กรรมนิมิตกับปัญจทวารวืถีตอนใกล้ตาย
กรรมนิมิตน่าจะเป็นอดีตอารมณ์ ส่วนปัญจทวารวิถีรู้อารมณ์ปัจจุบันแต่ตอนใกล้ตายกลับรู้กรรมนิมิตอารมณ์ซึ่งอาจเป็นรูปารมณ์หรือเสียงเป็นต้นที่เกี่ยวข้องกับกรรมในอดีต
ขอท่านอาจารย์โปรดให้ความกระจ่างครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เนื่องจากเป็นเรื่องที่ละเอียดอย่างยิ่ง ขอเชิญอ่านคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ดังนี้
สุ. มรณาสันนวิถี เป็นคำใหม่สำหรับบางท่าน แต่อาจจะชินหูสำหรับท่านที่ได้ศึกษาพระอภิธรรมแล้ว
ถ้าแบ่งจิตออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ ได้แก่ วิถีมุตตจิต คือ จิตที่ไม่ใช่วิถี ไม่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ประเภทหนึ่ง และวิถีจิต คือ จิตที่รู้อารมณ์ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นวิถีจิต อีกประเภทหนึ่ง
วิถีมุตตจิต คือ ขณะที่เป็นปฏิสนธิจิต ๑ ขณะ เป็นภวังคจิต ๑ ขณะ เป็น จุติจิต ๑ ขณะ เท่านั้น นอกจากนี้แล้ว ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย คิดนึก ทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทวาร เป็นวิถีจิตทั้งนั้น
เพราะฉะนั้น มรณาสันนวิถี หมายความถึงวิถีจิตที่รู้อารมณ์ทางหนึ่งทางใด ใน ๖ ทวารก่อนจุติ ชื่อว่ามรณาสันนวิถี เป็นวิถีจิตสุดท้ายก่อนจุติจิตจะเกิด
ขณะที่เห็น ขณะที่ได้ยิน ปกติจะมีชวนวิถีจิตเกิดซ้ำ ๗ ขณะ แล้วแต่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศล แต่ขณะที่กำลังสลบ ชวนวิถีจะเกิดซ้ำกันแค่ ๖ ขณะ เป็นสภาพของจิตที่ไม่ได้ประกอบด้วยสัมปชัญญะอย่างที่ทั่วๆ ไปใช้คำว่า ไม่ใช่ขณะที่สมบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะ และก่อนจุติจริงๆ ชวนวิถีจะเกิดเพียง ๕ ขณะ เพราะมีกำลังอ่อนลง ใกล้ที่จะถึงการดับจากภพนี้ ชาตินี้ ความเป็นบุคคลนี้
เพราะฉะนั้น ก่อนจุติจิตจะเกิด ไม่มีใครสามารถรู้ได้เลยว่าชวนวิถีสุดท้าย จะเป็นกุศลหรือจะเป็นอกุศล จะเป็นการรู้อารมณ์ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ
แม้ในขณะนี้เอง ทางจักขุทวาร วิถีจิตที่เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาดับไปแล้ว มีภวังคจิตเกิดคั่น มโนทวารวิถีจิตเกิดต่อ หรือทางหูที่กำลังได้ยินเสียงในขณะนี้ โสตทวารวิถีจิตเกิดขึ้นได้ยินเสียง ดับไปหมดแล้ว ภวังคจิตเกิดคั่น มโนทวารวิถีจิตเกิดต่อ และจุติจิตจะเกิดหลังการสิ้นสุดวิถีหนึ่งวิถีใดย่อมได้ คือ หลังจักขุทวารวิถีจิตดับไปหมดแล้ว จุติจิตเกิดก็ได้ หรือหลังจากที่จักขุทวารวิถีจิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏดับไปหมดแล้ว ภวังคจิตยังไม่เกิด จุติจิตเกิดก็ได้ หรือจะเป็นในขณะที่กำลังได้ยินเสียงในขณะนี้ โสตทวารวิถีจิตเกิดขึ้นได้ยินเสียงทางโสตทวาร ดับไปหมดแล้ว ภวังคจิตเกิด จุติจิตเกิดก็ได้ หรือเมื่อได้ยินเสียงแล้ว โสตทวารวิถีจิตเกิดดับไปหมดแล้ว ภวังคจิตยังไม่เกิด จุติจิตเกิดก็ได้ หรือบางท่านในขณะนี้กำลังคิดนึก เรื่องหนึ่งเรื่องใด มโนทวารวิถีจิตดับหมดแล้ว จุติจิตเกิดก็ได้
แสดงให้เห็นว่า จุติจิตซึ่งกระทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ จะเกิดในขณะไหนได้ทั้งสิ้น หลังจากวิถีจิตทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจก็ได้ หรือหลังจากภวังคจิตก็ได้
