๗. ภาวนาสูตร
[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 252
วรรคที่ไม่สงเคราะห์เข้าในปัณณาสก์
มหาวรรคที่ ๒
๗. ภาวนาสูตร
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 37]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 252
๗. ภาวนาสูตร
[๖๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่หมั่นเจริญภาวนา แม้จะพึงเกิดความปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอจิตของเราพึงหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ก็จริง แต่จิตของภิกษุนั้นย่อมไม่หลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ข้อนั้นเพราะเหตุไร จะพึงกล่าวได้ว่าเพราะไม่ได้เจริญ เพราะไม่ได้เจริญอะไร เพราะไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ เปรียบเหมือนแม่ไก่มีไข่อยู่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง ไข่เหล่านั้น แม่ไก่กกไม่ดี ให้ความอบอุ่นไม่พอ ฟักไม่ได้ แม่ไก่นั้น แม้จะพึงเกิดความ ปรารถนาขึ้นอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอให้ลูกของเราพึงใช้ปลายเล็บเท้าหรือจะงอยปากเจาะกะเปาะไข่ ฟักตัวออกมาโดยสวัสดี ก็จริง แต่ลูกไก่เหล่านั้นไม่สามารถที่จะใช้ปลายเล็บเท้าหรือจะงอยปากเจาะกะเปาะไข่ ฟักตัวออกมาโดยสวัสดีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะแม่ไก่กกไม่ดี ให้ความอบอุ่นไม่พอ ฟักไม่ดี ฉะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุหมั่นเจริญภาวนา แม้จะไม่พึงเกิดความปรารถนาอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอจิตของเราพึงหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ก็จริง จิตของภิกษุนั้น ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ข้อนั้นเพราะเหตุไร พึงกล่าวได้ว่าเพราะเจริญ เพราะเจริญอะไร เพราะเจริญสติปัฏฐาน ๔ ฯลฯ อริยมรรคประกอบด้วยองค์ ๘ เปรียบเหมือนแม่ไก่มีไข่อยู่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 253
หรือ ๑๒ ฟอง ไข่เหล่านั้นแม่ไก่กกดี ให้ความอบอุ่นเพียงพอ ฟักดี แม้แม่ไก่นั้นจะไม่พึงปรารถนาอย่างนี้ว่า โอหนอ ขอให้ลูกของเราพึงใช้ปลายเล็บเท้าหรือจะงอยปากเจาะกะเปาะไข่ ฟักตัวออกมาโดยสวัสดี ก็จริง แต่ลูกไก่เหล่านั้นก็สามารถใช้เท้าหรือจะงอยปากเจาะกะเปาะไข่ ฟักตัวออกมาโดยสวัสดีได้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะไข่เหล่านั้นแม่ไก่กกดี ให้ความอบอุ่นเพียงพอ ฟักดี ฉะนั้น.
เปรียบเหมือนรอยนิ้วมือ รอยนิ้วหัวแม่มือที่ด้ามมีดย่อมปรากฏแก่นายช่างไม้หรือลูกมือนายช่างไม้ แต่เขาไม่รู้อย่างนี้ว่า วันนี้ด้ามมีดของเราสึกไปเท่านี้ เมื่อวานสึกไปเท่านี้ หรือเมื่อวานซืนสึกไปเท่านี้ ที่จริง เมื่อด้ามมีดสึกไป เขาก็รู้ว่าสึกไปนั่นเทียว ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุหมั่นเจริญภาวนาอยู่ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน แม้จะไม่รู้อย่างนี้ว่า วันนี้อาสวะของเราสิ้นไปเท่านี้ เมื่อวานสิ้นไปเท่านี้ หรือเมื่อวานซืนสิ้นไปเท่านี้ แต่ที่จริง เมื่ออาสวะสิ้นไปภิกษุนั้นก็รู้ว่าสิ้นไปนั่นเทียว.
เปรียบเหมือนเรือเดินสมุทรที่เขาผูกหวาย ขันชะเนาะแล้ว แล่นไปในน้ำตลอด ๖ เดือน ถึงฤดูหนาวเข็นขึ้นบก เครื่องผูกประจำเรือตากลมและแดดไว้ เครื่องผูกเหล่านั้นถูกฝนชะย่อมชำรุดเสียหาย เป็นของเปื่อยไปโดยไม่ยาก ฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุหมั่นเจริญภาวนาอยู่ สังโยชน์ย่อมระงับไปโดยไม่ยาก ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล.
