๑๗. ภูมิจาลสูตร
[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 614
วรรคที่ไม่ได้สงเคราะห์เข้าในปัณณาสก์
จาลวรรคที่ ๒
๑๗. ภูมิจาลสูตร
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 37]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 614
๑๗. ภูมิจาลสูตร
[๑๕๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้นครเวสาลี ครั้งนั้นแล เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงครองอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตร์และจีวร เสด็จ เข้าไปบิณฑบาตยังนครเวสาลี ครั้นเที่ยวบิณฑบาตในนครเวสาลี แล้ว ในเวลาปัจฉาภัต เสด็จกลับจากบิณฑบาตแล้ว ตรัสกะท่าน พระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ จงถือผ้านิสีทนะ เราจะเข้าไปยัง ปาวาลเจดีย์ เพื่อพักกลางวัน ท่านพระอานนท์ทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ถือผ้านิสีทนะตามพระผู้มีพระภาคเจ้าไปข้างหลัง.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปยังปาวาลเจดีย์ ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูไว้ แล้วตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อน อานนท์ นครเวสาลีเป็นที่น่ารื่นรมย์ อุเทนเจดีย์ก็น่ารื่นรมย์ โคตมกเจดีย์ พหุปุตตกเจดีย์ สัตตัมพเจดีย์ สารันททเจดีย์ ปาวาลเจดีย์ ล้วนน่ารื่นรมย์ ดูก่อนอานนท์ ผู้ใดผู้หนึ่งเจริญทำให้มาก ซึ่งอิทธิบาท ๔ ทำให้เป็นดุจยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ให้มั่นคง สั่งสม ปรารภดีแล้ว ผู้นั้นหวังอยู่ พึงดำรงอยู่ได้กับหนึ่ง หรือเกินกว่ากัป ดูก่อนอานนท์ ตถาคตเจริญ กระทำให้มากซึ่งอิทธิบาท ๔ ทำให้ เป็นดุจยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ให้มั่นคง สั่งสม ปรารภดีแล้ว ตถาคต หวังอยู่ พึงดำรงอยู่ได้กัปหนึ่งหรือเกินกว่ากัป เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำนิมิตรแจ้งชัด ทรงกระทำโอภาสแจ้งชัดแม้
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 615
อย่างนี้ ท่านพระอานนท์ก็ไม่อาจจะรู้ทัน จึงไม่ทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าพึง ทรงดำรงอยู่ตลอดกัป ขอพระสุคตพึงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป เพื่อ ประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์ โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ ทั้งหลาย เพราะถูกมารเข้าดลใจ แม้ครั้งที่ ๒ แม้ครั้งที่ ๓ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ นครเวสาลี เป็นนครที่น่ารื่นรมย์ อุเทนเจดีย์ก็น่ารื่นรมย์ โคตมกเจดีย์ พหุ- ปุตตกเจดีย์ สัตตัมพเจดีย์ สารันททเจดีย์ ปาวาลเจดีย์ ล้วนน่า รื่นรมย์ ดูก่อนอานนท์ ผู้ใดผู้หนึ่งเจริญ กระทำให้มากถึงอิทธิบาท ๔ ทำให้เป็นดุจยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ให้มั่นคง สั่งสม ปรารภดีแล้ว ฯลฯ ตถาคตหวังอยู่ พึงดำรงอยู่ได้รูปหนึ่งหรือเกินกว่ากัป เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำนิมิตแจ้งชัด ทรงกระทำโอภาสแจ้งชัดแม้ อย่างนี้ ท่านพระอานนท์ก็ไม่อาจจะรู้ทัน จึงไม่ทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า พึงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป ขอพระสุคตพึงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่อ อนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แกเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เพราะถูกมารเข้าดลใจ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ เธอจงไปเถิด บัดนี้เธอย่อมสำคัญกาลที่สมควร ท่านพระอานนท์ทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้า ลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 616
กระทำประทักษิณแล้วไปนั่ง ณ โคนไม้แห่งหนึ่ง ในที่ไม่ไกล พระผู้มีพระภาคเจ้า.
