๙. ปหาราทสูตร
[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 399
ปัณณาสก์
มหาวรรคที่ ๒
๙. ปหาราทสูตร
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 37]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 399
๙. ปหาราทสูตร
[๑๐๙] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ควงไม้- สะเดาที่เนฬรุยักษ์สิงสถิต ใกล้กรุงเวรัญชา ครั้งนั้น ท้าวปหาราทะ จอมอสูร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคม พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามท้าวปหาราทะจอมอสูรว่า ดูก่อนปหาราทะ พวกอสูรย่อมอภิรมย์ในมหาสมุทรบ้างหรือ ท้าวปหาราทะจอมอสูร กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกอสูรย่อมอภิรมย์ใน มหาสมุทร.
พ. ดูก่อนปหาราทะ ในมหาสมุทรมีธรรมที่น่าอัศจรรย์ อันไม่เคยมีมาสักเท่าไร ที่พวกอสูรเห็นแล้วย่อมอภิรมย์.
ป. มี ๘ ประการ พระเจ้าข้า ๘ ประการเป็นไฉน ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ หาได้ โกรธชันเหมือนเหวไม่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรฉลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ หาได้โกรกชันเหมือนเหวไม่ นี้เป็นธรรม ที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๑ ในมหาสมุทร ที่พวก อสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่.
อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรเต็มเปี่ยมเสมอ ไม่ล้นฝั่ง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอไม่ล้นฝั่ง นี้เป็นธรรมอันน่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๒ ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 400
อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะ ในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบกทันที ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรไม่เกลื้อนด้วยซากศพ และในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบกทันที นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๓ ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่.
อีกประการหนึ่ง แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสวย คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมหมด ถึงความนับว่ามหาสมุทรนั่นเอง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสาย คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทร แล้ว ย่อมเปลี่ยนนามและโคตรเดิมหมด ถึงความนับว่ามหาสมุทร นั่นเอง นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๔ ใน มหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่.
อีกประการหนึ่ง แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวม ยังมหาสมุทรและสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทร ก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ข้อที่แม่น้ำทุกสายในโลกย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏ ว่าจะพร่องหรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ อันไม่เคยมีมาประการที่ ๕ ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 401
อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม นี้เป็นธรรม. ที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๖ ในมหาสมุทร ที่พวกอสูร เห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่.
อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด ในมหาสมุทรมีรัตนะเหล่านี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ติลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด ในมหาสมุทรนั้น มีรัตนะ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้ว. ประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ อันไม่เคยมีมาประการที่ ๗ ในมหาสมุทร ที่พวกอสูรเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่.
อีกประการหนึ่ง มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของพวกสิ่งมี ชีวิตใหญ่ๆ และสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรนั้นมีดังนี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลา พวกอสูร นาค คนธรรพ์ แม้ที่มี ร่ากายประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ๒๐๐ โยชน์ ๓๐๐ โยชน์ ๔๐๐ โยชน์ ๕๐๐ โยชน์ ก็มีอยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่มหาสมุทรเป็นที่ พำนักอาศัยของสิ่งที่มีชีวิตใหญ่ๆ และสิ่งที่มีชีวิตในมหาสมุทรนั้น มีดังนี้ คือ ป่าติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลา พวกอสูร นาค คนธรรพ์ แม้ที่มีร่างกายประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ๒๐๐ โยชน์ ๓๐๐ โยชน์ ๔๐๐ โยชน์ ๕๐๐ โยชน์ ก็มีอยู่ นี้เป็นธรรมที่ น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๘ ในมหาสมุทรที่พวกอสูร
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 402
เห็นแล้ว จึงอภิรมย์อยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นี้แสดงธรรมที่ น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ๘ ประการ ในมหาสมุทร ที่พวกอสูร เห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ภิกษุทั้งหลาย ย่อมอภิรมย์ในธรรมวินัยนี้บ้างหรือ.
พ. ดูก่อนปหาราทะ ภิกษุทั้งหลายย่อมอภิรมย์ในธรรนวินัยนี้.
