พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๗. สัพพสูตร ว่าด้วยละสรรพธรรมทั้งปวงล่วงทุกข์ได้

 
บ้านธัมมะ
วันที่  9 พ.ย. 2564
หมายเลข  40028
อ่าน  325

[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 92

เอกนิบาต

ปาฏิโภควรรคที่ ๑

๗. สัพพสูตร

ว่าด้วยละสรรพธรรมทั้งปวงล่วงทุกข์ได้


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 45]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 92

๗. สัพพสูตร

ว่าด้วยละสรรพธรรมทั้งปวงล่วงทุกข์ได้

[๑๘๕] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้นข้าพเจ้าได้สดับมา แล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่รู้ยิ่งซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่งทั้งปวง ไม่กำหนด รู้ธรรมที่ควรกำหนดนั้น ยังละกิแลสวัฏไม่ได้ เป็นผู้ไม่ควรเพื่อความสิ้นทุกข์

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 93

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนภิกษุรู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่งทั้งปวง กำหนดรู้ธรรมที่ควร กำหนดรู้ทั้งปวง ยังจิตให้คลายกำหนัด ในธรรมที่ควรรู้ยิ่งและธรรมที่ควร กำหนดรู้นั้น ละกิเลสวัฏฏ์ได้ เป็นผู้ควรเพื่อความสิ้นทุกข์.

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า

ผู้ใดรู้ธรรมเป็นรูปในภูมิ ๓ ทั้งปวง โดยส่วนทั้งปวง ย่อมไม่กำหนัดในสักกายธรรมทั้งปวง ผู้นั้นกำหนัดรู้ธรรมเป็นไป ในภูมิ ๓ ทั้งปวงแล้ว ล่วงทุกข์ทั้งปวงได้ โดยแท้.

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า ได้สดับมาแล้ว ฉะนั้นแล.

จบสัพพสูตรที่ ๗

อรรถกถาสัพพสูตร

ในสัพพสูตรที่ ๗ พึงทราบวินิจฉัย ดังต่อไปนี้ :-

บทว่า สพฺพํ คือไม่มีเหลือ. สัพพศัพท์นี้บอกถึงสิ่งที่ไม่เหลือ. สัพพศัพท์นั้นแสดงถึงความไม่มีเหลือของความทั้งหมด เช่นรูปทั้งหมด เวทนา ทั้งหมดในธรรมอันเนื่องด้วยสักกายะทั้งหมด. อนึ่ง สัพพศัพท์นี้มี ๒ อย่าง คือสัปปเทสวิสัย (มีบางส่วน) นิปปเทสวิสัย (สิ้นเชิง). จริงดังนั้น สัพพศัพท์นี้มีข้อที่เห็นได้ในวิสัย ๔ คือ สัพพสัพพวิสัย (ทั้งหมดสิ้นเชิง) ปเทส-

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 94

สัพพวิสัย (ทั้งหมดเป็นบางส่วน) อายตนสัพพวิสัย (ทั้งหมดเฉพาะอายตนะ) สักกายสัพพวิสัย (ทั้งหมดเฉพาะสักกายะ). ในวิสัยเหล่านั้น วิสัยอันมาแล้วใน สัพพสัพพวิสัย ดังในบทมีอาทิว่า ธรรมทั้งปวงมาสู่พระญาณของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพุทธะโดยสิ้นเชิง. มาในสัพพปเทสวิสัย ดังในพุทธพจน์ มีอาทิวา ดูก่อนสารีบุตร เราได้กล่าวแล้วเป็นบางส่วนแก่พวกเธอ มาในอายตนสัพพวิสัย ดังในพุทธพจน์มีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงจักษุ รูป ฯลฯ ใจและธรรมทั้งหมดแก่พวกเธอ. มาในสักกายสัพพวิสัยดังในพุทธพจน์ มีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมบางส่วนอันเป็นมูลแห่งธรรม ทั้งปวง. สัพพศัพท์อันมาในสัพพสัพพวิสัยนั้นชื่อนิปปเทสวิสัย. มาใน ๓ วิสัย นอกนั้น ชื่อสัปปเทสวิสัย. แต่ในที่นี้พึงทราบว่า มาในสักกายสัพพวิสัย. ก็ บทว่า สพฺพํ ในที่นี้ท่านถือเอาธรรมเป็นไปในภูมิ ๓ อันเป็นอารมณ์แห่ง วิปัสสนาโดยไม่มีส่วนเหลือ.

บทว่า อนภิชานํ ความว่า ภิกษุไม่รู้ยิ่งธรรมที่ควรรู้ทั้งปวง โดย ความเป็นจริงไม่วิปริต คือไม่รู้ด้วยญาณอันวิเศษยิ่งมีอาทิว่าธรรมเหล่านี้เป็น กุศล เหล่านี้เป็นอกุศล เหล่านี้มีโทษ เหล่านี้ไม่มีโทษ และมีอาทิว่า เหล่า นี้เป็นธาตุ ๑๘ นี้เป็นทุกขอริยสัจ นี้เป็นทุกขสมุทยอริยสัจ.

