คำกล่าวทักทายของพระภิกษุที่เหมาะสม
ตามพระวินัยบัญญัติของพระภิกษุสงฆ์ เมื่อคฤหัสถ์กราบไหว้พระภิกษุไม่จำเป็นต้องรับไหว้ คือ เพียงแสดงอาการนิ่งก็พอ แต่เท่าที่เคยพบเห็นพระภิกษุบางท่านกล่าวว่า เจริญพร หรือเจริญสุข ดูแล้วไม่น่าเกลียดอะไร แต่บางท่านเมื่อคฤหัถ์ไหว้ก็ยิ้มแล้วกล่าวว่า "สวัสดีโยม" อย่างนี้ไม่เหมาะแก่สมณะสารูป พระภิกษุควรสำรวมกายวาจา จะกล่าวทักทายเหมือนคฤหัสถ์ทักทายกัน ไม่สมควร
ข้าพเจ้าเคยเจอพระภิกษุมาทักทายว่า " เป็นยังไง สบายดีหรือ" อกุศลจิตเกิดทันทีแต่ไม่ได้แสดงออก แต่ก็ตอบว่าสบายดี ในใจอยากถามว่าธุระอะไรของท่าน (ขณะนั้นข้าพเจ้ากำลังอยู่ในที่สาธารณะและไม่ได้ป่วย) ควรพิจารณาอย่างไร และปฎิบัติตัวอย่างไรจึงจะถูกต้อง
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท
เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ 229
๑. เรื่องภิกษุหนุ่ม [๑๓๗]
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุหนุ่มรูปใดรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " หีน ธมฺม " เป็นต้น.
ภิกษุทะเลาะกับหลานสาวนางวิสาขา
ได้ยินว่า พระเถระรูปใดรูปหนึ่งพร้อมทั้งภิกษุหนุ่ม ได้ไปสู่เรือนของนางวิสาขาแต่เช้าตรู่ ข้าวต้มประจำย่อมเป็นของอันเขาตกแต่งไว้เป็นนิตย์ เพื่อภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป ในเรือนของนางวิสาขา. พระเถระฉันข้าวต้มแล้ว ให้ภิกษุหนุ่มนั่งอยู่บนเรือนของนางวิสาขานั้น ส่วนตนได้ไปเรือนหลังอื่น. ก็โดยสมัยนั้น ธิดาของบุตรของนางวิสาขาตั้งอยู่ในฐานะของย่า ๑ ทำการขวนขวายแก่ภิกษุทั้งหลาย.
นางกรองน้ำเพื่อภิกษุหนุ่มนั้น เห็นเงาหน้าของตนในตุ่ม จึงหัวเราะ. แม้ภิกษุหนุ่มมองดูนางก็หัวเราะ. นางเห็นภิกษุหนุ่มนั้นหัวเราะอยู่ จึงกล่าวว่า "คนหัวขาดย่อมหัวเราะ" ลำดับนั้นภิกษุหนุ่มด่านางว่า " เธอก็หัวขาด. ถึงมารดาบิดาของเธอก็หัวขาด." นางร้องไห้ไปสู่สำนักของย่าในโรงครัวใหญ่. เมื่อนางวิสาขากล่าวว่า "นี้อะไร? แม่ " จึงบอกเนื้อความนั้น.
นางวิสาขานั้นมาสู่สำนักของภิกษุหนุ่มแล้ว พูดว่า " ท่านเจ้าข้า อย่าโกรธแล้ว. คำนั้นเป็นคำไม่หนักนักสำหรับพระผู้เป็นเจ้า ผู้มีผมและเล็บอันตัดแล้ว ผู้มีผ้านุ่งผ้าห่มอันตัดแล้ว ผู้ถือกระเบื้องตัด ณ ท่ามกลางเที่ยวไปอยู่เพื่อภิกษา. "
ภิกษุหนุ่มพูดว่า " เออ อุบาสิกา ท่านย่อมทราบความที่อาตมาเป็นผู้มีผมอันตัดแล้วเป็นต้น." การที่หลานของท่านนี้ด่าทำอาตมาว่า ' ผู้มีหัวขาด ' ดังนี้ จักควรหรือ.? " นางวิสาขาไม่ได้อาจ เพื่อให้ภิกษุหนุ่มยินยอมเลย (ทั้ง) ไม่ได้อาจเพื่อให้นางทาริกายินยอม.
