ธัมมะหมายอะไร?
ธัมมะ แปลว่า ทรงไว้ซึ่งสภาวะของตนๆ ก็สิ่งใดที่ทรงไว้ซึ่งสภาวลักษณะของตน เป็นสิ่งที่มีจริงและทนต่อการพิสูจน์ หมายถึง ปรมัตถธรรม ๔ ได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ถ้าไม่รู้ธัมมะ ก็ไม่รู้ความจริง เมื่อไม่รู้ความจริง ก็ไม่พ้นทุกข์
อยากฟัง (อ่าน) ความเห็น ของคุณ orawan.c ครับ ว่า คือ? ทำไม? เป็นไง?
ทำไมต้องรู้ธัมมะ
ก็ขอถามว่า ศึกษาทำไม ศึกษาพระพุทธศาสนาทำไม
ก็เพื่อรู้ความจริง และความจริงคืออะไร
ก็คือธรรมที่เป็นจิต เจตสิก รูป แล้วทำไมต้องรู้ ก็เพราะเป็นความจริงจึงต้องรู้ สิ่งที่ไม่จริงจะรู้ทำไม มีแต่เพิ่มความไม่รู้ เมื่อรู้ธัมมะด้วยปัญญา ย่อมเห็นตามความเป็นจริง เพราะความเห็นตามความเป็นจริง ปัญญาย่อมเกิดขึ้น เมื่อปัญญาเพิ่มขึ้น อวิชชาความไม่รู้ก็น้อยลง ความทุกข์ก็น้อยลง เพราะความไม่รู้และกิเลสต่างๆ นี่แหละทำให้เราทุกข์ ทุกคนก็อยากมีความสุข แต่ถ้าไม่มีปัญญาโดยการรู้ความจริงในสิ่งที่มีจริงว่าเป็นธรรม ความสุขก็เกิดขึ้นไม่ได้เลยอันเนื่องมาจากกิเลสน้อยลง จนปัญญาอบรมจนดับกิเลสหมด ก็ไม่ต้องทุกข์อีก แต่ถามว่ามาจากจุดเริ่มต้นอะไร ก็คือ รู้ความจริงว่า ทุกอย่างเป็นธัมมะไม่ใช่เรา ด้วยปัญญาคือ อบรมเจริญสติปัฏฐาน
ถ้าไม่รู้ธัมมะเป็นไงมั้ย
ลองอ่านพระสูตรดูนะครับว่าเป็นไงมั้ย
[เล่มที่ 31]
[เล่มที่ 31] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 438
ข้อความบางตอนจาก...
ปฐมวัชชีสูตร
ว่าด้วยการตรัสรู้และไม่ตรัสรู้อริยสัจ ๔
[๑๖๙๘] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ โกฏิคาม ใน แคว้นวัชชี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะไม่ได้ตรัสรู้ ไม่ได้แทงตลอดอริยสัจ ๔ เราด้วย เธอทั้งหลายด้วย จึงแล่นไป ท่องเที่ยวไปยังสังสารวัฎนี้ตลอดกาลนานอย่างนี้ อริยสัจ ๔ เป็นไฉน คือ เพราะไม่ได้ตรัสรู้ ไม่ได้แทงตลอดทุกขอริยสัจ ๑ ทุกขสมุทยอริยสัจ ๑ ทุกขนิโรธอริยสัจ ๑ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ๑ เราด้วย เธอทั้งหลายด้วย จึงแล่นไป ท่องเที่ยวไปยังสังสารวัฏฏ์นี้ตลอดกาลนานอย่างนี้
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขออนุโมทนา และ ขอแสดงความเห็น
ธัมมะ คือ สิ่งที่มีจริงๆ ได้แก่
๑. รูปธัม เป็นสิ่งที่ไม่สามารถรู้อะไรได้เลย
๒. นามธัม เป็นสิ่งที่สามารถรู้อารมณ์ (คือสิ่งที่ถูกรู้) ได้แก่ จิตและเจตสิก (ยังไม่กล่าวถึงนิพพาน) โดยรู้อารมณ์ได้ ๖ ทางคือ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ทำไมต้องรู้ธัมมะ ถ้าไม่รู้แล้วเป็นไง รู้เพื่อละความไม่รู้ตามความเป็นจริง จนขั้นสูงสุดคือหลุดพ้นจากวัฏฏะ เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้ก็ต้องเกิดแล้ว เกิดอีกไม่มีที่สิ้นสุด