ป. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่า อัศจรรย์อันไม่เคยมีมาสักเท่าไร ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้ว จึง อภิรมย์อยู่.
พ. มี ๘ ประการ ปหาราทะ ๘ ประการเป็นไฉน ดูก่อน ปหาราทะ มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่โกรธชัน เหมือนเหว ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษา ไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตตผลโดยตรง ดูก่อนปหาราทะ ข้อที่ ในธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตตผลโดยตรง นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๑ ในธรรมวินัย ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่.
ดูก่อนปหาราทะ มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง ฉันใด สาวกทั้งหลายของเราก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่ล่วงสิกขาบท ที่เราบัญญัติไว้แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต ดูก่อนปหาราทะ ข้อที่สาวก ทั้งหลายของเราไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้แม้เพราะเหตุแห่ง
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 403
ชีวิต นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๒ ใน ธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่.
ดูก่อนปหาราทะ มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะ ในมหาสมุทรคลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบก ฉันใด ดูก่อนปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลผู้มีทุศีล มีบาป ธรรม มีสมาจารไม่สะอาดน่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ ปฏิญญาว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญญาว่า ประพฤติพรหมจรรย์ เสียใน ชุ่มด้วยราคะ เป็นเพียงดังหยากเยื่อ สงฆ์ย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลนั้น ประชุมกันยกวัตรเธอเสียทันที แม้เขาจะนั่งอยู่ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงกระนั้น เขาก็ชื่อว่า ห่างไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ก็ห่างไกลจากเขา ดูก่อนปหาราทะ ข้อที่บุคคลผู้ทุศีล มีบาปกรรม มีสมาจารไม่สะอาดน่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว ไม่ใช่สมณะ แต่ปฏิญญาว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญญาว่าประพฤติพรหมจรรย์ เน่าใน ชุ่มด้วยราคะ เป็นเพียงดังหยากเยื่อ สงฆ์ย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคล นั้น ประชุมกันยกวัตรเธอเสียทันที แม้เขาจะนั่งอยู่ในท่านกลาง ภิกษุสงฆ์ก็จริง ถึงกระนั้น เขาก็ชื่อว่าห่างไกลจากสงฆ์ และสงฆ์ ก็ห่างไกลจากเขา นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการ ที่ ๓ ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่.
ดูก่อนปหาราทะ แม่น้ำสายใหญ่ๆ บางสาย คือ แม่น้ำคงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี แม่น้ำเหล่านั้นไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมหมด ถึงความนับว่ามหาสมุทรนั่นเอง
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 404
ฉันใด ดูก่อนปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน วรรณะ ๔ เหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัย ที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมเสีย ถึงความนับว่า ศากยบุตรทั้งนั้น ดูก่อนปหาราทะ ข้อที่วรรณะ ๔ เหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรม วินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมเสีย ถึงความ. นับว่าเป็นสมณศากยบุตรทั้งนั้น นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อัน ไม่เคยมีมาประการที่ ๔ ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่.
ดูก่อนปหาราทะ แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมยัง มหาสมุทร และสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทร ก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเด่นเพราะน้ำนั้นๆ ฉันใด ก่อน ปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงแม้ภิกษุเป็นอันมากจะปรินิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่อง หรือเต็มด้วยภิกษุนั้น ดูก่อนปหาราทะ ข้อที่ถึงแม้ภิกษุเป็นอันมาก จะปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุก็มิได้ ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มด้วยภิกษุนั้น นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ อันไม่เคยมีมาประการที่ ๕ ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่.
ดูก่อนปหาราทะ มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม ฉันใด ดูก่อนปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยนี้มีรสเดียว คือ วิมุตติรส ก่อนปหาราทะ ข้อที่ธรรมวินัยมีรสเดียว คือ วิมุตติรส
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 405
นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๖ ในธรรม วินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่.
ดูก่อนปหาราทะ มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในมหาสมุทรนั้นมีดังนี้ คือ แก้วมุกดา แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ สังข์ ศิลา แก้วประพาฬ เงิน ทอง ทับทิม มรกต ฉันใด ดูก่อน ปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยนี้ก็มีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในธรรมวินัยนั้นมีดังนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ ดูก่อนปหาราทะ ข้อที่ธรรมวินัยนี้มีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในธรรมวินัยนั้นมีดังนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๗ ในธรรมวินัยนี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่.
