล่านั้น เธอย่อมไม่เสวยเวทนาที่เกิดเพราะเหตุนั้น นี้เรากล่าวว่า เป็นการพรากออกแห่งวิหิงสา.

อีกประการหนึ่ง เมื่อภิกษุมนสิการถึงรูปทั้งหลาย จิตของเธอย่อมไม่แล่นไป ย่อมไม่เลื่อมใส ย่อมไม่ตั้งอยู่ ย่อมไม่น้อมไปในรูปทั้งหลาย แต่เมื่อเธอมนสิการถึงอรูป จิตของเธอย่อมแล่นไป ย่อมเลื่อมใส ย่อมตั้งอยู่ ย่อมน้อมไปในอรูป จิตของเธอนั้นชื่อว่า เป็นจิตดำเนินไปดีแล้ว อบรมดีแล้ว ตั้งอยู่ดีแล้ว หลุดพ้นดีแล้ว พรากออกดีแล้ว จากรูปทั้งหลาย อาสวะ ทุกข์ และความเร่าร้อนเหล่าใด ย่อมเกิดเพราะรูปเป็นปัจจัย เธอหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ ทุกข์ และความเร่าร้อนเหล่านั้น เธอย่อมไม่เสวยเวทนาที่เกิดเพราะเหตุนั้น นี้เรากล่าวว่า เป็นการพรากออก แห่งรูปทั้งหลาย.

อีกประการหนึ่ง เมื่อภิกษุมนสิการถึงสักกายะ จิตของเธอย่อมไม่แล่นไป ย่อมไม่เลื่อมใส ย่อมไม่ตั้งอยู่ ย่อมไม่น้อมไปในสักกายะ แต่เมื่อเธอมนสิการ ถึงความดับแห่งสักกายะ จิตของเธอย่อมแล่นไป ย่อมเลื่อมใส ย่อมตั้งอยู่ ย่อมน้อมไปในความดับแห่งสักกายะ จิตของเธอนั้นชื่อว่า เป็นจิต ดำเนินไปดีแล้ว อบรมดีแล้ว ตั้งอยู่ดีแล้ว หลุดพ้นดีแล้ว พรากออกดีแล้ว จากสักกายะ อาสวะ ทุกข์ และความเร่าร้อนเหล่าใด ย่อมเกิดเพราะสักกายะเป็นปัจจัย เธอหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ ทุกข์ และความเร่าร้อนเหล่านั้น เธอ

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 443

ย่อมไม่เสวยเวทนา ที่เกิดเพราะเหตุนั้น นี้เรากล่าวว่า เป็นการพรากออก แห่งสักกายะ.

ความเพลินในกามก็ดี ความเพลินในพยาบาทก็ดี ความเพลินในวิหิงสาก็ดี ความเพลินในรูปก็ดี ความเพลินในสักกายะก็ดี ย่อมไม่บังเกิดขึ้นแก่เธอ เพราะความเพลินในกามก็ดี ความเพลินในพยาบาทก็ดี ความเพลินในวิหิงสาก็ดี ความเพลินในรูปก็ดี ความเพลินในสักกายะก็ดี ไม่บังเกิดขึ้น ภิกษุนี้เรากล่าวว่า เป็นผู้ไม่มีอาลัย ตัดตัณหาได้แล้ว คลายสังโยชน์ได้แล้ว ทำที่สุดทุกข์ได้แล้ว เพราะละมานะได้โดยชอบ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธาตุที่พึงพรากได้ ๕ ประการนี้แล.

จบนิสสารณียสูตรที่ ๑๐

จบพราหมณวรรควรรณนาที่ ๕

จบจตุตถปัณณาสก์

อรรถกถานิสสารณียสูตร

พึงทราบวินิจฉัย ในนิสารณียสูตรที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้ :

บทว่า นิสฺสารณิยา ได้แก่ สลัดออกไป คือ พรากออกได้. บทว่า ธาตุโย ได้แก่ สภาพที่ว่างจากตน. บทว่า กามํ มนสิกโรโต ได้แก่ ใส่ใจถึงกาม อธิบายว่า ออกจากอสุภฌานแล้ว ส่งจิตมุ่งต่อกาม เพื่อจะทดสอบ ดุจหยิบยาทดลองพิษ [ฤทธิ์ยา]. บทว่า น ปกฺขนฺทติ คือ ไม่เข้าไป. บทว่า น ปสีทติ คือ ไม่ถึงความเลื่อมใส. บทว่า น สนฺติฏฺติ คือ ไม่ตั้งอยู่. บทว่า น วิมุจฺจติ คือ ไม่น้อมไป. เหมือนอย่างว่า ปีกไก่ก็ดี เอ็นกบก็ดี

