พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

พระสูตรที่ไม่สงเคราะห์เข้าในวรรค (อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต)

 
บ้านธัมมะ
วันที่  2 พ.ย. 2564
หมายเลข  39554
อ่าน  426

[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 286

พระสูตรที่ไม่สงเคราะห์เข้าในวรรค

พระสูตรที่ไม่สงเคราะห์เข้าในวรรค 82/286


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 37]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 286

พระสูตรที่ไม่สงเคราะห์เข้าในวรรค

[๘๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าเป็นภิกษุ เพราะทำลายธรรม ๗ ประการ ธรรม ๗ ประการเป็นไฉน คือ สักกายทิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ สีลัพพตปรามาส ๑ ราคะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ มานะ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าเป็นภิกษุ เพราะทำลายธรรม ๗ ประการนี้แล.

[๘๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าเป็นสมณะ เพราะสงบธรรม ๗ ประการ ชื่อว่าเป็นพราหมณ์ เพราะลอยธรรม ๗ ประการ ชื่อว่าเป็นโสตถิกะ (สวัสดี) เพราะเป็นผู้ไม่ร้อยรัดธรรม ๗ ประการ ชื่อว่าเป็นนหาตกะ เพราะอาบธรรม ๗ ประการ ชื่อว่าเป็นเวทคู เพราะรู้ชัดธรรม ๗ ประการ ชื่อว่าเป็นอรหันต์ เพราะเป็นไกลธรรม ๗ ประการ ธรรม ๗ ประการเป็นไฉน คือ สักกายทิฏฐิ ๑ วิจิกิจฉา ๑ สีลัพพตปรามาส ๑ ราคะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ มานะ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าเป็นอรหันต์ เพราะ เป็นผู้ไกลธรรม ๗ ประการนี้แล.

[๘๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสัทธรรม ๗ ประการนี้ ๗ ประการเป็นไฉน คือ อสัต บุรุษเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ๑ ไม่มีหิริ ๑ ไม่มีโอตตัปปะ ๑ มีสุตะน้อย ๑ เป็นผู้เกียจคร้าน ๑ มีสติหลงลืม ๑ มีปัญญาทราม ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อสัทธรรม ๗ ประการนี้แล. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัทธรรม ๗ ประการนี้ ๗ ประการเป็นไฉน

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 287

คือ สัตบุรุษเป็นผู้มีศรัทธา ๑ มีหิริ ๑ มีโอตตัปปะ ๑ เป็นพหูสูต ๑ ปรารภความเพียร ๑ มีสติ ๑ มีปัญญา ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัทธรรม ๗ ประการนี้แล.

[๘๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๗ จำพวกนี้ เป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นผู้ควรของทำบุญ เป็นผู้ควรกระทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ๗ จำพวกเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ พิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง มีความสำคัญว่าไม่เที่ยง ตระหนักชัดว่าไม่เที่ยงในจักษุ น้อมไปด้วยใจ หยั่งลงด้วยปัญญา ติดต่อสม่ำเสมอไม่ขาดสาย เธอกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ นี้บุคคลที่ ๑ เป็นผู้ควรของคำนับ... เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า.

อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ พิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง มีความสำคัญว่าไม่เที่ยง ตระหนักชัดว่าไม่เที่ยงในจักษุ น้อมไปด้วยใจ หยั่งลงด้วยปัญญา ติดต่อสม่ำเสมอไม่ขาดสาย บุคคลนั้นมีการสิ้นอาสวะและการสิ้นชีวิต ไม่ก่อนไม่หลังกัน นี้เป็นบุคคลที่ ๒ เป็นผู้ควรของคำนับ...

อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ พิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง... ติดต่อสม่ำเสมอไม่ขาดสาย บุคคลนั้นเป็นอันตราปรินิพพายี เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ นี้เป็นบุคคลนี้ ๓ เป็นผู้ควรของคำนับ....

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 288

อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ พิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง... ติดต่อสม่ำเสมอไม่ขาดสาย บุคคลนั้นเป็นอุปหัจจปรินิพพายี เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ นี้เป็นบุคคลที่ ๔ เป็นผู้ควรของคำนับ....

อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ พิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง... ติดต่อสม่ำเสมอไม่ขาดสาย บุคคลนั้นเป็นอสังขารปรินิพพายี เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ นี้เป็นบุคคลที่ ๕ เป็นผู้ควรของคำนับ....

อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ พิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง... ติดต่อสม่ำเสมอไม่ขาดสาย บุคคลนั้นเป็นสสังขารปรินิพพายี เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ นี้เป็นบุคคลที่ ๖ เป็นผู้ควรของคำนับ....

อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ พิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง... ติดต่อสม่ำเสมอไม่ขาดสาย บุคคลนั้นเป็นอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี เพราะสิ้นโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ นี้เป็นบุคคลที่ ๗ เป็นผู้ควรของคำนับ ฯลฯ เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๗ จำพวกนี้แล เป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นผู้ควรของทำบุญ เป็นผู้ควรทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า.