จบ ภาวนาสูตรที่ ๗
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 254
อรรถกถาภาวนาสูตรที่ ๗
ภาวนาสูตรที่ ๗ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อนนุยุตฺตสฺส ความว่า เมื่อภิกษุไม่ประกอบเนืองๆ และไม่ประกอบทั่วแล้วอยู่. คำว่า เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว กุกฺกุฏิยา อณฺฑานิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอุปมานี้ไว้เป็นสองประการ คือ ธรรมฝ่ายดำและธรรมฝ่ายขาว (อกุศลและกุศล) บรรดาอุปมา ๒ อย่างนั้น อุปมาแห่งธรรมฝ่ายดำไม่ทำประโยชนให้สำเร็จ ธรรมฝ่ายขาวทำประโยชน์ให้สำเร็จ เพราะเหตุนั้น บัณฑิตพึงทราบประโยชน์ด้วยอุปมาแห่งธรรมฝ่ายขาว นั่นแล.
ศัพท์ว่า เสยฺยถา เป็นนิบาต ใช้ในอรรถแห่งอุปมา. ศัพท์ว่า อปิ เป็นนิบาต ใช้ในอรรถแห่งสัมภาวนะ ยกย่อง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า เสยฺยาถาปิ นาม ภิกฺขเว ดังนี้.
ก็ในพระบาลีนี้ว่า กุกฺกุฏิยา อณฺฑานิ อฏฺวา ทสวา ทฺวาทส วา มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้. แม่ไก่จะมีไข่ขาดหรือเกินโดยประการที่ตรัสไว้แล้วก็จริง ถึงกระนั้น พระองค์ก็ตรัสคำนี้ไว้ก็เพื่อให้ถ้อยคำสละสลวย.
บทว่า ตานสฺสุ ตัดบทเป็น ตานิ อสฺสุ ความว่า ฟองไข่เหล่านั้นพึงมี.
บทว่า กุกฺกุฏิยา สมฺมา อธิสยิตานิ ความว่า เมื่อนางไก่เป็นแม่นั้นเหยียดปีกนอนกกบนฟองไข่เหล่านั้น ชื่อว่ากกแล้วโดยชอบ.
บทว่า สมฺมา ปริสพิตานิ ความว่า เมื่อแม่ไก่มีระดูตามกำหนดเวลาเป็นอันชื่อว่าให้สุกแล้วโดยรอบด้วยดี อธิบายว่า
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 255
กระทำให้อุ่นแล้ว.
บทว่า สมฺมา ปริภาวิตานิ ความว่า อบโดยรอบด้วยดีตามกำหนดเวลา อธิบายว่า ฟองไข่ได้รับไออุ่นของแม่ไก่.
คำว่า กิญฺจาปิ ตสฺสา กุกฺกุฏิยา ความว่า เพราะแม่ไก่นั้นกระทำความไม่ประมาทโดยการกระทำกิริยา ๓ อย่างนี้ ไม่พึงเกิดความปรารถนาอย่างนั้นก็จริง.
บทว่า อถโข ภพฺพาว เต ความว่า ที่แท้ลูกไก่เหล่านั้นควรเจาะออกไปโดยสวัสดี โดยนัยที่กล่าวแล้ว ก็เพราะเหตุที่ฟองไข่เหล่านั้นแม่ไก่นั้นให้ความคุ้มครองด้วยอาการ ๓ อย่างนี้จึงไม่เน่าเสีย ฟองไข่เหล่านั้นยังมียางสด ยางสดนั้นยึดเกาะ กะเปาะไข่ก็บาง ปลายเล็บเท้าและปลายจะงอยปากเป็นของแข็ง ลูกไก่ทั้งหลายย่อมขยับขยายได้เองเพราะกะเปาะไข่เป็นของบาง แสงสว่างภายนอกย่อมปรากฏเข้าถึงภายในฉะนั้น ลูกไก่เหล่านั้นพากันคิดว่าพวกเรานอนงอมืองอเท้าอยู่ในที่แคบเป็นเวลานานหนอ ก็แสงสว่างนี้ย่อมปรากฏอยู่ข้างนอก บัดนี้พวกเราจักอยู่เป็นสุขในที่นี้ ดังนี้ประสงค์จะออกไป จึงทำลายกะเปาะไข่ ยื่นคอออกไป. แต่นั้น กะเปาะไข่ (เปลือกไข่) นั้นก็แตกออกเป็น ๒ ซีก. ต่อนั้น ลูกไก่เหล่านั้นสลัดปีกพลางส่งเสียงร้องออกไปตามสมควรแก่เวลานั้น และเมื่อออกไปได้ก็เที่ยวทำเขตบ้านให้สวยงาม