เพราะฉะนั้น ชวนะสุดท้ายก่อนจุติจิตจะเกิด เป็นมรณาสันนวิถี ซึ่งเลือกไม่ได้ เหมือนในขณะนี้เอง ถ้าเป็นทางตาที่เห็น จักขุทวารวิถีดับหมดแล้ว จุติจิตเกิด ขณะนั้นมีกรรมนิมิตอารมณ์ ถ้าขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ และมีท่านผู้หนึ่งจุติจิตเกิดขึ้น ทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ คือ สิ้นชีวิตลง หลังจากที่จักขุทวารวิถีดับไปแล้ว ขณะนั้นมีสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นกรรมนิมิตอารมณ์สำหรับปฏิสนธิจิตในชาติต่อไป ถ้าในขณะที่โสตทวารวิถีจิตเกิดขึ้นได้ยินเสียงดับไปหมดแล้ว ชวนะสุดท้ายที่กำลัง ได้ยินในขณะนี้ จะเป็นกุศลหรืออกุศลก็ตาม ในขณะนั้นมีเสียงเป็นกรรมนิมิตอารมณ์
ถ. ทำไมชื่อว่ากรรมนิมิตอารมณ์
สุ. เพราะเป็นนิมิต เป็นเครื่องหมาย ที่จะให้กรรมนั้นทำให้ปฏิสนธิเกิดขึ้น เพราะจิตทุกดวงต้องมีอารมณ์ โดยเฉพาะปฏิสนธิจิตของชาติต่อไปจะต้องมีอารมณ์เดียวกับชวนะสุดท้ายก่อนจุติจิตของชาตินี้ ซึ่งไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ว่า จุติจิตของใครจะเกิดขึ้นในขณะไหน หลังเห็น หลังได้ยิน หรือหลังคิดนึกเรื่องราวต่างๆ
ถ้าขณะนี้ท่านผู้ใดกำลังคิดนึกเรื่องหนึ่งเรื่องใดทางมโนทวารวิถี และจุติจิตเกิดต่อทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ สิ้นชีวิตลง บุคคลนั้นมีกรรมเป็นอารมณ์ เพราะคิดถึงระลึกถึงกรรมหนึ่งกรรมใด
เพราะฉะนั้น จะใช้คำว่า กรรมอารมณ์ หรือกรรมนิมิตอารมณ์ หรือ คตินิมิตอารมณ์ ก็เป็นเครื่องหมายให้รู้ว่า เป็นอารมณ์ของจิตใกล้จะจุติ ซึ่งจะเป็นอารมณ์ของปฏิสนธิจิตในชาติต่อไป และก็เหมือนเดี๋ยวนี้ ไม่ต่างกันเลย
กรรมนิมิต คือ ในขณะที่เห็น ได้ยินในขณะนี้เอง และจุติจิตเกิด เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ก็เป็นกรรมนิมิตของปฏิสนธิจิตในชาติหน้า
ถ. ถ้าคิดถึงกรรมที่ทำมาแล้ว เป็นกรรมอารมณ์ ใช่ไหม
สุ. ถ้าคิดถึงกรรมที่ได้กระทำแล้ว ก็เป็นกรรมอารมณ์ ถ้าเห็นสถานที่ ที่จะเกิด ขณะนั้นก็เป็นคตินิมิตอารมณ์ บางคนอาจจะเห็นเป็นไฟนรก บางคนอาจจะเห็นเป็นสวนนันทวันที่รื่นรมย์ แล้วแต่ว่าจะปฏิสนธิในภพใดภูมิใด อุปมาเหมือนกับเห็นในฝัน ซึ่งดูเหมือนจริง เพราะฉะนั้น ก็เป็นคตินิมิตสำหรับผู้ที่จะปฏิสนธิหลังจากที่จุติจิตของบุคคลนั้นดับลง แต่ให้ทราบว่า ก็คืออารมณ์ตามปกติธรรมดาอย่างนี้เอง
ที่ใช้คำว่า คตินิมิตบ้าง กรรมนิมิตบ้าง หรือกรรมอารมณ์บ้าง เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นอารมณ์ของปฏิสนธิจิตในชาติหน้า เพราะว่าเป็นอารมณ์ของชวนะสุดท้ายก่อนจุติจิตของชาตินี้
ขณะนี้เห็น จุติจิตยังไม่เกิด ก็เป็นรูปารมณ์ แต่ถ้าเห็นแล้วจุติจิตเกิด ก็เป็นกรรมนิมิตอารมณ์ของปฏิสนธิจิตในชาติต่อไป
ถ. คตินิมิตทางทวารทั้ง ๖ ใช่ไหม ไม่จำเป็นต้องเป็น …
สุ. ทางมโนทวารอย่างเดียว จึงกล่าวว่า เหมือนเห็นในความฝัน
ถ. ๓ คำนี้ คือ กรรม กรรมนิมิต คตินิมิต ผมยังสับสนอยู่ กรรมหมายความว่า เวลาจะจุติ นึกถึงการกระทำที่ได้เคยกระทำมาแล้ว ส่วนกรรมนิมิต นึกถึงเรื่องราวที่กระทำอย่างนั้นหรือครับ