บทว่า อปริชานํ ได้แก่ไม่กำหนดรู้. จริงอยู่ ผู้ใดกำหนดรู้ธรรม เป็นไปในภูมิ ๓ ทั้งหมด ผู้นั้นย่อมรู้ด้วยปริญญา ๓ คือด้วยญาตปริญญา (กำหนดรู้ด้วยการรู้) ๑ ด้วยตีรณปริญญา (กำหนดรู้ด้วยการพิจารณา) ๑ ด้วยปหานปริญญา (กำหนดรู้ด้วยการละเสีย) ๑.

ในปริญญา ๓ นั้น ญาตปริญญาเป็นไฉน. ภิกษุกำหนดรู้นามรูปเป็น ไปในภูมิ ๓ ทั้งหมด คือรูปมีประเภทเป็นต้นว่า ภูตรูปและปสาทรูปและนาม มีประเภทเป็นต้นว่า ผัสสะ ว่านี้ รูป รูปมีเท่านี้ ยิ่งไปจากนี้ไม่มี นี้นาม นามมี

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 95

เท่านี้ ยิ่งไปจากนี้ไม่มี. โดยความเป็นลักษณะ รส ปัจจุปัฏฐาน ปทัฏฐาน และ กำหนดปัจจัยของนามรูปนั้นมีกรรมและอวิชชาเป็นต้น นี้ชื่อว่าญาตปริญญา. ตีรณปริญญาเป็นไฉน ภิกษุพิจารณาปัจจัยทั้งหมดนั้นทำให้รู้โดยอาการ ๔๒ คือ โดยความไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นโรคเป็นต้น นี้ชื่อว่า ตีรณปริญญา. ปหานปริญญาเป็นไฉน ภิกษุครั้น พิจารณาอย่างนี้แล้วละ ฉันทราคะในอาการทั้งหมดด้วยมรรคอันเลิศ นี้ชื่อว่าปหานปริญญา. แม้ทิฏฐิ- วิสุทธิ (ความหมดจดแห่งทิฏฐิ) กังขาวิตรณวิสุทธิ (ความหมดจดแห่งญาณ เป็นเครื่องข้ามพ้นความสงสัย) ก็ชื่อว่าญาตปริญญา. มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ (ความหมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องเห็นว่าทางหรือมิใช่ทาง) ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ (ความหมดจดแห่งญาณเครื่องรู้ทางปฏิบัติ) หรือปัญญามี การพิจารณาธรรมเป็นหมวดเป็นกอง (กลาป) เป็นเบื้องต้นมีอนุโลมเป็นที่สุด ชื่อว่าตีรณปริญญา การละด้วยอริยมรรค ชื่อว่า ปหานปริญญา. ภิกษุใดกำหนด รู้ธรรมทั้งหมด ภิกษุนั้น ชื่อว่ากำหนดรู้ด้วยปริญญา ๓ เหล่านี้. แต่ในที่นี้พึง ทราบว่า กำหนดรู้ด้วยอำนาจแห่งญาตปริญญาและตีรณปริญญา เพราะการละ วิราคะท่านถือเอาต่างกันด้วยการปฏิเสธ. ความไม่กำหนดรู้ท่านกล่าวหมายถึงผู้ที่ ไม่รู้อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า จิตฺตํ อวิราชยํ ความว่า ภิกษุไม่ยังจิตสันดานของตนให้คลายกำหนัด คือไม่คลายกำหนดในธรรมที่ควรรู้ยิ่งนั้น คือ ในธรรมที่ควรกำหนดรู้อย่างวิเศษ อธิบายว่า ไม่ยังวิราคานุปัสสนา (การ เห็นเนืองๆ ในวิราคะ) ให้เกิดขึ้น โดยที่ไม่มีราคะในธรรมที่ควรรู้ยิ่งนั้น. บทว่า อปฺปชหํ ได้แก่ไม่ละกิเลสวัฏฏ์ อันควรจะละในธรรมที่ควรรู้ยิ่งนั้น ด้วยมรรคปัญญาอันร่วมกับวิปัสสนาปัญญาโดยไม่มีส่วนเหลือ. พึงทราบแม้ ธรรมที่ควรรู้ยิ่งเป็นต้นด้วยมรรคเจือปนกัน เหมือนข้อนั้น. พึงทราบด้วย

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 96

อำนาจจิตต่างๆ กัน ในส่วนเบื้องต้น. ญาณอันหนึ่งเท่านั้นยังธรรมที่ควรรู้ยิ่ง เป็นต้นให้ถึงโดยลำดับ ด้วยญาตปริญญา ตีรณปริญญาและปหานปริญญาแล้ว ยังธรรมทั้งหมดนั้นให้สำเร็จด้วยมรรคกิจในขณะเดียวกันนั่นเอง เป็นไปด้วย ประการฉะนี้. บทว่า อภพฺโพ ทุกฺขกฺขยาย ความว่าเป็นผู้ไม่ควรคือไม่ สามารถเพื่อความสิ้นทุกข์ในวัฏฏะทั้งสิ้นด้วยการดับกิเลส.