[๘๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๗ จำพวกนี้ เป็นผู้ควรของคำนับ... ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ๗ จำพวกเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ พิจารณาเห็นว่าเป็นทุกข์ในจักษุ...

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 289

พิจารณาเห็นว่าเป็นอนัตตาในจักษุ... พิจารณาเห็นความสิ้นไปในจักษุ... พิจารณาเห็นความเสื่อมไปในจักษุ... พิจารณาเห็นความคลายไปในจักษุ... พิจารณาเป็นความดับในจักษุ... พิจารณาเห็นความสละคืนในจักษุ... พิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง พิจารณาเห็นว่าเป็นทุกข์ พิจารณาเห็นว่าเป็นอนัตตา... พิจารณาเห็นความสิ้นไป... พิจารณาเห็นความเสื่อมไป... พิจารณาเห็นความคลายไป... พิจารณาเห็นความดับ... พิจารณาเห็นความสละคืน ความคลายไป... พิจารณาเห็นความดับ... พิจารณาเห็นความสละคืนในหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ในจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ ในจักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส ในจักขุสัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา ในรูปสัญญา สัททสัญญา คันธสัญญา รสสัญญา โผฏฐัพพสัญญา ธรรมสัญญา ในรูปสัญเจตนา สัททสัญเจตนา คันธสัญเจตนา รสสัญเจตนา โผฏฐัพพสัญเจตนา ธรรมสัญเจตนา ในรูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธรรมตัณหา ในรูปวิตก สัททวิตก คันธวิตก รสวิตก โผฏฐัพพวิตก ธรรมวิตก ในรูปวิจาร สัททวิจาร คันธวิจาร รสวิจาร โผฏฐัพพวิจาร ธรรมวิจาร ในรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 290

[๘๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการอันภิกษุพึงเจริญเพื่อรู้ยิ่ง ราคะ ๗ ประการเป็นไฉน คือ สติสัมโพชฌงค์ ฯลฯ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการนี้ อันภิกษุพึงเจริญเพื่อรู้ยิ่งราคะ.

[๘๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการ ภิกษุพึงเจริญเพื่อรู้ยิ่งราคะ ๗ ประการเป็นไฉน คือ อนิจจสัญญา ๑ อนัตตสัญญา ๑ อสุภสัญญา ๑ อาทีนวสัญญา ๑ ปหานสัญญา ๑ วิราคสัญญา ๑ นิโรธสัญญา ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการนี้ ภิกษุพึงเจริญเพื่อรู้ยิ่งราคะ.

[๘๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการ ภิกษุพึงเจริญเพื่อรู้ยิ่งราคะ ๗ ประการเป็นไฉน คือ อสุภสัญญา ๑ มรณสัญญา ๑ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ สัพพโลเกอนภิรตสัญญา ๑ อนิจจสัญญา ๑ อนิจเจทุกขสัญญา ๑ ทุกเขอนัตตสัญญา ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการนี้ ภิกษุพึงเจริญเพื่อรู้ยิ่งราคะ.

[๙๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการนี้ ภิกษุพึงเจริญเพื่อกำหนดราคะ ฯลฯ เพื่อความสิ้นไปรอบ เพื่อละ เพื่อความสิ้นไป เพื่อความเสื่อมไป เพื่อความคลายไป เพื่อความดับ เพื่อสละ เพื่อสละคืนราคะ ธรรม ๗ ประการ อันภิกษุพึงเจริญ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อกำหนดรู้ เพื่อความสิ้นไปรอบ เพื่อละ เพื่อความสิ้นไป เพื่อความเสื่อมไป เพื่อความคลายไป เพื่อความดับ เพื่อสละ เพื่อสละคืนโทสะ โมหะ โกธะ อุปนาหะ มักขะ ปลาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายา สาเถยยะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ มทะ

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 29 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 291

ปมาทะ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๗ ประการนี้ อันภิกษุพึงเจริญ เพื่อรู้ยิ่ง... เพื่อสละคืนโทสะ....

จบ สัตตกนิบาต

อรรถกถาพระสูตรที่ไม่สงเคราะห์เข้าในวรรค

ต่อจากนี้อีก ๗ สูตร มีอรรถง่ายทั้งนั้น. เพราะในพระสูตรนี้ สูตรไรๆ ชื่อว่ามีนัยที่ไม่ได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังไม่มีเลย ดังนี้แล.

จบ อรรถกถาสัตตกนิบาต

มโนรถปูรณี อรรถกถาอังคุตตรนิกาย

รวมปัณณาสก์ในสัตตกนิบาตินี้

๑. ปฐมปัณณาสก์

๒. วรรคที่ไม่สงเคราะห์ในปัณณาสก์

๓. พระสูตรที่ไม่สงเคราะห์เข้าในวรรค