พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๗. ธาตุสูตร ว่าด้วยเรื่องนิพพานธาตุ ๒ ประการ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  9 พ.ย. 2564
หมายเลข  40067
อ่าน  399

[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 304

ทุกนิบาต

วรรคที่ ๒

๗. ธาตุสูตร

ว่าด้วยเรื่องนิพพานธาตุ ๒ ประการ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 45]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 304

๗. ธาตุสูตร

ว่าด้วยเรื่องนิพพานธาตุ ๒ ประการ

[๒๒๒] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับ มาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้ ๒ ประการเป็นไฉน คือ สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สอุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ ของตนอันบรรลุแล้ว มีสังโยชน์ในภพนี้สิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้ โดยชอบ ภิกษุนั้น ย่อมเสวยอารมณ์ทั้งที่พึงใจและไม่พึงใจ ยังเสวยสุขและทุกข์ อยู่ เพราะความที่อินทรีย์ ๕ เหล่าใดเป็นธรรมชาติไม่บุบสลาย อินทรีย์ ๕ เหล่านั้นของเธอยังตั้งอยู่นั่นเทียว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้นไปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะ ของภิกษุนั้น นี้เราเรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อนุปาทิเสสนิพพานธาตุเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำกิจที่ ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงได้แล้ว มีประโยชน์ของตนอันบรรลุแล้ว มี สังโยชน์ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ เวทนาทั้งปวงใน อัตภาพนี้แหละของภิกษุนั้น เป็นธรรมชาติอันกิเลสทั้งหลายมีตัณหาเป็นต้นให้ เพลิดเพลินมิได้แล้ว จักเย็น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เราเรียกว่าอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้แล.

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 305

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า นิพพานธาตุ ๒ ประการนี้ พระตถาคต ผู้มีจักษุผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่- อาศัยแล้ว ผู้คงที่ประกาศไว้แล้ว อัน นิพพานธาตุอย่างหนึ่งมีในปัจจุบันนี้ ชื่อว่า สอุปาทิเสสะ เพราะสิ้นตัณหาเครื่องนำไป สู่ภพ ส่วนนิพพานธาตุ (อีกอย่างหนึ่ง) เป็นที่ดับสนิทแห่งภพทั้งทลายโดยประการ ทั้งปวง อันมีในเบื้องหน้า ชื่อว่าอนุปาทิ- เสสะ ชนเหล่าใดรู้บทอันปัจจัยไม่ปรุงแต่ง แล้วนี้ มีจิตหลุดพ้นแล้วเพราะสิ้นตัณหา เครื่องนำไปสู่ภพ ชนเหล่านั้นยินดีแล้วใน นิพพานเป็นที่สิ้นกิเลส เพราะบรรลุธรรม อันเป็นสาระ เป็นผู้คงที่ ละภพได้ทั้งหมด.

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้า ได้สดับมาแล้ว ฉะนั้นแล.

จบธาตุสูตรที่ ๗

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 306

อรรถกถาธาตุสูตร

ในธาตุสูตรที่ ๗ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

บทว่า เทฺวมา ตัดบทเป็น เทฺว อิมา. ตัณหาท่านเรียกว่า วานะ. ชื่อว่า นิพพาน เพราะออกจากตัณหา หรือเป็นที่ไม่มีตัณหา หรือเมื่อ บรรลุนิพพานแล้วตัณหาไม่มี. ชื่อว่า นิพพานธาตุ เพราะนิพพานนั้นชื่อว่า ธาตุ เพราะอรรถว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีชีวะ และเพราะอรรถว่า เป็นสภาพทั่วไป.