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 444

ที่เขาใส่ลงไปในไฟ ย่อมหงิกงอ ม้วนไม่เหยียด ฉันใด จิตก็หดหู่ ไม่เหยียดออก ฉันนั้น. ปฐมฌานในอสุภะชื่อว่า เนกขัมมะ ในบทนี้ว่า เนกฺขมฺมํ โข ปน ดังนี้. เมื่อภิกษุนั้นใส่ใจถึงเนกขัมมะนั้น จิตย่อมแล่นไป (ในเนกขัมมะ). บทว่า ตสฺส ตํ จิตฺตํ ได้แก่ จิตในอสุภฌานของภิกษุนั้น. บทว่า สุคตํ ได้แก่ ไปแล้วด้วยดี เพราะไปในโคจรคืออารมณ์. บทว่า สุภาวิตํ ได้แก่ อบรมแล้วด้วยดี เพราะไม่เป็นไป ในส่วนแห่งความเสื่อม. บทว่า สุวุฏฺิตํ ได้แก่ ออกไปแล้วจากกาม. บทว่า สุวิมุตฺตํ ได้แก่ พ้นแล้วด้วยดีจากกามทั้งหลาย. อาสวะทั้งหลาย ๔ ที่มีกามเป็นเหตุ ชื่อว่า อาสวะ มีกามเป็นปัจจัย. ความทุกข์ ชื่อว่า วิฆาตะ ความเร่าร้อนเพราะกามราคะ ชื่อว่า ปริฬาหะ. บทว่า น โส ตํ เวทนํ เวทยติ ความว่า ภิกษุนั้นมิได้เสวยเวทนา เกิดจากกามนั้น และเวทนาเกิดจากความทุกข์ และความเร่าร้อน.

บทว่า อิทมกฺขาตํ กามานํ นิสฺสรณํ ความว่า อสุภฌานนี้ท่าน กล่าวว่า เป็นเครื่องไหลออกไป แห่งกามทั้งหลาย เพราะสลัดออกจากกาม. ก็ภิกษุใดทำฌานนั้นให้เป็นบาท พิจารณาสังขารทั้งหลาย บรรลุตติยมรรค เห็นนิพพานด้วยอนาคามิผลแล้วก็รู้ว่า ชื่อว่า กามทั้งหลาย จะไม่มีอีกดังนี้ จิตของภิกษุนั้น ชื่อว่า เป็นนิสสรณะ เครื่องไหลออกโดยส่วนเดียว. แม้ในบทที่เหลือ ก็นัยนี้เหมือนกัน. แต่ความต่างกันมีดังนี้ ในวาระที่ ๒ เมตตาฌาน ชื่อว่า เป็นเครื่องสลัดออกแห่งพยาบาท ในวาระที่ ๓ กรุณาฌาน ชื่อว่า เป็นเครื่องสลัดออกแห่งวิหิงสา ในวาระที่ ๔ อรูปฌาน ชื่อว่า เป็นเครื่องสลัดออกแห่งรูปทั้งหลาย. อนึ่ง พึงประกอบอรหัตตผล เข้าในบทนี้ว่า อจฺจนฺตนิสฺสรณํ ดังนี้. ในวาระที่ ๕ บทว่า สกฺกายํ มนสิกโรโต ความว่า เมื่อภิกษุกำหนด สังขารล้วนเป็นอารมณ์แล้ว บรรลุพระอรหัต เป็นสุกขวิปัสสก ออกจากผลสมาบัติ

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 28 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 445

แล้วจึงส่งจิตมุ่งต่ออุปาทานขันธ์ ๕ เพื่อทดสอบ. บทว่า อิทมกฺขาตํ สกฺกายสฺส นิสฺสรณํ ความว่า จิตอันสัมปยุตด้วยอรหัตตผลสมาบัติ ที่เกิดขึ้นว่า สักกายะจะไม่มีอีกต่อไป ดังนี้ ของภิกษุผู้เห็นพระนิพพาน ด้วยอรหัตตมรรค และด้วยผลดำรงอยู่นี้ ท่านกล่าวว่า เป็นเครื่องสลัดออกไป แห่งสักกายะ. ดังนี้.

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงสรรเสริญคุณ ของพระขีณาสพ ผู้บรรลุสักกาย นิสสรณนิโรธอย่างนี้ ดำรงอยู่ จึงตรัสคำมีอาทิว่า ตสฺส กามนนฺทิปิ นานุเสติ ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า นานุเสติ คือ ไม่เกิด. บทว่า อนนุสยา คือ เพราะความไม่เกิด. บทที่เหลือในสูตรนี้ มีเนื้อความง่ายทั้งนั้น.

จบอรรถกถา นิสสารณียสูตรที่ ๑๐

จบพราหมณวรรควรรคนาที่ ๕

จบจตุตถปัณณาสก์

รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ

๑. โสณสูตร ๒. โทณสูตร ๓. สังคารวสูตร ๔. การณปาลีสูตร ๕. ปิงคิยานีสูตร ๖. สุปินสูตร ๗. วัสสสูตร ๘. วาจาสูตร ๙. กุลสูตร ๑๐. นิสสารณียสูตร และอรรถกถา.