พระพุทธองค์ทรงตอบปัญหาของพระภิกษุ [อุมมังคสูตร]

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  4 พ.ย. 2564
หมายเลข  39749
อ่าน  527

บันทึกการสนทนาพระสูตรออนไลน์ วันเสาร์ที่ ๑๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓

[เล่มที่ 35] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ ๔๕๓

๖. อุมมังคสูตร

(พระพุทธองค์ทรงตอบปัญหาของพระภิกษุ)

[๑๘๖] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถาม พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โลกอันอะไรหนอแลนำไป โลกอันอะไร ชักมา และบุคคลย่อมลุอำนาจของอะไรที่บังเกิดขึ้นแล้ว

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดีละ ดีละ ภิกษุ ปัญญาของเธอหลักแหลม ปฏิภาณของเธอดีจริง ปริปุจฉาของเธอเข้าที เธอถามอย่างนี้ว่าโลกอันอะไร หนอแลนำไป โลกอันอะไรชักมา และบุคคลย่อมลุอำนาจของอะไรที่บังเกิด ขึ้นแล้ว ดังนี้หรือ

ภิก. อย่างนั้น พระเจ้าข้า.

พ. ดูกร ภิกษุ โลกอันจิตแลนำไป อันจิตชักมา และบุคคลย่อมลุอำนาจของจิตที่บังเกิดขึ้นแล้ว.

ภิกษุนั้นชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ดีแล้วพระเจ้าข้า แล้วได้ทูลถามปัญหายิ่งขึ้นไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่าบุคคลเป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงธรรม เป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงธรรม ดังนี้? ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล บุคคลจึงเป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงธรรม

พ. ดีละ ดีละ ภิกษุ ปัญญาของเธอหลักแหลม ปฏิภาณของเธอ ดีจริง ปริปุจฉาของเธอเข้าที เธอถามอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญที่ เรียกว่า บุคคลเป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงธรรม เป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงธรรม ดังนี้ ด้วยเหตุ เพียงไรหนอแล บุคคลจึงเป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงธรรมดังนี้หรือ?

ภิก. อย่างนั้น พระเจ้าข้า.

พ. ดูกร ภิกษุ เราแสดงธรรมเป็นอันมาก คือ สุตตะ.. .เวทัลละ ถ้าแม้ภิกษุรู้ทั่วถึงอรรถ รู้ทั่วถึงธรรมแห่งคาถา ๔ บาทแล้ว เป็นผู้ปฏิบัติ ธรรมสมควรแก่ธรรมไซร้ ก็ควรเรียกว่า เป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงธรรม.

ภิกษุนั้น ชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ดีแล้วพระเจ้าข้า แล้วได้ทูลถามปัญหายิ่งขึ้นไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่าบุคคลผู้สดับ มีปัญญาชำแรกกิเลส ผู้สดับมีปัญญาชำแรกกิเลส ดังนี้ ด้วยเหตุ เพียงเท่าไร หนอแลบุคคลจึงเป็นผู้สดับมีปัญญาชำแรกกิเลส

พ. ดีละ ดีละ ภิกษุ ปัญญาของเธอหลักแหลม ปฏิภาณของเธอ ดีจริง ปริปุจฉาของเธอเข้าที เธอถามอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า บุคคลผู้สดับมีปัญญาชำแรกกิเลส ผู้สดับมีปัญญาชำแรกกิเลส ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล บุคคลจึงเป็นผู้สดับมีปัญญา ชำแรกกิเลส ดังนี้หรือ

ภิก. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

พ. ดูกร ภิกษุ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ได้สดับว่า นี้ทุกข์ และเห็นแจ้งแทงตลอด เนื้อความแห่งคำที่สดับนั้น ด้วยปัญญา ได้สดับว่า นี้ทุกขสมุทัย และได้เห็นแจ้ง แทงตลอดเนื้อความแห่งคำที่สดับนั้น ด้วยปัญญา ได้สดับว่านี้ทุกขนิโรธ และ เห็นแจ้งแทงตลอดเนื้อความแห่งคำที่สดับนั้นด้วยปัญญา ได้สดับว่า นี้ทุกขนิโรธ คามินีปฏิปทา และเห็นแจ้งแทงตลอดเนื้อความแห่งคำที่สดับนั้นด้วยปัญญา ดูกรภิกษุ บุคคลเป็นผู้สดับมีปัญญาชำแรกกิเลสอย่างนี้แล.

ภิกษุนั้นชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ดีแล้ว พระเจ้าข้า แล้วได้ทูลถามปัญหายิ่งขึ้นไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า บุคคลผู้เป็นบัณฑิตมีปัญญามาก ผู้เป็นบัณฑิตมีปัญญามาก ดังนี้ ด้วยเหตุ เพียงเท่าไรหนอแล บุคคลจึงเป็นบัณฑิตมีปัญญามาก

พ. ดีละ ดีละ ภิกษุ ปัญญาของเธอหลักแหลม ปฏิภาณของเธอ ดีจริง ปริปุจฉาของเธอเข้าที เธอถามอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่าบุคคลผู้เป็นบัณฑิตมีปัญญามาก บุคคลผู้เป็นบัณฑิตมีปัญญามาก ดังนี้ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล บุคคลจึงเป็นบัณฑิตมีปัญญามาก ดังนี้หรือ

ภิก. อย่างนั้น พระเจ้าข้า.