ศัพท์ในบทว่า สพฺพพฺจ โข นี้ เป็นไปในอรรถพยติเรกะ (มีความ แย้งกัน). โข ศัพท์เป็นไปอรรถอวธารณ. ด้วยบททั้งสองนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงถึงเหตุส่วนเดียวแห่งการสิ้นทุกข์อันพิเศษ ที่ควรได้จากการรู้ยิ่ง เป็นต้น.

คำใดที่ควรกล่าวในบทว่า อภิชานนเป็นต้น คำนั้นท่านได้กล่าวไว้ ชัดเจนแล้ว แต่ในบทนั้นท่านกล่าวโดยการทักท้วง ในบทนี้พึงทราบโดยเป็น กฏ. ความต่างกันมีดังนี้.

บทว่า อภิชานํ ความว่า เป็นผู้รู้ยิ่งซึ่งสักกายสัพพะอันได้แก่ อุปาทานขันธ์ ๕ โดยสรุปและโดยปัจจัยด้วยทำญาณไว้เฉพาะหน้า คือ กำหนด รู้สักกายสัพพะนั้น โดยถือเอาอาการที่ไม่มีเป็นต้น ด้วยกำหนดตามลักษณะมี อนิจจลักษะเป็นต้น. บทว่า วิราชยํ ความว่า กระทำจิตของตนให้คลาย กำหนัดด้วยรู้ชัดถึงความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น แห่งสักกายสัพพะนั้นโดยชอบ และก้าวด้วยอานุภาพของญาณมีนิพพิทาญาณ คือ เบื่อหน่ายต่อภัยที่เกิดขึ้น เป็นต้น ไม่ให้ความกำหนัดแม้เพียงเล็กน้อยเกิดขึ้นในจิตนั้น. บทว่า ปชหํ ได้แก่ละ คือ ตัดขาดกิเลสวัฏฏ์อันเป็นฝ่ายของสมุทัยด้วยมรรคปัญญาอันประกอบ กับวุฏฐานคามินีวิปัสสนา.

บทว่า ภพฺโพ ทุกฺขกฺขยาย ได้แก่เป็นผู้ควรเพื่อความสิ้นวิปากวัฏฏ์ ไม่มีส่วนเหลือ หรืออนุปาทิเสสนิพพานธาตุอันเป็นความสิ้นทุกข์ ในสังสารวัฏฏ์

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 97

ทั้งสิ้น เพราะละมลทินคือกิเลสเสียได้ และเพราะสิ้นกรรมวัฏฏ์ทั้งหมด พึงเห็น ความในข้อนี้อย่างนี้ว่า เป็นผู้ควรเพื่อบรรลุธรรมนั้นโดยส่วนเดียว.

บทว่า โย สพฺพํ สพฺพโต ตฺวา ความว่า ผู้ใดคือผู้ประกอบ ความเพียร ผู้เจริญวิปัสสนารู้ธรรมเป็นไปในภูมิ ๓ ทั้งปวงโดยส่วนทั้งปวง คือ โดยจำแนกขันธ์มีกุศลขันธ์เป็นต้น และโดยจำแนกการบีบคั้น มีทุกข์ เป็นต้น. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สพฺพโต ได้แก่ รู้โดยอาการทั้งปวง คือ โดยลักษณะมีหยาบและละเอียดเป็นต้น และโดยลักษณะมีความไม่เที่ยงเป็นต้น ทั้งปวง หรือเพราะเหตุแทงตลอดด้วยมรรคญาณอันเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งวิปัสสนาแล้ว รู้ด้วยวิปัสสนาญาณ.

บทว่า สพฺพตฺเถสุ น รชฺชติ ได้แก่ ย่อมไม่กำหนัดในสักกายธรรมทั้งปวงอันมีประเภทต่างกันไม่น้อยโดยมีในอดีตเป็นต้น คือ ไม่ให้ราคะ เกิดด้วยการบรรลุอริยมรรค.

พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงความไม่มีแห่งการยึดตัณหานั้น ด้วยบทว่า สพฺพตฺเถสุ น รชฺชติ นี้ จึงทรงแสดงถึงความไม่มี แม้การ ยึดผิด ๓ หมวดนี้ คือ นี้ของเรา ๑ นี้เป็นเรา ๑ นี้เป็นอัตตาของเรา ๑ ของผู้ที่ยึดทิฏฐิมานะ เพราะมีสิ่งนั้น เป็นนิมิต. บทว่า ในบทว่า สเว นี้ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า เว เป็นพยัตตะ (ความปรากฏ). หรือเป็นนิบาต ในความนี้ว่า เอกํเสน โดยส่วนเดียว. บทว่า สพฺพํ ปริญฺา ได้แก่ เพราะกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง คือ เพราะกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงตามที่กล่าวแล้ว โดยบรรลุปริญญา. บทว่า โส ได้แก่ พระโยคาจรตามที่กล่าวแล้วหรือ พระอริยะนั่นเอง. บทว่า สพฺพํ ทุกฺขํ อุปจฺจคา ได้แก่ ล่วง คือ ก้าวล่วง คือ พ้นทุกข์ในวัฏฏะได้ทั้งหมด.

จบอรรถกถาสัพพสูตรที่ ๗