พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๘. อภิณหปัจจเวกขณธรรมสูตร ว่าด้วยธรรมที่บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ๑๐ ประการ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  5 พ.ย. 2564
หมายเลข  39801
อ่าน  431

[เล่มที่ 38] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 157

ปฐมปัณณาสก์

อักโกสวรรคที่ ๕

๘. อภิณหปัจจเวกขณธรรมสูตร

ว่าด้วยธรรมที่บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ๑๐ ประการ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 38]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 157

๘. อภิณหปัจจเวกขณธรรมสูตร

ว่าด้วยธรรมที่บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ๑๐ ประการ

[๔๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๑๐ ประการนี้ อันบรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ๑๐ ประการเป็นไฉน คือบรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เราเป็นผู้มีเพศต่างจากคฤหัสถ์ ๑ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า การเลี้ยงชีพของเราเนื่องด้วยผู้อื่น ๑ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า อากัปกิริยาอย่างอื่นอันเราควรทำมีอยู่ ๑ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เราย่อมติเตียนตนเองได้โดยศีลหรือไม่ ๑ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายผู้เป็นวิญญูชนพิจารณาแล้วติเตียนเราได้โดยศีลหรือไม่ ๑ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ๑ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เราเป็นผู้มีกรรมเป็นของของตน เป็นทายาทของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราจัก

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 158

ทำกรรมใดดีหรือชั่วก็ตาม เราจักต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ๑ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ ๑ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า เราย่อมยินดีในเรือนว่างเปล่าหรือไม่ ๑ บรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ ว่า ญาณทัสสนะวิเศษอันสามารถกำจัดกิเลสเป็นอริยะ คืออุตตริมนุสสธรรม อันเราได้บรรลุแล้วมีอยู่หรือหนอ ที่เป็นเหตุให้เราผู้อันเพื่อนพรหมจรรย์ถามแล้ว จักไม่เป็นผู้เก้อเขินในกาลภายหลัง ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๑๐ ประการนี้แล อันบรรพชิตพึงพิจารณาเนืองๆ.

จบอภิณหปัจจเวกขณธรรมสูตรที่ ๘

อรรถกถาอภิณหปัจจเวกขณธรรมสูตรที่ ๘

อภิณหปัจจเวกขณธรรมสูตรที่ ๘ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

บทว่า ปพฺพชิเตน ได้แก่ ผู้ละฆราวาสการครองเรือนเข้าถึงการบวชในพระศาสนา. บทว่า อภิณฺหํ แปลว่า เนืองๆ บ่อยๆ. บทว่า ปจฺจเวกฺขิตพฺพา แปลว่า พึงสำรวจดู พึงกำหนดดู.

บทว่า เววณฺณิยํ แปลว่า ความมีเพศต่าง ความมีรูปต่างๆ ก็ความมีเพศต่างนั้นมี ๒ อย่าง คือความมีเพศต่างโดยสรีระ ๑ ความมีเพศต่างโดยบริขาร ๑ บรรดาความมีเพศต่าง ๒ อย่างนั้น ความมีเพศต่างโดยสรีระ พึงทราบได้ด้วยการปลงผมและหนวด. ก็ก่อนบวช แม้นุ่งผ้าก็ต้องใช้ผ้าดีเนื้อละเอียด ย้อมสีต่างๆ แม้บริโภคก็ต้องกินรสอร่อยต่างๆ ใส่ภาชนะทองและเงิน แม้นอนนั่งก็ต้องที่นอนที่นั่งอย่างดีในห้องสง่างาม แม้ประกอบยาก็ต้องใช้เนยใส เนยข้นเป็นต้น ตั้งแต่บวชแล้ว จำ

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 159

ต้องนุ่งผ้าขาด ผ้าปะ ผ้าย้อมน้ำฝาด จำต้องฉันแต่ข้าวคลุกในบาตรเหล็กหรือบาตรดิน จำต้องนอนแต่บนเตียงลาดด้วยหญ้าเป็นต้น ในเสนาสนะมีโคนไม้เป็นอาทิ จำต้องนั่งบนท่อนหนังและเสื่อลำแพนเป็นต้น จำต้องประกอบยาด้วยน้ำมูตรเน่าเป็นต้น. พึงทราบความมีเพศต่างโดยบริขารในข้อนี้ ด้วยประการฉะนี้. ก็บรรพชิตพิจารณาอยู่อย่างนี้ ย่อมละโกปะความขัดใจ และมานะความถือตัวเสียได้.