ครั้งนั้นแล เมื่อท่านพระอานนท์หลีกไปแล้วไม่นาน มารผู้ ลามกได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้เป็นกาลปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระวาจานี้ไว้ว่า ดูก่อนมาร ผู้ลามก เราจักยังไม่ปรินิพพาน ตราบเท่าที่พวกภิกษุสาวกของเรา ยังไม่ฉลาด ไม่ได้รับแนะนำ ไม่แกล้วกล้า ยังไม่บรรลุธรรมอัน เกษมจากโยคะ ยังไม่เป็นพหูสูต ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม ยังไม่ปฏิบัติชอบ ยังไม่ประพฤติตามธรรม ไม่ เรียนอาจาริยวาทของตนแล้วบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำได้ง่าย ไม่แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ย่ำยีด้วยศีล ปรัปปวาทที่เกิดขึ้นแล้วโดยชอบธรรม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ ภิกษุสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ฉลาด ได้รับแนะนำ แกล้วกล้า บรรลุธรรมอันเกษมจากโยคะ เป็นหูสูต ทรงธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรม เรียนอาจาริยวาทของตนแล้ว บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ง่าย แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ย่ำยีด้วยดีซึ่งปรัปปวาท ที่เกิดขึ้นแล้วโดยชอบธรรม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงเสด็จปรินิพพานเถิด ขอพระสุคตจงเสด็จปรินิพพาน เถิด บัดนี้ เป็นกาลปรินิพพานแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระวาจานี้ไว้ว่า ดูก่อนมารผู้ลามก เราจักยังไม่
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 617
ปรินิพพาน ตราบเท่าที่ภิกษุณีสาวิกาของเรา ฯลฯ อุบาสกสาวก ของเรา ฯลฯ อุบาสิกาสาวิกาของเรา ยังไม่ฉลาด ยังไม่ได้รับแน่นำ ยังไม่แกล้วกล้า ยังไม่บรรลุธรรมอันเกษมจากโยคะ ยังไม่เป็น พหูสูต ยังทรงจำธรรมไม่ได้ ยังปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมไม่ได้ ยังไม่ปฏิบัติชอบ ยังไม่ประพฤติตามธรรม ไม่เรียนอาจาริยวาท ของตนแล้ว บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำ ให้ง่าย ไม่แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ย่ำยีด้วยดีซึ่งปรัปปวาทที่เกิดขึ้น แล้วโดยชอบธรรม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ อุบาสิกาสาวิกา ของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ฉลาด ได้รับแนะนำ แกล้วกล้า บรรลุธรรมอันเกษมจากโยคะ เป็นพหูสูต ทรงธรรม ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรม เรียนอาจาริยวาท ของตนแล้ว บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่าย แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ย่ำยีด้วยดีซึ่งปรัปปวาทที่เกิดขึ้น แล้วโดยชอบธรรม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงเสด็จปรินิพพานเถิด ข้อพระสุคตจงเสด็จปรินิพพานเถิด บัดนี้เป็นกาลปรินิพพานแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระวาจานี้ไว้ว่า ดูก่อนมารผู้ลามก เราจักยังไม่ ปรินิพพานตราบเท่าที่พรหมจรรย์ของเรานี้ยังไม่เจริญแพร่หลาย กว้างขวาง ชนเป็นอันมาก ยังไม่รู้ทั่ว ยังไม่แน่นหนา เทวดาและ มนุษย์ทั้งหลายยังไม่ประกาศดีแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ พรหมจรรย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าเจริญแพร่หลายกว้างขวาง ชนเป็นอันมากรู้ทั่ว แน่นหนา เทวดาและมนุษย์ประกาศดีแล้ว
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 618
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงเสด็จปรินิพพาน เถิด ของพระสุคตจงเสด็จปรินิพพานเถิด บัดนี้ เป็นกาลปรินิพพาน แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมารผู้ลามก ท่านจงเป็น ผู้ขวนขวายน้อยเถิด ไม่นานนักตถาคตจักปรินิพพาน แต่นี้ล่วงไป ๓ เดือน ตถาคตจักปรินิพพาน ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมีสติสัมปชัญญะ ปลงอายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปลงอายุสังขารแล้ว แผ่นดินไหวใหญ่ น่าสะพึงกลัว โลมชาติชูชัน กลองทิพย์ก็บันลือลั่น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบ เนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งพระอุทานในเวลานั้นว่า
มุนีได้ปลงเครื่องปรุงแต่งภพ อันเป็นเหตุ สมภพทั้งชั่งได้ ทั้งที่ชั่งไม่ได้ ยินดีในภายใน มีจิตตั้งมั่น ได้ทำลายกิเลสที่เกิดในตนเหมือน ทหารทำลายเกราะ ฉะนั้น.
ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้มีความคิดดังนี้ว่า แผ่นดินนี้ ไหวใหญ่หนอ แผ่นดินนี้ไหวใหญ่จริงหนอ น่าสะพึงกลัว โลมชาติ ชูชัน ทั้งกลองทิพย์ก็บันลือลั่น อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่ง ความปรากฏแผ่นดินไหวใหญ่ ลำดับนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไป เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ แผ่นดินนี้ไหวใหญ่หนอ แผ่นดินนี้ไหวใหญ่จริงหนอ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 619
น่าสะพึงกลัว โลมชาติชูชัน ทั้งกลองทิพย์ก็บันลือลั่น อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งความปรากฏแผ่นดินไหวใหญ่.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ เหตุปัจจัย ๘ ประการนี้แห่งความปรากฏแผ่นดินไหวใหญ่ ๘ ประการเป็นไฉน ดูก่อนอานนท์ แผ่นดินใหญ่ตั้งอยู่บนน้ำ น้ำตั้งอยู่บนลม ลมตั้ง อยู่บนอากาศ สมัยนั้นลมพายุพัดจัด ลมพายุพัดให้น้ำไหว น้ำ ไหวแล้วทำให้แผ่นดินไหว ดูก่อนอานนท์ นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัย ประการที่ ๑ แห่งความปรากฏแผ่นดินไหวใหญ่.
อีกประการหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์มีฤทธิ์ บรรลุความ ชำนาญทางจิตหรือเทวดาผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก เจริญ ปฐวีสัญญานิดหน่อย เจริญอาโปสัญญาหาประมาณมิได้ ย่อมยัง แผ่นดินนี้ให้สะเทื้อนสะท้านหวั่นไหว. ดูก่อนอานนท์ นี้เป็นเหตุ เป็นปัจจัยประการที่ ๒ แห่งความปรากฏแผ่นดินไหวใหญ่.
อีกประการหนึ่ง เมื่อใด พระโพธิสัตว์จุติจากชั้นดุสิต มี สติสัมปชัญญะ ลงสู่พระครรภ์พระมารดา เมื่อนั้น แผ่นดินนี้ย่อม สะเทื้อนสะท้านหวั่นไหว ดูก่อนอานนท์ นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยประการ ที่ ๓ แห่งความปรากฏแผ่นดินไหวใหญ่.
อีกประการหนึ่ง เมื่อใด พระโพธิสัตว์มีสติสัมปชัญญะ ประสูติจากพระครรภ์มารดา เมื่อนั้น แผ่นดินนี้ย่อมสะเทื้อนสะท้าน หวั่นไหว ดูก่อนอานนท์ นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยประการที่ ๔ แห่ง ความปรากฏแผ่นดินไหวใหญ่.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 620
อีกประการหนึ่ง เมื่อใด พระตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เมื่อนั้น แผ่นดินนี้ย่อมสะเทื้อนสะท้านหวั่นไหว ดูก่อน อานนท์ นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยประการที่ ๕ แห่งความปรากฏแผ่นดิน ไหวใหญ่.
อีกประการหนึ่ง เมื่อใด พระตถาคตทรงประกาศอนุตตรธรรมจักร เมื่อนั้น แผ่นดินนี้ย่อมสะเทื้อนสะท้านหวั่นไหว ดูก่อน อานนท์ นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยประการที่ ๖ แห่งความปรากฏแผ่นดิน ไหวใหญ่.
อีกประการหนึ่ง เมื่อใด ตถาคตทรงมีสติสัมปชัญญะ ปลง อายุสังขาร เมื่อนั้น แผ่นดินนี้ย่อมสะเทื้อนสะท้านหวั่นไหว ดูก่อน อานนท์ นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยประการที่ ๗ แห่งความปรากฏแผ่นดิน ไหวใหญ่.
อีกประการหนึ่ง เมื่อใด ตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เมื่อนั้น แผ่นดินนี้ย่อมสะเทื้อนสะท้านหวั่นไหว ดูก่อน อานนท์ นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยประการที่ ๘ แห่งความปรากฏแผ่นดิน ไหวใหญ่ ดูก่อนอานนท์ เหตุปัจจัย ๘ ประการนี้แล แห่งความ ปรากฏแผ่นดินไหวใหญ่.