แม้ผิว่า นิพพานธาตุนั้นไม่ต่างกันโดยปรมัตถ์ แต่ปรากฏโดยปริยาย เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เทฺวมา ภิกฺขเว นิพฺพานธาตุโย ดังนี้ ทรงหมายถึงความต่างกันโดยปริยายนั้น เพื่อทรงแสดงถึงประเภทตาม พระประสงค์ จึงตรัสคำมีอาทิว่า สอุปาทิเสสา ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น ขันธบัญจกชื่อว่า อุปาทิ เพราะให้เกิดโดยความเป็น ผลจากกิเลสทั้งหลายมีตัณหาเป็นต้น. อุปาทิที่เหลือชื่อว่า อุปาทิเสสะ. ชื่อ ว่า อุปาทิเสสา เพราะพร้อมกับอุปาทิเสสะ. เพราะความไม่มีสอุปาทิเสสะ นั้น จึงชื่อว่า อนุปาทิเสสา

บทว่า อรหํ ได้แก่ ไกลจากกิเลส อธิบายว่า มีกิเลสอยู่ไกล. สมดัง ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า กถญฺจ ภิกฺขเว ภิกฺขุ อรหํ โหติ อารกาสฺส โหนฺติ ปาปกา อกุสลา ธมฺมา สํกิเลสิกา โปโนพฺภวิกา สตรีา ทุกฺขวิปากา อายตึ ชาติชรามรณิยา เอวํ โข ภิกฺขเว อรหํ โหติ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุชื่อว่าเป็นอรหันต์ นั้นอย่างไร ภิกษุนั้นเป็นผู้ไกลจากอกุศลธรรมอันลามก ความเศร้าหมอง การมีภพใหม่ ความกระวนกระวาย วิบากแห่งทุกข์ ชาติชรามรณะ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 307

อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นอรหันต์. บทว่า ขีณาสโว ความว่าชื่อว่า ขีณาสพ เพราะอาสวะ ๔ มีกามาสวะเป็นต้น ของพระอรหันต์สิ้นแล้ว ตัดขาดแล้ว ละได้แล้ว สงบแล้ว ไม่ควรจะเกิด ถูกไฟคือญาณเผาแล้ว. บทว่า วุสิตวา ความว่า ชื่อว่าอยู่จบแล้ว เพราะอยู่แล้ว อยู่อาศัยแล้ว อาศัยแล้ว สะสมจรณะ แล้วในครุสังวาสบ้าง ในอริยมรรคบ้าง ในอริยวาส ๑๐ บ้าง. บทว่า กตกรณีโย ความว่า ชื่อว่าทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว เพราะพระเสกขะ ๗ ตั้งแต่ กัลยาณชนผู้เป็นปุถุชน ชื่อว่า ทำกิจที่ควรทำด้วยมรรค ๔ กิจที่ควรทำทั้งหมด พระขีณาสพทำเสร็จ คือเสร็จสิ้นแล้ว กิจที่ควรทำเพื่อบรรลุความสิ้นทุกข์ยิ่ง กว่านี้ไม่มี. แม้ข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสไว้ว่า

ตสฺส สมฺมา วิมุตฺตสฺส สนฺตจิตฺตสฺส ภิกฺขุโน กตสฺส ปฏิจโย นตฺถิ กรณียํ น วิชฺชติ

ภิกษุผู้มีจิตสงบแล้ว พ้นแล้วโดย ชอบนั้น กระทำเสร็จแล้ว ไม่มีการสะสม กิจที่ควรทำไม่มี ดังนี้.

บทว่า โอหิตภาโร ได้แก่ ภาระ ๓ อย่าง คือ ขันธภาระ ๑ กิเลสภาระ ๑ อภิสังขารภาระ ๑. ภาระแม้ ๓ อย่างนี้เหล่านี้ อันภิกษุนั้น ปลงแล้ว คือยกลงแล้ว วางแล้ว ทำให้ตกไปแล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า โอหิตภาโร (ปลงภาระลงได้แล้ว). บทว่า อนุปฺปตฺตสทตฺโถ ได้แก่ บรรลุประโยชน์ของตนแล้ว. ท่านกล่าวว่า สกตฺถํ (ประโยชน์ของตน) ก็มี. เปลี่ยน เป็น ก. ชื่อว่า อนุปฺปตฺตสทตฺโถ เพราะประโยชน์ของตน อันภิกษุบรรลุแล้ว. พึงทราบ พระอรหัตว่า สทฺตโถ. จริงอยู่ พระอรหัตนั้น ชื่อว่า เป็นประโยชน์ตน เพราะเป็นประโยชน์ตน ด้วยอรรถว่าเนื่องด้วยตน

