ขอบคุณมูลนิธิเป็นอย่างสูง

ผมขอขอบคุณมูลนิธิและบุคคลากรทุกท่าน ที่ได้ทุ่มเท เผยแผ่คำสอนของพระพุทธเจ้าให้กับประชาชนทั้งหลาย ให้เข้าใจความจริงของธรรมะ แม้จะต้องเผชิญกับการถูกด่าถูกว่า ถูกอาฆาตมาดร้ายจากคนผู้มีทิฏฐิและมานะมาก ซึ่งผมเห็นตาม comment หรือหลายๆ คลิป ใน youtube ที่โจมตีและด่าทอโดยเฉพาะท่านอาจารย์สุจินต์ แต่มูลนิธิก็ยังคงมุ่งมั่นในแนวทางโดยไม่หวั่นไหว

ที่นี่เปลี่ยนผมจากที่เคยเข้าใจคำสอนและการปฏิบัติผิดๆ ให้เข้าใจคำสอนและคำว่าปฏิบัติที่ถูกต้องจริงๆ โดยเฉพาะกระทู้ก่อนหน้าของผม ตั้งขึ้นมาเพราะผมหาทางออกเพราะเข้าใจผิดมาตลอดคือ รู้ปริยัติ ไตร่ตรองปริยัติ แล้วเอาปริยัติไปหากับของจริง แน่นอนว่าเราก็พบเจอบางอย่างตามสิ่งที่เรียนมา แต่กลับไม่เห็นตัวทิฏฐิ จนกระทั่งประจักษ์ทิฏฐิแล้ว จึงเกิดความทุกข์ขึ้นมาว่า "ธัมมะเกิดตามเหตุตามปัจจัย สติเกิดไม่ทันทิฏฐิอย่างนี้ แล้วจะละมันได้ยังไง"

จนอาจารย์คำปั่นมาตอบด้วยคำที่ผมลืมไปแล้วคือ "ฟังธรรมะให้บ่อย จนกว่าจะมีความเข้าใจที่มั่นคง"

และพอดีว่าคนรู้จักก็ส่งคลิปอาจารย์สุจินต์มาให้ฟัง "สะสมอุปนิสัยในการฟังพระธรรม" ฟังจบแล้ว ทำให้ผมคลายความทุกข์ทั้งหมดและ

ทำให้เข้าใจหมดว่าธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เพราะเกิดตามเหตุตามปัจจัยอย่างไรในขั้นปริยัติ

ปริยัติเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดปฏิบัติอย่างไร

ปฏิบัติเป็นปัจจัยให้เกิดปฏิเวธอย่างไร

ที่อาจารย์บอกว่า "ทำไม่ได้เพราะไม่มีเรา หนทางคือฟังให้เข้าใจเท่านั้น" เป็นอย่างนั้นจริงๆ

ธรรมเกิดตามเหตุตามปัจจัย ถ้าเหตุคือปัญญาในเรื่องนั้นยังไม่พอ ย่อมเป็นปัจจัยให้กิเลสในเรื่องนั้นยังเกิดต่อ ต่อเมื่อปัญญาถึงพร้อมในเรื่องนั้น ย่อมเป็นปัจจัยให้กิเลสในเรื่องนั้นไม่เกิดเอง นี่คือความเป็นอนัตตา

หลายๆ คนอาจจะมีคำถามว่า "อาจารย์สอนให้ไม่ต้องปฏิบัติ สอนผิดหรือเปล่า" ขอตอบว่าสอนถูกแล้ว เพราะเมื่อประกอบเหตุที่ถูกต้องและถึงพร้อมแห่งความสมบูรณ์แล้ว ผลย่อมเกิดตามเหตุแน่นอน

ไม่มีทางจะไปทำอะไรเพื่อให้เกิดผลที่ต้องการได้เลย ถ้าทำอย่างนั้นก็ทำด้วยความเป็นเรา ก็เกิดความหวังคือโลภะ ไม่ได้ดังหวังก็เกิดโทสะ วนเวียนไปมาแบบนี้ ไม่มีทางหาทางออกเจอเลย

ขอบคุณอาจารย์คำปั่น ที่ช่วยเตือนสติผม ทำให้ผมได้มีความมั่นคงในความเป็นอนัตตาในข้้นปริยัติ

และขอขอบพระคุณมูลนิธิที่ให้ความรู้ที่ถูกต้องเป็นอย่างยิ่งครับ