จบ ภูมิจาลสูตรที่ ๑๗
จบ จาลวรรคที่ ๒
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 621
อรรถกถาภมิจาลสูตรที่ ๑๐
ภูมิจาลสูตรที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-
ในบทว่า นิสีทนํ นี้ ท่านประสงค์เอาท่อนหนัง. บทว่า อุทฺเทนเจติยํ ท่านกล่าวหารที่เขาสร้างไว้ในที่อยู่ของอุทเทนยักษ์. แม้ในโคตมกเจดีย์เป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า ภาวิตา แปลว่า เจริญแล้ว. บทว่า พหุลีกตา แปลว่า. กระทำให้มาก. บทว่า ยานีกตา แปลว่า ทำให้เป็นดุจยานที่เทียมแล้ว. บทว่า วตฺถุกตา แปลว่า ทำให้เป็นดุจที่ตั้ง เพราะอรรถว่าเป็นที่พึงอาศัย. บทว่า อนุฏฺิตา แปลว่า ตั้งไว้แล้ว. บทว่า ปริจิตา แปลว่า สั่งสมแล้ว โดยรอบ คือ เจริญดีแล้ว. บทว่า สุสมารทฺธา แปลว่า เริ่มไว้เป็นอย่างดีแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสโดยมิได้กำหนดอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงโดยกำหนดแน่นอนอีก จึงตรัสคำมีอาทิว่า ตถาคตสฺส โข ดังนี้. ก็ในที่นี้บทว่า กปฺปํ ได้แก่ อายุกัป (คือกำหนดอายุอย่าง สูงของคนในยุคนั้นๆ). พระผู้มีพระภาคเจ้าพึงดำรงพระชนม์อยู่ ตลอดกำหนดอายุของคนทั้งหลายในสมัยนั้นๆ อย่างเต็มที่. บทว่า กปฺปาวเสสํ วา ได้แก่ หรือเกิน ๑๐๐ ปีซึ่งได้ตรัสไว้ว่า "น้อย หรือยิ่งกว่า". แต่พระมหาสิวเถระกล่าวว่า ธรรมดาว่าพระพุทธะ ทั้งหลาย ย่อมไม่ทรงบันลือในที่มิใช่ฐานะ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเข้าสมาบัติบ่อยๆ ทรงข่มเวทนาใกล้ตายได้ พึงดำรงอยู่ได้ ตลอดภัทรกัปทีเดียว. ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระองค์จึงไม่ดำรง อยู่ตลอดภัทรกัป? ตอบว่า ขึ้นชื่อว่าสรีระที่มีใจครอง ถูกชรา
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 622
ลักษณะมีฟันหักเป็นต้นครอบงำ แต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มีฟันหัก เป็นต้น ย่อมเสด็จปรินิพพานในอายุส่วนที่ ๕ (คือ ๒๐ ปี ที่ ๕) ในเวลาเป็นที่รักที่ชอบใจของมหาชนทีเดียว. ก็บรรดาพระมหาสาวก ผู้ตรัสรู้ตามเสด็จพระพุทธเจ้า พระมหาสาวกองค์หนึ่งปรินิพพาน แล้ว ย่อมพึงตั้งอยู่เหมือนตอไม้ หรือว่า พึงตั้งอยู่โดยมีภิกษุหนุ่ม และสามเณรห้อมล้อม แต่นั้นก็จะพึงถูกดูแคลนว่า โธ่เอ๋ย บริษัท ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เพราะฉะนั้น พระองค์จึงไม่ทรงดำรงอยู่. แม้เมื่อกล่าวไว้อย่างนี้ ข้อที่เรียกกาลว่าอายุกัปนี้นั่นแหละ ก็กำหนด ไว้ในอรรถกถาแล้ว.
บทว่า ตํ ในคำว่า ยถาตํ มาเรน ปริยุฏฺิตจิตฺโต นี้ เป็นเพียง นิบาต. อธิบายว่า ปุถุชนบางคนแม้อื่น มีจิตถูกมารดลใจ มีจิต ถูกมารครอบงำ ไม่สามารถจะรู้แจ้งได้ ฉันใด พระอานนท์ก็ไม่ สามารถจะรู้แจ้งได้ ฉันนั้นเหมือนกัน. เพราะมารย่อมครอบงำจิต ของท่านผู้ยังละวิปัลสาส ๑๒ ไม่ได้โดยประการทั้งปวง. พระเถระ ยังละวิปัลสาส ๔ ไม่ได้ ด้วยเหตุนั้น มารจึงครอบงำจิตของท่าน. ถามว่า ก็มารนั้นเมื่อทำการดลจิตทำอย่างไร? ตอบว่า ย่อมแสดง รูปารมณ์ที่น่ากลัวบ้าง ให้ได้ยินสัททารมณ์ที่น่ากลัวบ้าง แต่นั้น สัตว์ทั้งหลายได้เห็นภาพเช่นนั้น หรือได้ฟังเสียงเช่นนั้น ก็หมดสติ อ้าปาก มารก็สอดมือเข้าไปทางปากของสัตว์เหล่านั้นแล้วบีบหัวใจ แต่นั้น สัตว์ทั้งหลายก็หมดความรู้สึกตั้งอยู่ แต่มารนี้จักสามารถ หรือที่จะสอดมือเข้าทางปากของพระเถระ ก็ได้แต่แสดงอารมณ์ที่ น่ากลัว พระเถระได้เห็นอารมณ์นั้นเข้า จึงไม่รู้แจ้งนิมิตโอภาส.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 623
ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งๆ ที่ทรงทราบอยู่ เพราะเหตุไร? จึงตรัสเรียกถึง ๓ ครั้ง? ตอบว่า เพราะเพื่อทรงทำความโศก ให้เบาบาง ด้วยการยกโทษขึ้นว่า นั่นเป็นการทำไม่ดีของท่าน นั่น เป็นการผิดพลาดของท่าน ในเมื่อท่านพระอานนท์ทูลอาราธนาว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดทรงดำรงพระชนมายุอยู่ก่อนเถิด พระเจ้าข้า.