ขณะนั้น พระเถระมาแล้ว ถามว่า " นี้ อะไรกัน? อุบาสิกา "ฟังความนั้นแล้ว เมื่อจะกล่าวสอนภิกษุหนุ่ม จึงพูดว่า " ผู้มีอายุ เธอจงหลีกไป, หญิงนี้ไม่ได้ด่าต่อเธอผู้มีผมเล็บและผ้าอันตัดแล้ว ผู้ถือกระเบื้องตัดในท่ามกลางเที่ยวไปอยู่เพื่อภิกษา, เธอจงเป็นผู้นิ่งเสีย. "
ภิกษุหนุ่ม. อย่างนั้นขอรับ ท่านไม่คุกคามอุปัฏฐายิกาของตน จักคุกคามกระผมทำไม? การที่นางด่ากระผมว่า ' ผู้มีหัวขาด ' จักควรหรือ?
ขณะนั้น พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า " นี้อะไรกัน? " นางวิสาขากราบทูลประพฤติเหตุนั้นตั้งแต่ต้น.
พระศาสดาประทานโอวาทแก่ภิกษุหนุ่ม
พระศาสดา ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติผลของภิกษุหนุ่มนั้นแล้ว จึงทรงดำริว่า " เราคล้อยตามภิกษุหนุ่มนี้จะควร " ดังนี้แล้ว จึงตรัสกะนางวิสาขาว่า " วิสาขา ก็ทาริกาของท่านด่าทำสาวกทั้งหลายของเราให้เป็นผู้มีศีรษะขาด ด้วยเหตุสักว่ามีผมอันตัดแล้วเป็นต้นนั้นแล ควรหรือ? "
ภิกษุหนุ่ม ลุกขึ้นประคองอัญชลีในทันใดนั่นแล กราบทูลว่า " พระเจ้าข้า พระองค์ย่อมทรงทราบปัญหานั่นด้วยดี. อุปัชฌาย์ของข้าพระองค์และมหาอุบาสิกา ย่อมไม่ทราบด้วยดี. "
พระศาสดา ทรงทราบความที่พระองค์เป็นผู้อนุกูลแก่ภิกษุหนุ่มแล้ว ตรัสว่า " ชื่อว่าความเป็นคือ การหัวเราะปรารภกามคุณเป็นธรรมอันเลว. อนึ่งการเสพธรรมที่ชื่อว่าเลว และการอยู่ร่วมกับความประมาทย่อมไม่ควร " จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
" บุคคลไม่พึงเสพธรรมอันเลว, ไม่พึงอยู่ร่วมด้วยความประมาท, ไม่พึงเสพความเห็นผิด ไม่พึงเป็นคนรกโลก. "
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
อ่านแล้วไม่เข้าใจ พระพุทธเจ้าทรงทราบว่าใครเป็นพระโสดาบัน แต่ข้าพเจ้าไม่ทราบ ทุกวันนี้ พบเห็นภิกษุทุศีลมาก แม้ในการสังฆทานหรือร่วมพิธีกรรมทางศาสนาก็พยายามระลึกถึงสงฆ์ (ไม่ใช่ภิกษุบุคคล) เพื่อไม่ให้เสื่อมศรัทธาต่อรัตนตรัยที่ ๓ ไปมากกว่านี้ ผิดถูกประการใด สหายธรรมท่านอื่นกรุณาชี้แจง
จักขอบพระคุณอย่างสูง
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
พระพุทธเจ้าทรงทราบว่า ใครมีอุปนิสัยที่จะได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน จึงทรงแสดงเทศนาโดยนัยต่างๆ ให้เหมาะกับบุคคลนั้นครับ อย่างที่คุณนึกถึงสงฆ์ ถูกต้องแล้วครับไม่ว่าจะเป็นภิกษุ ทุศีล แต่เมื่อเป็นตัวแทนของสงฆ์ เราก็สามารถน้อมระลึกด้วยความเป็นสังฆรัตนะได้ แต่ต้องมีปัญญาและการน้อมนึกถึงสังฆรัตนะก็เป็นสิ่งที่ยากครับ
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
พระพุทธเจ้าทรงรู้ทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่พระองค์ไม่รู้ เป็นสัพพัญญู ทรงรู้อัธยาศัยของสัตว์โลกที่มีอินทรีย์อ่อน เลว ประณีต ต่างกันค่ะ ในอดีตชาติพระพุทธเจ้าเราเคยเกิดเป็นพญาช้าง จะฆ่านายพราน เห็นผ้ากาสาวะที่นายพรานห่มคิดถึงสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า ฯลฯ ก็เลยไม่ฆ่าค่ะ