ดูก่อนปหาราทะ มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งที่มี ชีวิตใหญ่ๆ สิ่งที่มีชีวิตในมหาสมุทรนั้นมีดังนี้ คือ ปลาติมิ ปลาติมิงคลา ปลาติมิรมิงคลา พวกอสูร นาค คนธรรพ์ แม้ที่มีร่างกาย ประมาณ ๑๐๐ โยชน์ ๒๐๐ โยชน์ ๓๐๐ โยชน์ ๔๐๐ โยชน์ ๕๐๐ โยชน์ มีอยู่ ฉันใด ดูก่อนปหาราทะ ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรม วินัยนี้ ก็เป็นที่พำนักอาศัยแห่งสงมีชีวิตใหญ่ๆ สิ่งมีชีวิตในธรรม วินัยนี้ มีดังนี้ คือ พระโสดาบัน ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้ง ซึ่งโสดาปัตติผล พระสกทาคามี ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้ง ซึ่งสกทาคามิผล พระอนาคามี ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อพระทำให้แจ้ง
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 406
ซึ่งอนาคามิผล พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ ดูก่อนปหาราทะ ข้อที่ธรรมวินัยนี้เป็นที่พำนักอาศัยแห่งสิ่งมีชีวิต ใหญ่ๆ สิ่งมีชีวิตในธรรมวินัยนี้มีดังนี้ คือ พระโสดาบัน ท่านผู้ ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล พระสกทาคามี ท่าน ผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งสาทาคามิผล พระอนาคามี ท่าน ผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอานาคามิผล พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติ เพื่อความเป็นพระอรหันต์ นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมา ประการที่ ๘ ในธรรนวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์ อยู่ ดูก่อนปหาราทะ ในธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่าอัศจรรย์ อันไม่ เคยมีมา ๘ ประการนี้แล ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่.
จบ ปหาราทสูตรที่ ๙
อรรถกถาปหาราทะสูตรที่ ๙
ปทาราทสูตรที่ ๙ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ปหาราโท ได้แก่ มีชื่ออย่างนี้. บทว่า อสุรินฺโท แปลว่า หัวหน้าอสูร. จริงอยู่ บรรดาอสูรทั้งหลาย อสุรผู้เป็น หัวหน้ามี ท่านคือ เวปจิตติ ๑ ราหู ๑ ปหาราทะ ๑ บทว่า เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ ความว่า นับตั้งแต่วันที่พระทศพลตรัสรู้แล้ว ท้าวปหาราทะจอมอสูรคิดว่า วันนี้เราจักไปเฝ้า พรุ่งนี้เราจัก ไปเฝ้า จนล่วงไป ๑๑ ครั้นถึงปีที่ ๑๒ ในเวลาที่พระศาสดา
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 407
ประทับอยู่ที่เมืองเวรัญชา เกิดความคิดขึ้นว่า เราจักไปเฝ้า พระสัมมาสัมพุททธเจ้า จึงติดต่อไปว่า เรามัวแต่ผลัดว่าจะไปวันนี้ จะไปพรุ่งนี้ ล่วงไปถึง ๑๒ ปี เอาเถอะเราจะไปเดี๋ยวนี้แหละ ในขณะนั้นนั่นเองอันหมู่อสูรแวดล้อมแล้ว ออกจากภพอสูร ตอน กลางวัน จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ. บทว่า เมกมนฺตํ อฏฺาสิ ความว่า ได้ยินว่า ท้าวปหาราทะ จอมอสูร นั้นมาด้วยคิดว่า จักถามปัญหากะพระตถาคต แล้วจักฟังธรรมกถา ตั้งแต่เวลาที่ได้เฝ้าพระตถาคตแล้ว แม้เมื่อไม่อาจถาม เพราะ ความเคารพในพระพุทธเจ้า ก็ได้ถวายบังคมพระศาสดาแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
ลำดับนั้น พระศาสดาทรงพระดำริว่า เมื่อเราไม่พูด ปหาราทะ นี้ก็ไม่อาจพูดก่อนได้ จำเราจักถามปัญหากะเธอสักข้อหนึ่ง เพื่อ ให้การสนทนาเกิดขึ้นในฐานะที่เธอมีวสีชำนาญอันสั่งสมไว้แล้ว นั่นแหละ. เมื่อพระองค์จะตรัสถามปัญหาเขา จึงตรัสคำมีอาทิว่า อปิ ปน ปหาราท ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิรมนฺติ ความว่า ย่อมประสบความยินดี อธิบายว่า ไม่เอือมระอาอยู่. ท่าน มีจิตยินดีว่าในฐานะที่เราคุ้นเคยทีเดียว พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัส ถามเรา จึงกราบทูลว่า อภิรมนฺติ ภนฺเต พวกอสูรยังอภิรมย์อยู่ พระเจ้าข้า.