ในบทว่า มาโร ปาปิมา นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- ชื่อว่ามาร เพราะประกอบสัตว์ไว้ในความพินาศให้ตายไป. บทว่า ปาปิมา นี้ เป็นไวพจน์ของบทว่า มาโร นั้นนั่นแล. จริงอยู่ มารนั้นเขาเรียกว่า ปาปิมา เพราะประกอบด้วยปาปธรรม. บทว่า ภาสิตา โข ปเนส ภนฺเต ความว่า จริงอยู่ มารนี้มาที่โพธิมัณฑสถาน ในสัปดาห์ ที่ ๘ ในเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสรู้สัมโพธิญาณแล้วทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลาย เพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นพระองค์ทรงบรรลุตามพระประสงค์ แล้ว สัพพัญญุตญาณพระองค์ทรงแทงตลอดแล้ว ประโยชน์อะไร ที่พระองค์จะต้องทรงตรวจดูสัตว์โลกเล่า แล้วทูลอาราธนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดเสด็จปรินิพพาน ในบัดนี้เหมือนในวันนี้. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสห้ามมารนั้นว่า น ตาวาหํ เรายังไม่ปรินิพพานก่อนนะมาร ดังนี้เป็นต้น. มารกล่าว คำมีอาทิว่า ภาสิตา โข ปเนสา ภนฺเต ก็คำนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้แล้วแล ดังนี้ หมายเอาคำว่า น ตาวาหํ นั้น.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 624
ในบทเหล่านี้ บทว่า วิยตฺตา ได้แก่ เป็นผู้ฉลาดด้วยอำนาจ มรรค. เป็นผู้อันท่านแนะนำแล้ว เหมือนอย่างนั้น. เป็นผู้แกล้วกล้า เหมือนอย่างนั้น. บทว่า พหุสฺสุตา ได้แก่ ชื่อว่าเป็นพหูสูต เพราะมี พุทธพจน์อันดับแล้วมากด้วยอำนาจปิฎก ๓. ชื่อว่า ธรรมธร เพราะทรงธรรมนั้นแหละไว้. อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นความในที่นี้ อย่างนี้ว่า ผู้เป็นพหูสูตทางปริยัติ และผู้เป็นพหูสูตทางปฏิเวธ ชื่อว่า ผู้ทรงธรรมเพราะทรงปริยัติธรรมและปฏิเวธธรรมนั่นแล. บทว่า ธมฺมานุธมฺมปฏิปนฺนา ได้แก่ ปฏิบัติทางวิปัสสนาอันเป็น ธรรมสมควรแก่อริยธรรม. บทว่า สามีจิปฏิปนฺนา ได้แก่ ปฏิบัติ ปฏิปทาอันเหมาะสม. บทว่า อนุธมฺมจาริโน แปลว่า ผู้มีปกติ ประพฤติธรรมอันสมควร. บทว่า สกํ อาจริยกํ ได้แก่ วาทะแห่ง อาจารย์ของตน. บทว่า อาจิกฺขิสฺสนฺติ เป็นต้นทั้งหมด เป็นไวพจน์ ของกันแลกัน. บทว่า สหธมฺเมน ได้แก่ ด้วยคำอันมีเหตุ คือ มีการณ์. บทว่า สปฺปาฏิหาริยํ ความว่า พระอริยสาวกเหล่านั้นย่อมแสดง ธรรมให้เป็นธรรมนำสัตว์ออกจากทุกข์.