สุ. กรรมนิมิตเกิดได้ทั้ง ๖ ทวาร ถ้าเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ในขณะนี้ เสียงเป็นกรรมนิมิตได้ กลิ่นเป็นกรรมนิมิตได้ ถ้าในขณะที่ได้กลิ่นและจุติจิตเกิด ปฏิสนธิจิตเกิดต่อ เพราะฉะนั้น กลิ่นนั้นก็เป็นกรรมนิมิตได้ หรือจะเป็นการนึกถึงเครื่องหมาย สิ่งที่เตือนให้ระลึกถึงกรรมก็ได้ เป็นนิมิตของกรรมได้ ทางมโนทวาร เช่น นึกถึงปืน ถ้าเคยเป็นฆาตกร หรืออาวุธต่างๆ ที่ใช้ อาจจะคิดถึงเหตุการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ ไม่ได้คิดถึงเป็นเรื่อง แต่เห็นสิ่งที่ปรากฏที่เป็นการกระทำ หรืออาจจะนึกถึงสบงจีวรที่เคยทอดกฐิน อย่างนั้นก็เป็นกรรมนิมิตได้ เพราะฉะนั้น กรรมนิมิตเป็นได้ทั้ง ๖ ทวาร
ส่วนคตินิมิตเป็นได้เฉพาะทางมโนทวารทวารเดียว คตินิมิตไม่ใช่การนึก แต่เป็นการเห็นทางมโนทวารเหมือนฝันเห็น เหมือนเห็นในความฝัน
ถ. เช่น เห็นปราสาทราชวัง หรือเห็นเปลวไฟอะไรอย่างนั้น แต่คล้ายๆ เห็นในฝัน อย่างนั้นใช่ไหม
สุ. เหมือนฝันเห็น เหมือนเห็นในฝัน เพราะเป็นทางมโนทวาร
ถ. กรรมกับกรรมนิมิตเกิดได้ทั้ง ๖ ทวาร ใช่ไหม
สุ. ถ้าเป็นกรรมอารมณ์ ระลึกถึงกรรม ต้องเฉพาะมโนทวาร แต่ที่ใช้คำว่ากรรมนิมิต ต้องทั้ง ๖ ทวาร
ถ. แต่คตินิมิตเกิดได้ทาง ...
สุ. มโนทวารทวารเดียว
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
จากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ไม่พบคำตอบ แต่เกิดความเข้าใจใหม่ดังนี้
กรรมนิมิตที่มาปรากฏแก่ผู้ใกล้ตายทางปัญจทวารวิถีซึ่งรู้อารมณ์ที่เป็นปัจจุบันเท่านั้น ฉะนั้นกรรมนิมิตอารมณ์แม้จะเกี่ยวข้องกับกรรมในอดีต ก็ต้องเป็นปัจจุบันอารมณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ ในขณะนั้นเพียงแต่จะปรากฏให้รู้ได้เฉพาะผู้ใกล้ตายเท่านั้น ทั้งนี้เป็นไปตามอำนาจของกรรมที่ให้ผล
ท่านอาจารย์ช่วยพิจารณ์ด้วยครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
เรียน ความคิดเห็นที่ ๓ ครับ
จากความคิดเห็นที่ ๓ เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องแล้ว ครับ
กรรมนิมิตอารมณ์ ทางปัญจทวาร ก็ต้องเป็นอารมณ์ปัจจุบันอย่างแน่นอน ส่วนถ้าเป็นความคิดนึกทางใจ ก็มีบัญญัติเรื่องราวเป็นอารมณ์ ซึ่งทั้งหมดก็ต้องเกี่ยวเนื่องกับกรรมที่จะให้ผลนำเกิด ครับ
สำหรับคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ก็สามารถอ่านทบทวนได้ ครับ เพราะถ้าอ่านดีๆ ไตร่ตรองดีๆ ก็จะค่อยๆ เข้าใจได้ ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ....
จากหนังสือแนวทางเจริญวิปัสสนา เล่มที่128 หน้า49 มีคำบรรยายของท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์เกี่ยวกับ กรรมนิมิต ซึ่งตรงกับที่อาจารย์คำปั่น นำมาแสดงแล้วใน คห.ที่1 เมื่ออ่านซ้ำแล้ว ทำให้เข้าใจว่า
กรรมนิมิตเป็นปัจจุบันอารมณ์คือขณะนี้เองที่รู้ทางปัญจทวารวิถีและเป็นอดีตอารมณ์คือเป็นเครื่องหมายของอดีตกรรมก็ได้ แต่เดิมเคยเข้าใจว่าต้องเป็นอดีตอารมณ์เท่านั้นเลยสงสัยว่าจะรู้ทางปัญจทวารได้อย่างไร ทำให้คิดไปว่ากรรมนิมิตอดีตอารมณ์มาปรากฏให้ปัญจทวารรู้ได้เป็นพิเศษเป็นปัจจุบัน ซึ่งไม่ใช่เพราะต้องรู้ทางมโนทวารเท่านั้น
ดังนั้นที่ผมบอกไว้ใน คห.ที่3 ว่า จากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ไม่พบคำตอบ นั้นจึงไม่ถูกต้องครับคือถ้าไม่ติดในความเข้าใจเดิมแล้วไตร่ตรองก็สามารถเข้าใจได้จริงตามที่อาจารย์คำปั่นกล่าวไว้ใน คห.ที่4