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 308

ด้วยอรรถว่าไม่ละตน และด้วยเป็นประโยชน์อย่างยิ่งของตน. บทว่า ปริกฺ- ขีณภวสํโยชโน ได้แก่ ชื่อว่า สังโยชน์ในภพ เพราะสังโยชน์เหล่านั้น คือ กามราคสังโยชน์ ปฏิฆสังโยชน์ มานะ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ภวราคะ อิสสา มัจฉริยะ และอวิชชาสังโยชน์ย่อมประกอบ คือ เข้าไปผูก สัตว์ทั้งหลายไว้ในภพ หรือภพด้วยภพ. ชื่อว่ามีสังโยชน์ในภพสิ้นแล้ว เพราะ สังโยชน์เหล่านั้นของพระอรหันต์สิ้นแล้ว คือท่านละได้แล้ว ถูกไฟคือญาณ เผาแล้ว. บทว่า สมฺมทญฺา ในบทว่า สมฺมทญฺา วิมุตฺโต นี้ได้ แก่ เพราะรู้โดยชอบ. ข้อนี้ท่านอธิบายไว้ว่า เพราะรู้ คือ พิจารณา ไตร่ ตรอง แจ่มแจ้ง ทำให้ชัด ตามความเป็นจริงโดยชอบ ซึ่งการตั้งอยู่แห่ง ขันธ์ทั้งหลายโดยเป็นขันธ์ แห่งอายตนะทั้งหลายโดยเป็นอายตนะ แห่งธาตุ ทั้งหลายโดยเป็นของสูญ แห่งทุกข์โดยการบีบคั้น แห่งสมุทัยโดยเป็นที่เกิด แห่งทุกข์ แห่งนิโรธโดยเป็นความสงบแห่งมรรคโดยเป็นทัสสนะ หรือซึ่ง ประเภทมีอาทิอย่างนี้ว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยง ดังนี้.

บทว่า วิมุตฺโต ได้แก่ วิมุตติ ๒ อย่าง คือ จิตวิมุตติ และ นิพพาน. จริงอยู่ พระอรหันต์ชื่อว่า พ้นด้วยจิตวิมุตติบ้าง ชื่อว่า พ้นใน นิพพานบ้าง เพราะพ้นจากกิเลสทั้งปวง ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า สมฺมทญฺา วิมุตฺโต (พ้นเพราะรู้โดยชอบ).

บทว่า ตสฺส ติฏฺนฺเตว ปญฺจินฺทริยานิ ความว่า อินทรีย์ ๕ มีจักขุนทรีย์เป็นต้น ของพระอรหันต์นั้น ยังตั้งอยู่ตราบเท่ากรรมอันเป็นเหตุ ให้เกิดในภพสุดท้าย ยังไม่สิ้นไป. บทว่า อวิคตตฺตา ได้แก่ เพราะยังไม่ดับ ด้วยการดับคือความไม่เกิด. บทว่า มนาปามนาปํ ได้แก่ อารมณ์มีรูปที่น่า พอใจ และไม่น่าพอใจเป็นต้น. บทว่า ปจฺจนุโภติ ได้แก่ ย่อมเสวย คือ

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 309

ย่อมได้. บทว่า สุขทุกฺขํ ปฏิสํเวเทติ ได้แก่ ย่อมเสวยสุขและทุกข์อัน เป็นวิบาก คือย่อมได้ด้วยไตรทวาร.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงอุปาทิเสสะ ด้วยเหตุเพียงนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อทรงแสดงสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ จึงตรัสคำมีอาทิว่า ตสฺส โย ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ตสฺส ได้แก่ พระอรหันต์ผู้ยังมีสอุปาทิเสสะ นั้น. บทว่า โย ราคกฺขโย ได้แก่ ความสิ้นไป คืออาการสิ้นไป ความ ไม่มี ความไม่เกิดในที่สุดแห่งราคะ. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้. เป็นอันแสดง ถึงสอุปาทิเสสนิพพานธาตุอันสิ้นราคะเป็นต้น ด้วยเหตุเพียงนี้.