ธรรม หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงๆ จะเกิดกี่ภพกี่ชาติ ก็ ไม่พ้น ๖ ทวาร คือ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส คิดนึก ทั้งหมดเป็นธรรมที่มีจริง ถ้าเราไม่รู้ธรรม เราก็ต้องวนเวียนอยู่ในวัฏฏะ เราจึงต้องศึกษาธรรมเพื่อรู้ความจริงค่ะ
ได้อ่านเรื่องต่างๆ ที่ท่านผู้รู้อธิบาย ทำให้รู้ว่าเรานี้ยังรู้ธรรมเพียงน้อยนิด
ขอบคุณค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมก็ไม่มีความเข้าใจในธรรมะที่พระผุ้มีพระภาคเจ้าอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ดังนั้นควรที่จะศึกษาจากพระไตรปิฎกจึงจะตรง และถูกต้องอย่างแท้จริง .... มิฉะนั้นแล้ว ความเห็นผิดคลาดเคลื่อนจากความเป็น จริง อาจเกิดขึ้นได้เสมอ เมื่ออวิชชาความไม่รู้เข้าครอบงำ บางท่านอาจจะเหมาว่า คน นั้นเป็นอาจารย์บ้าง คนนี้เป็นพระอรหันต์บ้างตามความไม่รู้ของแต่ละบุคคล จริงหรือไม่ ก็ว่ากันต่อๆ กันไป บางครั้งก็สอนบอกต่อกัน ทำกันเป็นประเพณี ต้องทำอย่างนั้น แล้วจะ ได้อย่างนี้ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้จากความจริงเมื่อสองพันห้าร้อยกว่าปีมา แล้ว สิ่งที่พระผุ้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น เป็นสิ่งที่ประกอบด้วย ปัญญา ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติย่อมตามเห็นตามความจริงได้ด้วยปัญญาของตนเอง และ น้อมนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง เห็นผลจริง ... เป็นสิ่งที่เป็นจริงเสมอ ไม่มี เปลี่ยนแปลง
ธรรมะ คือ ความจริง/สิ่งที่มีจริงทุกอย่าง เป็นธรรมะทุกอย่างครับ
ธรรมคือ อะไร?
ธรรม คือ ความจริง มีลักษณะจริงๆ ให้รู้ได้ เช่น สิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหูให้ได้ยินในขณะนี้ เป็นต้น ซึ่งสามารถที่จะเข้าใจลักษณะแท้ๆ ได้ ตรงตามความเป็นจริง
ทำไมต้องรู้ธัมมะ?
รู้ ความจริง ดีกว่าไม่รู้ใช่ไหมครับ เกิดแล้วก็ตายไป โดยไม่รู้ความจริงอะไรเลย แล้วประโยชน์ของการเกิดมาเพื่ออะไร
ถ้าไม่รู้แล้วจะเป็นไงมั้ย?
เกิดแล้วตายไป ก็ไม่รู้อะไรเลย ก็มีเพียงชีวิตที่สะสม คือ เต็มไปด้วยอกุศล ที่ไม่รู้อะไรเลย และก็เกิดอีก เป็นบุคคลใหม่ จนกว่าที่จะได้ยินได้ฟัง มีโอกาสที่รู้ความจริง วาจาสัจจะ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าขณะนี้มีความจริง ไม่ใช่ขณะอื่น เพราะขณะอื่นดับไปแล้วบ้าง ไม่สามารถที่จะทำให้รู้ความจริงได้ ต้องเป็นความจริงที่มีในขณะนี้ สะสมความเข้าใจ ความเข้าใจนั้นทำกิจ สะสมแล้ว ละความไม่รู้ เมื่อความเข้าใจเกิดขึ้น จากทีละเล็กละน้อย จึงเป็นประโยชน์ที่แท้ พร้อมความดี คือ โสภณธรรมที่เกิดพร้อม ความเข้าใจ ก็ทำกิจสะสมด้วย สะสมเพื่อประโยชน์ คือ การเข้าใจ ความจริงที่ละเอียดยิ่งขึ้น
ขออนุโมทนาในคำถามที่เป็นประโยชน์ครับ