บทว่า อนุปุพฺพนินฺโน เป็นต้นทั้งหมด เป็นไวพจน์แห่งความ ลุ่มไปตามลำดับ. ด้วยบทว่า น อายตเกเนว ปปาโต พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า มหาสมุทรไม่เป็นเหวชันมาแต่เบื้องต้นเหมือน
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 408
บึงใหญ่ที่มีตลิ่งชัน. ก็เริ่มตั้งแต่พื้นที่ที่เป็นตลิ่งไป มหาสมุทรนั้น จะลึกลงไป ด้วยสามารถแห่งการลึกลงที่ละ ๑ นิ้ว ๒ นิ้ว ๑ คืบ ๑ ศอก ๑ อสุภะ กึ่งคาวุต ๑ คาวุต กึ่งโยชน์ และ ๑ โยชน์ ลึกไปๆ จนลึกถึง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ณ ที่ใกล้เชิงเขาพระสุเมรุ.
บทว่า ิตธมฺโม ความว่า ตั้งอยู่แล้วเป็นสภาวะ คือตั้งแต่ เฉพาะเป็นสภาวะ. บทว่า กุณเปน ความว่า ด้วยซากศพอย่างใด อย่างหนึ่ง มีซากช้างและซากม้าเป็นต้น. บทว่า ถลํ อุสฺสาเทติ ความว่า ย่อมซัดขึ้นบกด้วยคลื่นซัดนั่นแหละ เหมือนคนเอามือ จับซัดไปฉะนั้น.
ในบทว่า คงฺคา ยมุนา ควรกล่าวถึงเหตุเกิดแห่งแม่น้ำเหล่านี้ เพราะตั้งอยู่ในที่นี้. ก่อนอื่นชมพูทวีปนี้ ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ ๑๐,๐๐๐ โยชน์ ในจำนวนเนื้อที่นั้น ๔,๐๐๐ โยชน์ เป็นภูมิประเทศ ที่ถูกน้ำท่วม นับได้ว่าเป็นมหาสมุทร ๓,๐๐๐ โยชน์ พวกมนุษย์ อาศัยอยู่ ๓,๐๐๐ โยชน์ ภูเขาหิมวันต์ตั้งอยู่ สูง ๕๐๐ โยชน์ ประดับด้วยยอด ๘๔,๐๐๐ ยอด วิจิตรด้วยแม่น้ำใหญ่ ๕ สาย ไหล มาโดยรอบ เป็นที่สระใหญ่ ๗ สระตั้งอยู่ คือ สระอโนดาด สระกัณฑมุณฑะ สระรถกาฬะ สระฉัททันตะ สระกุนาละ สระมันทากินิ สระสีหัปปปาตะ ซึ่งยาว กว้าง และลึก อย่างละ ๕๐ โยชน์ มีปริมณฑล ๑๕๐ โยชน์ บรรดาสระเหล่านั้น สระอโนดาด ล้อมด้วยภูเขา ๕ ลูก เหล่านี้คือ สุทัสสนกูฏ จิตตกูฏ เทฬกูฏ คันทมาทนกูฏ เกลาสกูฏ. ในภูเขาทั้ง ๕ ลูกนั้น ภูเขาสุทัสสนกูฏ สำเร็จไปด้วยทอง สูง ๒๐๐ โยชน์ ภายในคดเคี้ยว
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 409