คำว่า เอวเมว โข นี้ ท่านกล่าวไว้เป็นคำอุปมา. คำนั้นพึงทราบได้ก็เพราะเทียบเคียงข้อความอย่างนี้. จริงอยู่การกระทำอนุปัสสนา ๓ ว่า ปัญญจขันธ์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็น
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 256
อนัตตา ในจิตตสันดานของตน ของภิกษุนี้ เปรียบเหมือนการกระทำกิริยา มีการนอนกกฟองไข่เป็นต้นของแม่ไก่นั้น การไม่ทำวิปัสสนาญาณให้เสื่อมด้วยการทำวิปัสสนา ๓ ให้ถึงพร้อมของภิกษุผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งวิปัสสนา เปรียบเหมือนความไม่เน่าเสียแห่งฟองไข่ด้วยการกระทำกิริยา ๓ อย่างให้ถึงพร้อมของแม่ไก่. การยึดยางเหนียวคือความใคร่อันติดตามไปสู่ภพ ๓ ด้วยการทำอนุปัสสนา ๓ ให้ถึงพร้อมของภิกษุนั้น เปรียบเหมือนยึดยางเหนียวสดแห่งฟองไข่ทั้งหลายด้วยการทำกิริยา ๓ ของแม่ไก่นั้น. ความว่าที่กะเปาะไข่คืออวิชชาเป็นของบาง เพราะการทำอนุปัสสนา ๓ ให้ถึงพร้อมของภิกษุ เปรียบเหมือนความที่กะเปาะฟองไข่เป็นของบางด้วยการกระทำกิริยาของแม่ไก่ ความที่วิปัสสนาญาณเป็นธรรมชาติกล้าแข็ง ผ่องใสและกล้าแข็ง เพราะการทำอนุปัสสนา ๓ ให้ถึงพร้อมของภิกษุ เปรียบเหมือนความที่เล็บ จะงอยปากของลูกไก่เป็นของแข็ง ด้วยการกระทำกิริยา ๓ ของแม่ไก่ กาลเวลาที่เปลี่ยนแปลง กาลเจริญเติบโต กาลที่ถือเอาซึ่งห้องแห่งวิปัสสนาญาณ ด้วยทำอนุปัสสนา ๓ ให้ถึงพร้อมของภิกษุ เปรียบเหมือนการที่ลูกไก่เปลี่ยนแปลงไปด้วยการกระทำกิริยา ๓ ของแม่ไก่ กาลที่ภิกษุนั้นให้จิตถือเอาซึ่งห้องแห่งวิปัสสนาญาณ นั่งบนอาสนะ เที่ยวไปอยู่. ย่อมสิ้นแล้วจึงเที่ยวไป ได้อุตุสัปปายะ โภชนะสัปปายะ บุคคลสัปปายะ ธัมมสวนสัปปายะ อันสมควรแก่วิปัสสนาญาณนั้น นั่งบนอาสนะ เดียว เจริญวิปัสสนา ทำลายกะเปาะฟองไข่คืออวิชชาด้วย
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 257
อรหัตตมรรคที่ตนบรรลุแล้วโดยลำดับ แล้วปรบปีกคืออภิญญาแล้วบรรลุพระอรหัตโดยสวัสดี พึงทราบเปรียบเหมือนกาลที่ลูกไก่ทั้งหลายทำลายกะเปาะฟองไข่ด้วยปลายเล็บเท้าหรือด้วยจะงอยปาก แล้วปรบปีกเจาะออกไปโดยสวัสดี ด้วยการกระทำกิริยา ๓ ให้ถึงพร้อมของแม่ไก่. เหมือนอย่างว่า แม่ไก่ทราบว่าลูกไก่ทั้งหลายเปลี่ยนแปลงแล้วย่อมทำลายกะเปาะฟองไข่ ฉันใด แม้พระศาสดาก็ฉันนั้น ทรงทราบว่าภิกษุเห็นปานนั้นมีญาณแก่กล้าแล้ว ทรงแผ่พระรัศมีทำลายกะเปาะฟองไข่คืออวิชชาด้วยคาถาโดยนัยมีอาทิว่า
เธอจงถอนเสียซึ่งความเยื่อใยของตน เหมือนบุคคลเอามือถอนกอโกมุทในสารทกาล ฉะนั้น เธอจงพอกพูนทางอันสงบ ด้วยว่าพระนิพพานอันพระสุคตแสดงไว้แล้ว.
จบคาถา ภิกษุนั้นทำลายกะเปาะไข่คืออวิชชาแล้วก็บรรลุอรหัต. ตั้งแต่นั้นมา ลูกไก่เหล่านั้นก็ทำเขตบ้านให้งดงาม เที่ยวอยู่ในเขตบ้านนั้น ฉันใด. พระมหาขีณาสพแม้นั้นก็ฉันนั้น เข้าผลสมาบัติซึ่งมีพระนิพพานเป็นอารมณ์แล้ว ทำสังฆารามให้งาม เที่ยวไปอยู่.
บทว่า พลภณฺฑสฺส ได้แก่ ช่างไม้ ก็ช่างไม้นั้นทรงไว้ซึ่งกำลัง กล่าวคือแรงยกหิ้ว นำเอาเครื่องไม้ไป เพราะเหตุนั้น ท่านเรียกว่าพลภัณฑะ.