บทว่า ปรปฏิพทฺธา เม ชีวิกา ความว่า บรรพชิตพึงพิจารณาอย่างนี้ว่า ความเป็นอยู่ด้วยปัจจัย ๔ จำต้องเกี่ยวเนื่องในผู้อื่น อิริยาบถก็สมควร อาชีวะการเลี้ยงชีพก็บริสุทธิ์ ทั้งเป็นอันเคารพยำเกรงบิณฑบาต ชื่อว่าเป็นผู้บริโภคไม่พิจารณาในปัจจัย ๔ ก็หามิได้.

บทว่า อญฺโ เม อากกฺโป กรณีโย ความว่า บรรพชิตพึงพิจารณาว่า อากัปกิริยาเดินอันใดของเหล่าคฤหัสถ์ คือย่างก้าวไม่กำหนด โดยอาการยืดอกคอตั้งอย่างสง่างาม เราพึงทำอากัปกิริยาต่างไปจากอากัปกิริยาของคฤหัสถ์นั้น เราพึงมีอินทรีย์สงบ มีใจสงบ มองชั่วแอก ย่างก้าวกำหนดแต่น้อย (ไม่ย่างก้าวยาว) พึงเดินไปเหมือนนำเกวียนบรรทุกน้ำไปในที่ขรุขระ. ด้วยว่า บรรพชิตพิจารณาอยู่อย่างนี้ ย่อมมีอากัปกิริยาสมควร สิกขา ๓ ย่อมบริบูรณ์.

ศัพท์ว่า กจฺจิ นุ โข รวมนิบาตลงในความกำหนด. บทว่า อตฺตา ได้แก่ จิต. บทว่า สีลโต น อุปวทติ ได้แก่ ไม่ตำหนิตนเองเพราะศีลเป็นปัจจัยอย่างนี้ว่า ศีลของเราไม่บริบูรณ์. ด้วยว่า บรรพชิตพิจารณาอยู่อย่างนี้ ย่อมตั้งหิริความละอายขึ้นภายใน. หิรินั้น ก็ให้สำเร็จความสำรวมในทวารทั้ง ๓. ความสำรวมในทวารทั้ง ๓ ย่อมเป็นจตุปาริสุทธิศีล บรรพชิตผู้ตั้งอยู่ในจตุปาริสุทธิศีล เจริญวิปัสสนาแล้ว ย่อมยึดพระอรหัตไว้ได้.

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 160

บทว่า อนุวิจฺจ วิญฺญ สพฺรหฺมจารี ความว่า เหล่าสพรหมจารีผู้ประพฤติพรหมจรรย์ร่วมกับผู้เป็นบัณฑิต พิจารณาใคร่ครวญแล้ว. ด้วยว่า บรรพชิตพิจารณาอยู่อย่างนี้ โอตตัปปะ ความเกรงกลัวบาปภายนอกย่อมตั้งขึ้น. โอตตัปปะนั้น ย่อมให้สำเร็จความสำรวมในทวารทั้ง ๓. ดังนั้น จึงควรทราบโดยนัยในลำดับถัดมานั้นแล.

บทว่า นานาภาโว วินาภาโว ความว่า ความเป็นต่างๆ เพราะเกิดมา ความพลัดพราก เพราะมรณะ. ด้วยว่า บรรพชิตพิจารณาอยู่อย่างนี้ ชื่อว่าไม่มีอาการคือประมาทในทวารทั้ง ๓. มรณัสสติ ความระลึกถึงความตาย ก็เป็นอันตั้งลงด้วยดี.

ในบทว่า กมฺมสฺสโกมฺหิ เป็นต้น พึงทราบวินิจฉัย ดังนี้. กรรมเป็นของเรา คือเป็นสมบัติของตน เหตุนั้น เราจึงเป็นผู้มีกรรมเป็นของของเรา. ผลที่กรรมพึงให้ ชื่อว่าผลทายะ ผลแห่งกรรม ชื่อว่ากรรมทายะ ผลแห่งกรรม เราย่อมรับผลแห่งกรรมนั้น เหตุนั้น เราจึงเป็นผู้รับผลแห่งกรรม. กรรมเป็นกำเนิด คือเหตุของเรา เหตุนั้น เราจึงเป็นผู้มีกรรมเป็นกำเนิด. กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เป็นญาติของเรา เหตุนั้น เราจึงเป็นผู้มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์. กรรมเป็นที่พึ่งอาศัยของเรา เหตุนั้น เราจึงเป็นผู้มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย. บทว่า ตสฺส ทายาโท ภวิสฺสามิ ได้แก่ เราจักเป็นทายาท คือเป็นผู้รับผลที่กรรมนั้นให้แล้ว. ด้วยว่า บรรพชิตพิจารณาถึงความที่เรามีกรรมเป็นของของตนอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่ชื่อว่ากระทำบาป.