มีสัณฐานดังปากของกา ตั้งปิดสระอโนดาดนั่นแหละ ภูเขาจิตตกู สำเร็จด้วยรัตนะทั้งปวง ภูเขากาฬกูฏ สำเร็จด้วยแร่พลวง ภูเขาคันทมาทนกูฏ สำเร็จด้วยที่ราบเรียบ ภายในมีสีเหมือนเมล็ดถั่วเขียว หนาแน่นไปด้วยคันธชาติ ๑๐ ชนิด เหล่านี้ คือ ไม้มีกลิ่นที่ราก ไม้มีกลิ่นที่แก่น. ไม้มีกลิ่นที่กะพี้ ได้แก่กลิ่นที่ใบ ไม้มีกลิ่นที่เปลือก ไม้มีกลิ่นที่สะเก็ด ไม้มีกลิ่นที่รส ไม้มีกลิ่นที่ดอก ไม้มีกลิ่นที่ผล ไม้มีกลิ่นที่ลำต้น ปกคลุมไปด้วยเครื่องสมุนไพรมีประการต่างๆ มีแสงเรืองตั้งอยู่ ประหนึ่งถ่านคุไฟ ในวันอุโบสถข้างแรม. ภูเขาเกลาสกูฏ สำเร็จด้วยแร่เงิน. ภูเขาทั้งหมดมีสัณฐานสูงเท่ากับ ภูเขาสุทัสสนะ ตั้งปิดสระอโนดาดนั้นไว้. ภูเขาทั้งหมดนั้นฝนตกราด ด้วยอานุภาพของเทวดา และของนาค. และแม่น้ำทั้งหลายย่อมไหล ไปที่ภูเขาเหล่านั้น น้ำทั้งหมดนั้น ก็ไหลเข้าไปสู่สระอโนดาด แห่งเดียว. พระจันทร์ และพระอาทิตย์ เมื่อโคจรผ่านทางทิศทักษิณ หรือทิศอุดร ก็โคจรผ่านไปตามระหว่างภูเขา ส่องแสงไปในที่นั้น แต่เมื่อโคจรไปตรงๆ ก็ไม่ส่องแสง เพราะเหตุนั้นนั่นแหละ สระนั้น จึงเกิดบัญญัติชื่อว่า สระอโนดาด แปลว่า พระอาทิตย์ส่องไปไม่ถึง. ที่สระอโนดาดนั้น มีท่าสำหรับอาบน้ำ มีแผ่นศิลาเรียบน่ารื่นรมย์ใจ ไม่มีปลาหรือเต่า มีน้ำใสดังแก้วผลึก เป็นของอันธรรมชาติตกแต่ง ไว้ดีแล้ว เป็นที่ๆ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระขีณาสพ พระปัจเจกพุทธ และฤๅษีผู้มีฤทธิ์ทั้งหลายสรงสนาน เทวดาและยักษ์เป็นต้น ก็พากันเล่นน้ำ ทั้ง ๔ ด้านในสระนั้น มีมุขอยู่ ๔ มุข คือ สีหมุข หัสดีมุข อัศวมุข พฤษภมุข อันเป็นทางที่แม่น้ำทั้ง ๔ สายไหลไป.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 410
ที่ฝั่งแม่น้ำด้านที่ไหลออกทางสีหมุข มีราชสีห์อยู่มาก. ที่ฝั่งแห่ง แม่น้ำด้านที่ไหลออกทางหัสดีมุข เป็นต้น มีช้าง ม้า และโคอุสภะ อยู่มาก. แม่น้ำไหลออกจากทิศตะวันออก ไหลเวียนขวาสระอโนดาด ๓ เลี้ยว แล้วเลี่ยงแม่น้ำอีก ๓ สาย ไหลไปยังถิ่นที่ ไม่มีมนุษย์ ทางป่าหิมวันต์ด้านตะวันออก และทางป่าหิมวันต์ ด้านเหนือ แล้วไหลลงสู่มหาสมุทร. แต่แม่น้ำที่ไหลออกทางทิศ- ตะวันตก และทิศเหนือ ก็เวียนขวาเช่นนั้นเหมือนกัน ไปยังถิ่น ที่ไม่มีมนุษย์ ทางป่าหิมวันต์ด้านทิศตะวันตกและป่าหิมวันต์ด้านเหนือ แล้วไหลลงสู่มหาสมุทร.