บทว่า พฺรหฺมจริยํ ได้แก่ ศาสนพรหมจรรย์ทั้งสิ้น ที่สงเคราะห์ ด้วยสิกขาทั้ง ๓. บทว่า อิทฺธํ ได้แก่ สำเร็จด้วยอำนาจยินดีในฌาน. บทว่า ผีตํ ได้แก่ ถึงความเจริญด้วยอำนาจอภิญญาสมาบัติ เหมือน ดอกไม้บานเต็มที่. บทว่า วิตฺถาริกํ ได้แก่ แผ่ไปด้วยอำนาจ ประดิษฐานอยู่ในทิศาภาคนั้นๆ. บทว่า พาหุชญฺํ ได้แก่ ชนเป็น อันมากรู้แล้ว คือ แทงตลอดแล้วด้วยอำนาจการตรัสรู้ของชนเป็น อันมาก บทว่าปุถุภูตํ แปลว่า ถึงความแน่นหนาโดยอาการทั้งปวง.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 625
ถึงความแน่นหนาอย่างไร? ถึงความแน่นหนาตราบเท่าที่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลายประกาศดีแล้ว. อธิบายว่า เทวดาและมนุษย์ ทั้งหลายผู้เป็นวิญญูชน มีประมาณเท่าใด เทวดาและมนุษย์ทั้งหมด มีประมาณเท่านั้น ประกาศด้วยดีแล้ว.
บทว่า อปฺโปสฺสุกฺโก ได้แก่ เป็นผู้ไม่มีความอาลัย. พระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมารผู้มีบาป ตั้งแต่สัปดาห์ที่ ๘ ท่าน เที่ยวร่ำร้องอยู่ว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดปรินิพพานบัดนี้เถิด พระเจ้าข้า ขอพระสุคตโปรดปรินิพพานบัดนี้เถิดพระเจ้าข้า ดังนี้ บัดนี้ ตั้งแต่วันนี้ไป ท่านเลิกความอุตสาหะเถิด อย่าทำความ พยายามเพื่อให้เราปรินิพพานเลย. บทว่า สโต สมฺปชาโน อายุสฺขารํ โอสชฺชิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งสติมั่น กำหนดด้วย ฌาณ ทรงปลงคือละอายุสังขาร. ในการปลงอายุสังขารนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าหาได้ทรงปลงอายุสังขาร เหมือนเอามือปล่อยก้อนดินไม่. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเกิดพระดำริขึ้นว่า ก็เราจะเข้าผล สมาบัติเพียง ๓ เดือนเท่านั้น ต่อนั้นจักไม่เข้า. บทว่า โอสฺสชฺชิ ตรัสหมายเอาคำนั้น. ปาฐะว่า อวสฺสชฺชิ ดังนี้ก็มี.
บทว่า มหาภูมิจาโล ได้แก่ แผ่นดินไหวใหญ่. ได้ยินว่า ในกาลนั้น หมื่นโลกธาตุไหวแล้ว. บทว่า ภึสนโก แปลว่า น่าสะพึง กลัว. บทว่า เทวทุนฺทุภิโย จ ผลึสุ ได้แก่ กลองทิพย์บันลือลั่น ฝน คำรามกระหึ่ม สายฟ้าแลบแปลบปลาบผิดฤดูกาล ท่านอธิบายว่า ฝนตกชั่วขณะหนึ่ง. บทว่า อุทานํ อุทาเนสิ ความว่า เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงเปล่งอุทาน? เพราะทรงพระดำริว่า
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 626
ชื่อว่าใครๆ จะพึงพูดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าถูกมารติดตามไป ข้างหลังๆ พูดรบกวนว่า จงปรินิพพานเถิดพระเจ้าข้า จึงทรงปลง อายุสังขารเพราะความกลัว เพราะเหตุนั้น บุคคลนั้นจงอย่ามีโอกาส เลย ดังนี้แล้วจึงทรงเปล่งพระอุทานอันหลั่งออกมาด้วยกำลังพระปีติ.