บทว่า อิเธว ได้แก่ ในอัตภาพนี้แล. บทว่า สพฺพเวทยิตานิ ได้แก่ เวทนาทั้งหมดมี สุขเวทนาเป็นต้น. อัพยากตเวทนา กุสลากุสลเวทนา ท่านละได้ก่อนแล้ว. บทว่า อนภินนฺทิตานิ ได้แก่ อันกิเลสมีตัณหาเป็นต้น ให้เพลิดเพลินไม่ได้แล้ว. บทว่า สีติภวิสฺสนฺติ ได้แก่ จักเย็น ด้วยความ สงบส่วนเดียว ได้แก่ความสงบระงับความกระวนกระวายในสังขาร คือ จักดับ ด้วยการดับอันไม่มีปฏิสนธิ. มิใช่เพียงเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น จักดับ แม้ ขันธ์ ๕ ทั้งหมดในสันดานของพระขีณาสพก็จักดับ. ท่านใช้เทศนาด้วยหัวข้อ ว่า เวทยิตะ.

ในคาถาทั้งหลายพึงทราบอธิบายดังต่อไปนี้. บทว่า จกฺขุมตา ได้แก่ ผู้มีจักษุด้วยจักษุทั้งหลาย ๕ คือ พุทธจักษุ ธรรมจักษุ ทิพจักษุ ปัญญาจักษุ สมันตจักษุ. บทว่า อนิสฺสิเตน ได้แก่ ไม่อาศัยธรรมไรๆ โดยเป็นที่อาศัย ของตัณหาและทิฏฐิ หรือไม่ผูกพันด้วยเครื่องผูกคือราคะเป็นต้น. บทว่าตาทินา ได้แก่ ผู้คงที่อันมีลักษณะคงที่ กล่าวคือความเป็นผู้มีสภาพเป็นหนึ่ง ใน อารมณ์ทั้งปวง มีอิฏฐารมณ์เป็นต้น ด้วยอุเบกขามีองค์ ๖. บทว่า ทิฏฺ- ธมฺมิกา ได้แก่ นิพพานธาตุอันมีคือ เป็นไปในอัตภาพนี้. บทว่า ภวเนตฺติ-

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 310

สํขยา ได้แก่ เพราะสิ้นตัณหาอันนำไปสู่ภพ. บทว่า สมฺปรายิกา ได้แก่ อันมีในเบื้องหน้า คือในส่วนอื่นจากทำลายขันธ์. บทว่า ยมฺหิ ได้แก่ ใน อนุปาทิเสสนิพพาน. บทว่า ภวานิ ท่านกล่าวโดยเป็นลิงควิปลาส อุบัติภพ ไม่เหลือโดยประการทั้งปวงย่อมดับ คือ ย่อมไม่เป็นไป บทว่า เต ได้แก่ ชนเหล่านั้นมีจิตพ้นแล้วอย่างนี้. บทว่า ธมฺมสาราธิคมา ได้แก่ เพราะ เป็นผู้มีวิมุตติเป็นสาระคือเพราะบรรลุพระอรหัตอันป็นสาระในธรรมทั้งหลาย แห่งธรรมวินัยนี้. บทว่า ขเย ได้แก่ยินดี ยินดียิ่งแล้วในนิพพานอันเป็นที่ สิ้นกิเลสมีราคะเป็นต้น. อีกอย่างหนึ่ง อันเป็นสาระในธรรมทั้งหลาย โดย ความเป็นของเที่ยง และโดยความเป็นของประเสริฐที่สุด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า มีธรรมเป็นสาระ คือนิพพาน. สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า วราโค เสฏฺโ ธมฺมานํ วิราโค เตสํ อคฺคมกฺขายติ วิราคะประเสริฐ กว่าธรรมทั้งหลาย และวิราคะท่านกล่าวว่า เลิศกว่าธรรมเหล่านั้น. ชนทั้ง หลายยินดีแล้วในอนุปาทิเสสนิพพานเป็นที่สิ้นสังขารทั้งปวง เพราะเหตุบรรลุ ธรรมอันเป็นสาระนั้น. บทว่า ปหํสุ คือ ละแล้ว. บทว่า เต เป็นเพียง นิบาต. บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.

จบอรรถกถาธาตุสูตรที่ ๗