แต่แม่น้ำที่ไหลออกทางมุขด้านใต้ เวียนขวาสระอโนดาดนั้น ๓ เลี้ยวแล้วก็ไหลตรงไปทางทิศเหนือ เป็นระยะทาง ๖๐ โยชน์ ไปตามหลังแผ่นหินนั่นแหละ ปะทะภูเขาโลดขึ้นเป็นสายน้ำ โดย รอบประมาณ ๓ คาวุต ไหลไปทางอากาศ เป็นระยะ ๖๐ โยชน์ แล้วตกลงที่แผ่นหินชื่อว่า ติยัคคฬะ แผ่นหินก็แตกไป เพราะความ แรงแห่งสายน้ำ. ในที่นั้นเกิดเป็นสระใหญ่ ชื่อว่า ติยัคคฬะ ขนาด ๕๐ โยชน์ กระแสน้ำพังทำลายฝั่งสระ แล้วไหลเข้าแผ่นหิน ไประยะ ๖๐ โยชน์. ต่อแต่นั้นก็เซาะแผ่นดินทึบเป็นอุโมงค์ไป ๖๐ โยชน์ แล้วปะทะติรัฐฉานบรรพต ชื่อว่า วิชฌะ แล้วกลายเป็น ๕ สาย ประดุจนิ้วมือ ๕ นิ้ว ที่ฝ่ามือฉะนั้น. ในที่ๆ สายน้ำนั้น เลี้ยวขวาสระอโนดาด ๓ เลี้ยวแล้วไหลไป เรียกว่า อาวัตตคงคา. ในที่ๆ ไหลตรงไป ๖๐ โยชน์ ทางหลังแผ่นหิน เรียกว่า กัณหคงคา. ในที่ไหลไปทางอากาศ ๖๐ โยชน์ เรียกว่า อากาสคงคา. ในที่
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 411
ที่หยุดอยู่ในโอกาส ๖๐ โยชน์ บนแผ่นหิน ชื่อว่า ติยัคคฬะ เรียกว่า ติยัคคฬโปกรณี. ในที่ที่เซาะฝั่งเข้าไปสู่แผ่นหิน ๖๐ โยชน์ เรียกว่า พหลคงคา. ในที่ที่ไหลไป ๖๐ โยชน์ ทางอุโมงค์เรียกว่า อุมมังคคงคา. ก็ในที่ที่สายน้ำกระทบติรัจฉานบรรพต ชื่อวิชฌะแล้วไหลไปเป็น สายน้ำ ๕ สาย ก็ถือว่าเป็นแม่น้ำทั้ง ๕ คือ คงคา ยมุนา อจีรวดี สรภู สหี. พึงทราบว่า แม่น้ำใหญ่ ๕ สาย เหล่านี้ ย่อมไหลมาแต่ ป่าหิมวันต์ ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า สวนฺติโย ได้แก่ แม่น้ำชนิดใดชนิดหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น แม่น้ำใหญ่หรือแม่น้ำน้อย ซึ่งกำลังไหลไปอยู่. บทว่า อปฺเปนฺติ แปลว่า ไหลไปรวม คือไหลลง. บทว่า ธารา ได้แก่ สายน้ำฝน. บทว่า ปูรตฺตํ แปลว่า ภาวะที่น้ำเต็ม. ความจริง มหาสมุทรมี ธรรมดานี้ :- ใครๆ ไม่อาจกล่าวว่า เวลานี้ฝนตกน้อย พวกเรา จะพากันเอาแหและลอบเป็นต้น ไปจับปลาและเต่า หรือว่า เวลานี้ ฝนตกมาก เราจักได้ (อาศัย) สถานที่หลังหิน. ตั้งแต่ปฐมกัปมา น้ำเพียงนิ้วมือหนึ่งจากน้ำที่ขังจรดคอดของขุนเขาสิเนรุ จะไม่ ยุบลงข้างล่างไม่ดันขึ้นข้างบน.
