๔. สมิทธิสูตร ว่าด้วยวิตก
[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 761
ปัณณาสก์
สีหนาทวรรคที่ ๒
๔. สมิทธิสูตร
ว่าด้วยวิตก
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 37]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 761
๔. สมิทธิสูตร
ว่าด้วยวิตก
[๒๑๘] ครั้งนั้นแล ท่านพระสมิทธิเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ อภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรได้ถามท่านพระสมิทธิว่า ดูก่อนท่านสมิทธิ วิตกอันเป็น ความดำริของบุรุษ มีอะไรเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ท่านพระสมิทธิ ตอบว่า วิตกอันเป็นความดำริของบุรุษ มีนามรูปเป็นอารมณ์ เกิดขึ้น ท่านผู้เจริญ.
สา. ดูก่อนท่านสมิทธิ ก็วิตกอันเป็นความดำรินั้น ย่อมถึง ความต่างกันในอะไร.
ส. ในธาตุทั้งหลาย ท่านผู้เจริญ
สา. ดูก่อนท่านสมิทธิ ก็วิตกอันเป็นความดำรินั้น มีอะไร เป็นสมุทัย.
ส. มีผัสสะเป็นสมุทัย ท่านผู้เจริญ.
สา. ดูก่อนท่านสมิทธิ ก็วิตกอันเป็นความดำรินั้น มีอะไร เป็นที่ประชุมลง.
ส. มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง ท่านผู้เจริญ.
สา. ดูก่อนท่านสมิทธิ ก็วิตกอันเป็นความดำรินั้น มีอะไร เป็นประมุข.
ส. มีสมาธิเป็นประมุข ท่านผู้เจริญ.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 762
สา. ดูก่อนท่านสมิทธิ ก็วิตกอันเป็นความดำรินั้น มีอะไร เป็นใหญ่.
ส. มีสติเป็นใหญ่ ท่านผู้เจริญ.
สา. ดูก่อนท่านสมิทธิ ก็วิตกอันเป็นความดำรินั้น มีอะไร เป็นยิ่ง.
ส. มีปัญญาเป็นยิ่ง ท่านผู้เจริญ.
สา. ดูก่อนท่านสมิทธิ ก็วิตกอันเป็นความดำรินั้น มีอะไร เป็นแก่น.
ส. มีวิมุตติเป็นแก่น ท่านผู้เจริญ.
สา. ดูก่อนท่านสมิทธิ ก็วิตกอันเป็นความดำรินั้น มีอะไร เป็นที่หยั่งลง.
ส. มีอมตะเป็นที่หยั่งลง ท่านผู้เจริญ.
สา. ดูก่อนท่านสมิทธิ เมื่อเราถามท่านว่า ดูก่อนท่านสมิทธิ วิตกอันเป็นความดำริของบุรุษ มีอะไรเป็นอารมณ์เกิดขึ้น ท่าน ตอบว่า มีนามรูปเป็นอารมณ์ ท่านผู้เจริญ เมื่อเราถามว่า ดูก่อน ท่านสมิทธิ ก็วิตกอันเป็นความดำรินั้นถึงความต่างกันในอะไร ท่านตอบว่า ในธาตุทั้งหลาย ท่านผู้เจริญ เมื่อเราถามว่า ดูก่อน ท่านสมิทธิ ก็วิตกอันเป็นความดำรินั้น มีอะไรเป็นสมุทัย ท่านตอบ ว่า มีผัสสะเป็นสมุทัย ท่านผู้เจริญ เมื่อเราถามว่า ดูก่อนท่านสมิทธิ ก็วิตกอันเป็นความดำรินั้น มีอะไรเป็นที่ประชุมลง ท่านตอบว่า มีเวทนาเป็นที่ประชุมลง ท่านผู้เจริญ เมื่อเราถามว่า ดูก่อนท่าน สมิทธิ ก็วิตกอันเป็นความดำรินั้น มีอะไรเป็นประมุข ท่านตอบว่า
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 763
มีสมาธิเป็นประมุข ท่านผู้เจริญ เมื่อเราถามว่า ดูก่อนท่านสมิทธิ ก็วิตกอันเป็นความดำรินั้น มีอะไรเป็นใหญ่ ท่านตอบว่า มีสติ เป็นใหญ่ ท่านผู้เจริญ เมื่อเราถามว่า ดูก่อนท่านสมิทธิ วิตก อันเป็นความดำรินั้น มีอะไรเป็นยิ่ง ท่านตอบว่า มีปัญญาเป็นยิ่ง ท่านผู้เจริญ เมื่อเราถามว่า ดูก่อนท่านสมิทธิ ก็วิตกอันเป็นความ ดำรินั้น มีอะไรเป็นแก่น ท่านตอบว่า มีวิมุตติเป็นแก่น ท่านผู้เจริญ เมื่อเราถามว่า ดูก่อนท่านสมิทธิ ก็วิตกอันเป็นความดำรินั้น มี อะไรเป็นที่หยั่งลง ท่านตอบว่า มีอมตะเป็นที่หยั่งลง ท่านผู้เจริญ ดูก่อนท่านพระสมิทธิ ดีละ ดีละ เป็นการดีแล้ว ท่านอันเราถาม ปัญหาก็แก้ได้ แต่ท่านอย่าทะนงตน ด้วยการแก้ปัญหานั้น.