บทว่า กถมฺภูตสฺส เม รตฺตินฺทิวา วีติปตนฺติ ความว่า คืนวันล่วงไป เปลี่ยนแปลงไป เราเป็นอย่างไร คือเรากำลังทำวัตรปฏิบัติอยู่หรือๆ ว่าไม่ทำ ท่องบ่นพระพุทธวจนะอยู่หรือๆ ว่าไม่ท่องบ่น กำลัง

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 161

ทำกิจกรรมในโยนิโสมนสิการอยู่หรือๆ ว่าไม่ทำ. ด้วยว่า บรรพชิตพิจารณาอยู่อย่างนี้ ความไม่ประมาท ย่อมบริบูรณ์.

บทว่า สุญฺาคาเร อภิรมานิ ความว่า เราแต่ผู้เดียวอยู่ในทุกอิริยาบถ ในโอกาสอันสงัด ยังยินดียิ่งอยู่หรือหนอ. ด้วยว่า บรรพชิตพิจารณาอยู่อย่างนี้ กายวิเวก ย่อมบริบูรณ์.

บทว่า อุตฺตริมนุสฺสธมฺมา ความว่า ธรรมทั้งหลายมีฌานเป็นต้นของท่านผู้ได้ฌาน และพระอริยะผู้เป็นมนุษย์ที่ยิ่ง เป็นมนุษย์ชั้นอุกฤษฏ์ หรือธรรมทั้งหลายที่ยิ่งยวด ที่ประเสริฐกว่ามนุษยธรรม กล่าวคือกุศลกรรมบถ ๑๐ มีอยู่ คือเป็นอยู่ในสันดานของเราหรือ. บทว่า อลมริยาณทสฺสนวิเสโส ความว่า ชื่อว่า ญาณ เพราะอรรถว่าให้เกิดมหัคตปัญญาและโลกุตรปัญญา ชื่อว่า ทัสสนะ เพราะอรรถว่าเห็นธรรมโดยทำให้ประจักษ์เหมือนดังเห็นด้วยจักษุ เหตุนั้น จึงชื่อว่า ญาณทัสสนะ. ญาณทัสสนะอันเป็นอริยะ คือบริสุทธิ์สูงสุด เหตุนั้น จึงชื่อว่า อริยญาณทัสสนะ. อริยญาณทัสสนะอันอาจ คือเป็นอริยสามารถกำจัดกิเลสมีอยู่ในธรรมนั้นหรือแก่ธรรมนั้น เหตุนั้น ธรรมนั้นจึงชื่อว่า อลมริยญาณทัสสนะ ได้แก่ ธรรมของมนุษย์ผู้ยิ่ง ต่างโดยฌานเป็นต้น. อลมริยญาณทัสสนะนั้นด้วย วิเศษด้วย เหตุนั้น จึงชื่อว่า อลมริยญาณทัสสนวิเสส. อีกนัยหนึ่ง คุณวิเศษ คือญาณทัสสนะอันบริสุทธิ์ สามารถกำจัดกิเลสได้นั้นนั่นเอง เหตุนั้น จึงชื่อว่า อลมริยญาณทัสสนวิเสส ก็ได้. บทว่า อธิคโต ได้แก่ ความวิเศษที่เราได้ไว้แล้ว มีอยู่หรือหนอ. บทว่า โสหํ ได้แก่ เรานั้นมีคุณวิเศษอันได้ไว้แล้ว. บทว่า ปจฺฉิเม กาเล ได้แก่ ใน เวลานอนบนเตียงสำหรับตาย. บทว่า ปุฏฺโ ได้แก่ ถูกเพื่อนสพรหมจารี

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้า 162

ถามถึงคุณวิเศษที่บรรลุ. บทว่า น มงฺกุ ภวิสฺสามิ ได้แก่ เราจักไม่เป็นผู้คอตก หมดอำนาจ. ด้วยว่า บรรพชิตพิจารณาอย่างนี้ ย่อมไม่ชื่อว่า ตายเปล่า.

จบอรรถกถาอภิณหปัจจเวกขณธรรมสูตรที่ ๘