พึงทราบวินิจฉัยในพระอุทานนั้นดังต่อไปนี้:- (เครื่องปรุง แต่งงาน) ชื่อว่าตุละ เพราะบุคคลชั่งได้ คือ กำหนดได้ เพราะเป็น ของประจักษ์แก่สัตว์ทั้งปวงมีสุนัขบ้านและสุนัขจิ้งจอก เป็นต้น. ที่ชื่อว่า ตุละ นั้น คืออะไร? คือกรรมฝ่ายกามาวจร. เครื่องปรุง แต่งภพที่ชั่งได้ไม่มี หรือที่ชั่งได้ของบุคคลนั้นไม่มี คือ ไม่มีโลกิยกรรม อย่างอื่นที่แม้นเหมือน เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อตุละชั่งไม่ได้. เครื่องปรุงแต่งภพที่ชื่ออตุละนั้นคืออะไร? คือ กรรมฝ่ายมหัคคตะ. อีกอย่างหนึ่ง กามาวจรกรรม รูปาวจรกรรม ชื่อว่า ตุละชั่งได้. อรูปาวจรกรรม ชื่อว่า อตุละ ชั่งไม่ได้. อีกอย่างหนึ่ง วิบากน้อย ชื่อตุละ วิบากมาก ชื่ออตุละ. บทว่า สมฺภวํ ได้แก่ เป็นเหตุแห่ง สมภพ. บทว่า ภวสงฺขารํ ได้แก่ เครื่องปรุงแต่งงานใหม่ อธิบายว่า กรรมที่ทำให้เป็นกอง ทำให้เป็นก้อน. บทว่า อวสฺสชฺชิ แปลว่า ปลงแล้ว. บทว่า มุนี ได้แก่มุนีคือพระพุทธเจ้า. บทว่า อชฺฌตฺตรโต ได้แก่ ยินดีแล้วภายในตน. บทว่า สมาหิโต ได้แก่ มีจิตตั้งมั่นแล้ว ด้วยอุปจารสมาธิ และอัปปนาสมาธิ. บทว่า อภินฺทิ กวจมิว ได้แก่ ทำลายแล้ว ดุจนักรบทำลายเกราะ. บทว่า อตฺตสมฺภวํ ได้แก่ กิเลสที่เกิดในตน. ท่านกล่าวอธิบายไว้ดังนี้ว่า มุนีสละ โลกิยกรรม
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 627
กล่าวคือ ตุละและอตุละซึ่งได้ชื่อว่า สัมภวะ เพราะอรรถว่ามีวิบาก และได้ชื่อว่า ภวสังขาร เพราะอรรถว่าปรุงแต่งภพ และเป็นผู้ ยินดีภายในตน มีจิตตั้งมั่น ทำลายกิเลสที่เกิดในตน เหมือนนักรบ ใหญ่ในสงครามสำคัญ ทำลายเกราะฉะนั้น. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อตุลญฺจ สมฺภวํ ได้แก่ พระนิพพานและภพ. บทว่า ภวสงฺขารํ ได้แก่ กรรมอันนำสัตว์ไปสู่ภพ. บทว่า อวสฺสชฺชิ มุนิ ความว่า พระมุนี คือพระพุทธเจ้าทรงพิจารณาโดยนัยเป็นต้นว่า ขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง การดับขันธ์ ๕ คือพระนิพพาน เที่ยง ทรงเห็นเป็นโทษ ในภพ และอานิสงส์ในพระนิพพานแล้ว ทรงและกรรมเครื่องปรุง แต่งภพอันเป็นมูลแห่งขันธ์ทั้งหลายนั้น ด้วยอริยมรรคอันกระทำ ความสิ้นกรรม ดังกล่าวไว้อย่างนี้ว่า ย่อมเป็นไปเพื่อความสิ้นกรรม ดังนี้. พระองค์ทรงยินดีในภายใน มีพระหฤทัยตั้งมั่น ทำลายแดนเกิด แห่งตนอันเป็นดุจเกราะได้อย่างไร? ความจริงพระองค์ทรงยินดี ในภายในด้วยอำนาจวิปัสสนา มีพระหทัยตั้งมั่นด้วยอำนาจสมถะ ทรงทำลายกิเลสชาติทั้งหมดที่ได้นามว่า อัตตสัมภวะ เพราะเกิด ในตน ที่หุ้มห่ออัตภาพตั้งอยู่ดุจเกราะด้วยกำลังสมถะและวิปัสสนา จำเดิมแต่เบื้องต้นด้วยอาการอย่างนี้ และกรรมที่ทรงทำโดยไม่มี กิเลส ชื่อว่าทรงสละแล้ว เพราะไม่มีปฏิสนธิ พระองค์ทรงละกรรม ด้วยละกิเลสได้ ดังกล่าวมาฉะนี้ และธรรมดาผู้ละกิเลสได้แล้ว ย่อมไม่มีความกลัว เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า พระองค์ไม่ทรงกลัว ทรงปลงอายุสังขาร และทรงเปล่งอุทานเพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์ ไม่ทรงกลัว.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 628