บทว่า เอกรโส แปลว่า มีรสไม่เจือปน. บทว่า มุตฺตา ความว่า แก้วมุกดามีหลายชนิดต่างโดยชนิดเล็ก ใหญ่ กลม และยาวเป็นต้น. บทว่า มณี ความว่า มณีหลายชนิดต่างโดยสี มีสีแดงและสีเขียวเป็นต้น. บทว่า เวฬุริโย ความว่า แก้วไพฑูรย์ มีหลายชนิดต่างโดยสีมีสีดังสีไม้ไผ่และสีดอกซึกเป็นต้น. บทว่า สงฺโข ความว่า สังข์มีหลายชนิดต่างโดยสังข์ทักษิณวรรต สังข์-
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 412
ท้องแดง และสังข์สำหรับเป่าเป็นต้น. บทว่า สิลา ความว่า สิลา มีหลายอย่างต่างโดยสีมีสีขาว สีดำ และสีดังเมล็ดถั่วเขียวเป็นต้น. บทว่า ปวาฬํ ความว่า แก้วประพาฬมีหลายอย่างต่างโดยชนิดเล็ก ใหญ่ แดง และแดงทึบเป็นต้น. บทว่า มสารคลฺลํ ได้แก่ แก้วลาย. บทว่า นาคา ได้แก่ นาคที่อยู่บนหลังคลื่นก็มี นาคที่อยู่วิมานก็มี. บทว่า อฏฺ ปหาราท ความว่า พระศาสดาทรงสามารถตรัสธรรม ๘ ประการบ้าง ๑๖ ประการบ้าง ๓๒ ประการบ้าง ๖๔ ประการ บ้าง ๑๐๐ บ้าง ๑,๐๐๐ บ้าง แต่ทรงพระดำริว่า ปหาราทะกล่าว ๘ ประการ แม้เราก็จักกล่าวให้เห็นสมกับธรรม ๘ ปหาราทะ กล่าวนั้นนั่นแหละ จึงได้ตรัสอย่างนั้น.
พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อนุปุพฺพสิกฺขา เป็นต้นต่อไปนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงถือเอาสิกขา ๓ ด้วยอนฟุปุพพสิกขา ทรงถือเอาธุดงค์ ๑๓ ด้วยอนุปุพพกิริยา. ทรงถือเอาอนุปัสสนา ๗ มหาวิปัสสนา ๑๘ การจำแนกอารมณ์ ๓๘ โพธปักขิยธรรม ๓๗ ด้วยปทา. บทว่า อายตเกเนว อญฺปฏิเวโธ ความว่า ชื่อว่า ภิกษุผู้ไม่กระทำให้บริบูรณ์ในศีลเป็นต้น ตั้งแต่ต้นแล้วบรรลุ พระอรหัต เหมือนอย่างกบกระโดดไปไม่มี เพราะเหตุนั้น จึงอธิบายว่า ก็ภิกษุบำเพ็ญศีล สมาธิ และปัญญา ตามลำดับเท่านั้น จึงอาจบรรลุ พระอรหัตได้.
บทว่า อารกาว แปลว่า ในที่ไกลนั่นแล. บทว่า น เตน นิพฺพานธาตุยา อูนตฺตํ วา ปูรตฺตํ วา ความว่า เพื่อพระพุทธเจ้า ทั้งหลายไม่เสด็จอุบัติขึ้น แม้ตลอดอสงไขยกัป แม้สัตว์ตนหนึ่ง
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 413
ก็ไม่อาจปรินิพพานได้ แม้ในกาลนั้นก็ไม่อาจกล่าวได้ว่า นิพพานธาตุ ว่างเปล่า แต่ในพุทธกาล ในสมาคมหนึ่งๆ สัตว์ทั้งหลายยินดี อมตธรรมนับไม่ถ้วน แม้ในกาลนั้นก็ไม่อาจกล่าวได้ว่า นิพพานธาตุ เต็ม
จบ อรรถกถาปหาราทสูตรที่ ๙