จบ สมิทธิสูตรที่ ๔
อรรถกถาสมิทธิสูตร
สมิทธิสูตรที่ ๔ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า สมิทฺธิ ได้แก่ พระเถระมีพระเถระผู้เป็นสัทธิวิหาริก ได้ชื่อว่าอย่างนี้ เพราะความสำเร็จของอัตภาพ. บทว่า กิมารมฺมณา ได้แก่ มีอะไรเป็นปัจจัย. บทว่า สงฺกมฺปวิตกฺกา ได้แก่ วิตกเป็น ความดำริ. บทว่า นามรูปารมฺมณา ได้แก่ มีนามรูปเป็นปัจจัย. ท่านแสดงว่า ด้วยบทนี้ อรูปขันธิ ๔ รูปและอุปาทายรูป เป็น ปัจจัยของวิตกทั้งหลาย. บทว่า กวฺนานตฺตํ คจฺฉนฺติ ความว่า
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 764
ย่อมถึงความต่างๆ กันเป็นสภาพ คือความแปลกในที่ไหน. บทว่า ธาตูสุ คือ ในรูปธาตุเป็นต้น. ด้วยว่า ความตรึกในรูปเป็นอย่างหนึ่ง ความตรึกในเสียงเป็นต้น เป็นอย่างหนึ่ง ด้วยประการฉะนี้. บทว่า ผสฺสสมุทยา ได้แก่ เป็นปัจจัยแก่ผู้สละประกอบกัน. บทว่า เวทนาสโมสรณา ได้แก่ มีเวทนา ๓ เป็นที่รวม. ท่านกล่าวกุศล และอกุศลรามกันแล้วด้วยเหตุประมาณเท่านี้. ส่วนธรรมเป็นต้น ว่า สมาธิปฺปมุขา พึงทราบว่าเป็นธรรมฝ่ายกำจัดกิเลสให้สิ้นไป. ในบทนั้น วิตกชื่อว่า สมาธิปฺปมุขา เพราะอรรถว่า มีสมาธิเป็น ประมุขด้วยอรรถว่าเป็นประธาน หรือด้วยอรรถว่าเป็นใหญ่. ชื่อว่า สตาธิปเตยฺยา เพราะอรรถว่ามีสติเป็นใหญ่ ด้วยอรรถว่า เป็นเหตุของผู้เป็นใหญ่. ชื่อว่า ปญฺญุตฺตรา เพราะมีมรรคปัญญา เป็นยอดเยี่ยม. ชื่อว่า วิมุตฺติสารา เพราะอรรถว่า มีการบรรลุผล วิมุตติเป็นแก่น. ชื่อว่า อมโตคธา เพราะอรรถว่า หยั่งลงสู่อมตนิพพาน คือตั้งอยู่ในอมตนิพพานนั้นแล้วด้วยอำนาจอารมณ์. บทว่า เตน วา มา มญฺิ ความว่า ท่านอย่าทำความเย่อหยิ่ง หรือความ โอ้อวดด้วยการแก้นั้นว่า อัครสาวกถามปัญหาแล้ว เราแก้ได้แล้ว ดังนี้.
จบ อรรถกถาสมิทธิสูตรที่ ๔