บทว่า ยํ มหาวาตา ความว่า โดยสมัยใด หรือในสมัยใด ลมพายุพัด ลมชื่ออุกเขปกวาต ก็ตั้งขึ้น. ลมอุกเขปกวาตนั้นก็พัด ตัดลมที่รองรับน้ำอันมีความหนาเก้าแสนหกหมื่นโยชน์. แต่นั้น น้ำในอากาศก็ตก เมื่อน้ำตก แผ่นดินก็ตก ลม (ที่รองรับน้ำ) ก็จะอุ้ม เอาน้ำไว้อีก ด้วยกำลังของตน เหมือนอุ้มน้ำไว้ในธนกรก หม้อ กรองน้ำ ฉะนั้น แต่นั้น น้ำก็สูงขึ้น เมื่อน้ำสูงขึ้น แผ่นดินก็สูงขึ้น. น้ำไหลแล้วอย่างนี้ก็ทำให้แผ่นดินไหว. ก็การไหวอย่างนี้ ย่อมมีมา จนถึงทุกวันนี้. ก็การยุบลงและการนูนขึ้น ย่อมไม่ปรากฏเพราะ แผ่นดินมาก บทว่า มหิทฺธิกา มหานุภาวา ความว่า ชื่อว่ามีฤทธิ์มาก เพราะมีความสำเร็จมาก ชื่อว่ามีอานุภาพมาก เพราะมีสิ่งที่จะพึง เสวยมาก. บทว่า ปริตฺตา ได้แก่ มีกำลังเพลา. บทว่า อปฺปมาณา ได้แก่ มีกำลัง. บทว่า โส อิมํ ปวึ กมฺเปติ ความว่า สมณะหรือ พราหมณ์นั้นทำฤทธิ์ให้บังเกิดแล้ว เมื่อจะให้สลดใจ จึงทำแผ่นดิน ให้ไหว เหมือนพระมหาโมคคัลลานะ หรือเมื่อจะทดลองฤทธิ์ก็ทำ แผ่นดินให้ไหว เหมือนสังฆรักขิตสามเณรผู้เป็นหลานของพระมหานาคเถระ. บทว่า สงฺกมฺเปติ ได้แก่ ไหวโดยรอบ. บทว่า สมฺปกมฺเปติ นี้ เป็นไวพจน์ของบทว่า สงฺกมฺเปติ นั้นนั่นแล. ดังนั้น บรรดาเหตุปัจจัยทำแผ่นดินไหว ๘ ประการเหล่านี้ เหตุปัจจัย ๑ เพราะธาตุกำเริบ ที่ ๒ เพราะอานุภาพของผู้มีฤทธิ์ ที่ ๓ ที่ ๔ เพราะเดชแห่งบุญ ที่ ๕ เพราะเดชแห่งญาณ ที่ ๓ เพราะอำนาจ ให้สาธุการ ที่ ๗ เพราะความการุณย์เป็นสภาวะ ที่ ๘ เพราะ ร้องห่มร้องไห้. เมื่อพระมหาสัตว์ลงสู่ครรภ์พระมารดา และประสูติ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 629
จากครรภ์พระมารดา แผ่นดินไหวเพราะเดชแห่งบุญของพระ มหาสัตว์นั้น. ในสมัยตรัสรู้อภิสัมโพธิญาณ แผ่นดินถูกเดชของ พระญาณชักนำแล้ว จึงได้ไหว. ในสมัยประกาศพระธรรมจักร แผ่นดินดำรงนิ่งอยู่ในภาวะแห่งสาธุการ เมื่อไห้สาธุการก็ไหว. ในสมัยทรงปลงอายุสังขาร แผ่นดินดำรงนิ่งอยู่ในความเป็นผู้มีกรุณา เป็นสภาวะ แต่ทนจิตสังขาร (สัคทาเวทนา) ไม่ได้ ก็ไหว. ในสมัย ปรินิพพาน แผ่นดินอาดูรด้วยแรงการร้องห่มร้องไห้ จึงได้ไหว. ก็ความนี้ พึงทราบด้วยอำนาจเทวดาประจำปฐวี. ก็การให้สาธุการ เป็นต้นนั้นย่อมไม่มีแก่แผ่นดินที่เป็นมหาภูต เพราะแต่ดินที่เป็น มหาภูต ไม่มีเจตนา. คำที่เหลือในบททั้งปวงง่ายทั้งนั้นแล
จบ อรรถกถาภูมิจาลสูตรที่ ๑๐
รวมพระสูตร มีในวรรคนี้ คือ
๑. อิจฉาสูตร ๒. อลังสูตร ๘ สูตร ๓. สังขิตตสูตร ๔. คยาสูตร ๕. อภิภายตนสูตร ๖. วิโมกขสูตร ๗. โวหารสูตรที่ ๑ ๘. โวหารสูตรที่ ๒ ๙. ปริสสูตร ๑๐. ภูมิจาบสูตร. และอรรถกถา
จบ จาลวรรคที่ ๗