โลกคืออะไร?
ตามหลักคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงคำว่าโลกในวินัยของพระอริยะ หมายถึง สิ่งที่เกิดดับ แตกสลาย ได้แก่ รูป นาม ขันธ์ ๕ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ โดยปรมัตถ์ได้แก่ จิต เจตสิก รูป เป็นโลก จะเข้าใจโลกได้ด้วยการศึกษาพระธรรมคำสอน อบรมเจริญปัญญา จึงจะเข้าใจโลก ตามความเป็นจริง
ขอเชิญคลิกอ่านที่นี่
โลกมี 3 อย่างคือ
1. สังขารโลก คือโลกที่มีการปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็นโลกทางตา ฯลฯ ก็แตกสลาย
ย่อยยับ ทำลาย ฯลฯ
2. โอกาสโลก คือโลกเป็นที่เกิดของหมู่สัตว์ เช่น โลกสวรรค์ โลกมนุษย์ เปรต
อบายภูมิ ฯลฯ
3. สัตวโลก เพราะอรรถว่าเป็นที่ดูผลแห่งบุญและบาป (เช่น รูป ร่างหน้าตา ฐานะ
ความเป็นอยู่ ฯลฯ) ทั้งหมดนี้ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องของโลกเพื่อความเบื่อ
หน่าย เพื่อความไม่ ติดข้อง กับสิ่งที่เกิดแล้วดับ มีการแตกสลายไปเป็นธรรมดาค่ะ
โลกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การจะเข้าใจโลก ไม่มีวิธีการ มีแต่การฟังเพื่อความ
เข้าใจที่เพิ่มขึ้น จนสติเป็นสภาพที่มีกำลัง ปัญญาจึงจะเข้าใจโลกได้ และควรเป็นไป
อย่างนี้ ซึ่งก็บังคับไม่ได้ จนกว่าจะพ้นจากโลก
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ถ้าไม่มีสภาพธัมมะที่จริงในขณะนี้ ซึ่งเป็นปรมัตถธรรม เช่น เสียง สิ่งที่ปรากฏ
ทางตาเป็นต้น โลกก็จะไม่มี เพราะโลกจริงๆ ก็คือสภาพธัมมะที่มีจริงที่เกิดดับ
ซึ่งเป็นโลกในวินัยของพระอริยเจ้า แต่โลกของปุถุชนนั้นก็เป็นโลกที่ไม่เป็นไป
ตามความเป็นจริงเพราะไม่มีปัญญา ด้วยว่าสภาพธัมมะเกิดดับเร็ว จึงเห็นเป็น
คน สัตว์ วัตถุ ยึดถือสภาพธัมมะต่างๆ ว่าเป็น เรา คนนั้น คนนี้ ซึ่งไม่ใช่โลก
ในวินัยของพระอริยเจ้า ไม่เห็นตามความเป็นจริง การจะรู้จักโลก คงไม่ใช่
เป็นการสำรวจอวกาศ หรือ ขุดดินอะไร เพราะก็ไม่ชื่อว่ารู้จักโลกจริงๆ เพราะ
อะไร ก็ยังยึดถือว่ามีสัตว์ บุคคลตัวตน ในเมื่อโลกจริงๆ ก็เป็นเพียงธรรมเท่านั้น
ซึ่งจะรู้จักโลกก็ด้วยปัญญา ด้วยการอบรมเจริญสติปัฏฐาน โดยรู้ว่าเป็นธรรม
เท่านั้น นี่แหละย่อมชื่อว่า รู้จักโลกในวินัยของพระอริยเจ้า
โลกมีได้ก็เมื่อมีสภาพธัมมะเกิดขึ้น ถ้าไม่มีสภาพธัมมะเกิดขึ้นก็ไม่มีโลก
ขอเชิญคลิกอ่านที่นี่
โลกมีได้ ก็เมื่อมีสภาพธรรมะเกิดขึ้น
โลก ก็คือ สภาพธัมมะที่เกิดอยู่กับตัวเรานี่เอง และการจะดับกิเลสก็ต้องรู้จักโลก
หรือ สภาพธัมมะที่เกิดกับตัวเราว่าเป็นธัมมะ ไม่ใช่เรา ด้วยการอบรมเจริญสติ
ปัฏฐาน พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 382
[๒๙๘] พ. ดูก่อนผู้มีอายุ ณ โอกาสใดบุคคลไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย
ไม่จุติ ไม่อุปบัติ เราไม่เรียกโอกาสนั้นว่าที่สุดของโลก ที่ควรรู้ ควรเห็น
ควรบรรลุ ด้วยการเดินทาง ก็ถ้าหากเรายังไม่บรรลุถึงที่สุดของโลกแล้ว ก็จะ
ไม่กล่าวถึงการกระทำที่สุดทุกข์ ก็แต่ว่าเราบัญญัติโลก เหตุให้เกิดโลก การ
ดับของโลก และทางให้ถึงความดับโลก ในเรือนร่าง มีประมาณวาหนึ่งนี้
และพร้อมทั้งสัญญา พร้อมทั้งใจครอง.