พ. ดูกร ภิกษุ บุคคลผู้เป็นบัณฑิตมีปัญญามากในธรรมวินัยนี้ ย่อมไม่คิดเพื่อเบียดเบียนตน ย่อมไม่คิดเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น ย่อมไม่คิดเพื่อ เบียดเบียนตนและผู้อื่น เมื่อคิด ย่อมคิดเพื่อเกื้อกูลแก่ตน เกื้อกูลแก่ผู้อื่น เกื้อกูลแก่ตนและผู้อื่น และเกื้อกูลแก่โลกทั้งหมดทีเดียว ดูกรภิกษุ บุคคล เป็นบัณฑิตมีปัญญามากอย่างนี้แล.

จบอุมมังคสูตรที่ ๖


อรรถกถาอุมมังคสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในอุมมังคสูตรที่ ๖ ดังต่อไปนี้ :-

บทว่า ปริกสฺสติ ได้แก่ อันสิ่งอะไรคร่ามา.

บทว่า อุมฺมงฺโค ได้แก่ ผุดขึ้น อธิบายว่า ไปด้วยปัญญา. อีกอย่างหนึ่ง ปัญญานั่นเองเรียกว่า อุมมังคะ เพราะอรรถกถาว่า ผุดขึ้น อุมมังคปัญญานั้น ชื่อว่าปฏิภาณเพราะอรรถว่า แจ่มแจ้งทันที.

บทว่า จิตฺตสฺส อุปฺปนฺนสฺส วสํ คจฺฉติ ความว่า บุคคลเหล่าใด ย่อมตกอยู่ในอำนาจจิต พึงทราบการยึดถือของบุคคล เหล่านั้นในเพราะอำนาจจิตนี้.

บทว่า อตฺถมญฺญาย ธมฺมมญฺญาย ได้แก่ รู้อรรถและบาลี

บทว่า ธมฺมานุ ธมฺมปฏิปนฺโน โหติ ความว่า เป็นผู้ปฏิบัติธรรม คือ ปฏิปทาอันเป็นส่วนเบื้องต้น พร้อมด้วยศีลที่สมควรแก่โลกุตตรธรรม.

บทว่า นิพฺเพธิกปญฺโญ ได้แก่ ปัญญาเป็นเครื่องชำแรก.

บทว่า อิทํ ทุกฺขํ ท่านอธิบายว่า ขันธ์ห้าเป็นไปในภูมิสามที่เหลือ เว้นตัณหา เป็นทุกข์.

บทว่า ปญฺญาย คือ ด้วยมรรคปัญญา.

บทว่า อยํ ทุกฺขสมุทโย ท่านอธิบายว่า ตัณหาเป็นมูลของวัฏฏะ เป็นเหตุเกิดทุกข์นั้น แม้ในสองบทที่เหลือ พึงทราบเนื้อความโดยอุบายนี้ อรหัตตผล พึงทราบว่าตรัสด้วยการตอบปัญหาข้อที่ ๔

จบ อรรถกถาอุมมังคสูตรที่ ๖


ข้อความโดยสรุป

อุมมังคสูตร

(ว่าด้วยพระพุทธองค์ทรงตอบปัญหาของพระภิกษุ)

ภิกษุรูปหนึ่งได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ได้ทูลถามปัญหา ทีละข้อ ยิ่งๆ ขึ้นไป รวม ๔ ข้อด้วยกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสรรเสริญว่าเป็นปัญหาที่ดี แล้วพระองค์ได้ตรัสตอบปัญหาในแต่ละข้อ ดังนี้

๑.โลกอันอะไร ย่อมนำไป โลกอันอะไรย่อมชักมา และโลกลุอำนาจของอะไร (โลกอันจิตย่อมนำไป โลกอันจิตย่อมชักมา โลกลุอำนาจแห่งจิต คือ เป็นไปตามจิต)

๒. ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงธรรม เป็นอย่างไร (ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแล้วปฏิบัติ ธรรมสมควรแก่ธรรม)

๓. ผู้ได้ชื่อว่ามีปัญญาชำแรกกิเลส เป็นอย่างไร (ได้รู้แจ้งอริยสัจจ์ ๔ คือ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และปฏิปทา ที่เป็นไปเพื่อถึงความดับทุกข์)

๔. ผู้ได้ชื่อว่า บัณฑิต มีปัญญามาก เป็นอย่างไร (ไม่คิดเบียดเบียนตนเอง ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่น และเมื่อคิดก็เพื่อเกื้อกูลตนเอง เกื้อกูลผู้อื่น เกื้อกูลแก่โลก)


ติดตามบันทึกการสนทนาต้นฉบับ (ฉบับเต็ม) ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :

และ คลิกอ่านรายละเอียดของพระสูตรและอรรถกถา ที่นี่ : https://www.dhammahome.com/webboard/topic/26122


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
lokiya
วันที่ 4 พ.ย. 2564

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
chatchai.k
วันที่ 4 พ.ย. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