บทว่า วาสิชเฏ ได้แก่ ในที่ด้ามมีดสำหรับมือจับ.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 258
บทว่า เอตฺตกํ วา เม อชฺช อาสวานํ ขีณํ ความว่า ก็อาสวะทั้งหลายของบรรพชิต ย่อมสิ้นไปตลอดกาลเป็นนิตย์ ด้วยอุเทส ด้วยปริปุจฉา ด้วยโยนิโสมนสิการ ด้วยวัตรปฏิบัติ โดยสังเขปว่าบรรพชา อธิบายว่า ก็เมื่ออาสวะทั้งหลายสิ้นไปอยู่อย่างนี้ ภิกษุนั้นย่อมไม่รู้อย่างนี้ว่า วันนี้ (อาสวะ) สิ้นไปเท่านี้ วานนี้ (อาสวะ) สิ้นไปเท่านี้ ดังนี้. อานิสงส์แห่งวิปัสสนาท่านแสดงด้วยอุปมาอย่างนี้.
บทว่า เหมนฺติเกน ความว่า โดยเหมันตสมัย คือ ฤดูหนาว.
บทว่า ปฏิปฺปสฺสมฺภนฺติ ได้แก่ ย่อมเสื่อมไปอย่างถาวร.
ในบทว่า เอวเมว โข นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้. พระศาสดา (คำสอน) พึงเห็นเหมือนมหาสมุทร พระโยคาวจรเหมือนเรือ การเที่ยวไปในสำนักของอาจารย์และอุปัชฌาย์ในเวลาที่ตนมีพรรษาหย่อน ๕ ของภิกษุนี้เหมือนเรือแล่นวนอยู่ในมหาสมุทร. ความที่สังโยชน์ทั้งหลายเบาบางลงด้วยกิจมีอุเทสและปริปุจฉาเป็นต้น นั่นแล โดยสังเขปว่า บรรพชาของภิกษุเหมือนเครื่องผูกเรือ อันน้ำในมหาสมุทรกัดให้กร่อนเบาบางไปฉะนั้น กาลที่ภิกษุผู้เป็นนิสสยมุตตกะพ้นนิสัย กำหนดกรรมฐานอยู่ในป่า เหมือนเวลาที่เธอถูกเขายกขึ้นไว้บนบก ใยยางคือตัณหาเหือดแห้งไปด้วย วิปัสสนาญาณ เหมือนเชือกแห้งเกราะไปด้วยลมและแดดในกลางวัน ฉะนั้น การชุ่มชื่นแห่งจิตด้วยปีติและปราโมทย์ที่อาศัยกรรมฐานเกิดขึ้น เหมือนเชือกเปียกชุ่มด้วยหยาดน้ำค้างในกลางคืน ความที่สังโยชน์ทั้งหลายมีกำลังอ่อนลงเป็นอย่างยิ่งด้วยปีติและปราโมทย์อันสัมปยุตด้วยวิปัสสนาญาณ พึงเห็นเหมือนเครื่องผูกเรือ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 259
ที่ถูกแดดแผดเผาในกลางวันและถูกหยาดน้ำค้างเปียกชุ่มอยู่ในกลางคืนทำให้เสื่อมสภาพไป. อรหัตตมรรคญาณเหมือนเมฆฝนที่ตกลงมา. ภิกษุผู้ปรารภวิปัสสนา เจริญวิปัสสนาด้วยอำนาจแห่งอารมณ์มีรูป ๗ หมวดเป็นต้น เมื่อกรรมฐานปรากฏชัดแจ่มแจ้งอยู่ ได้อุตุสัปปายะเป็นต้นในวันหนึ่ง นั่งโดยบัลลังค์ก็บรรลุพระอรหัตตผล เหมือนเรือที่ผุภายในเพราะน้ำฝนที่ตกลงมาและน้ำในมหาสมุทร พระอรหันต์ผู้สิ้นสังโยชน์แล้ว อนุเคราะห์มหาชนอยู่ ดำรงขันธ์ตลอดอายุขัย เหมือนเรือที่เครื่องผูกตั้งอยู่ชั่วกาลนิดหน่อย พระขีณาสพผู้ปรินิพพานแล้ว ด้วยอนุปาทิเสสนิพพพานธาตุ เพราะการแตกแห่งอุปาทินนขันธ์ สังขารที่มีใจครอง ก็ถึงความหาบัญญัติมิได้ พึงเห็นเหมือนเรือที่เครื่องผูกผุก็สลายไปโดยลำดับ หาบัญญัติมิได้ฉะนั้น. ด้วยอุปมานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความที่สังโยชน์ทั้งหลายมีกำลังอ่อนลง
จบ อรรถกถาภาวนาสูตรที่ ๗