พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑๒. สัมปันนสูตร ว่าด้วยสมบูรณ์ด้วยธรรมปฏิบัติ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  10 พ.ย. 2564
หมายเลข  40138
อ่าน  881

[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 705

จตุกนิบาต

๑๒. สัมปันนสูตร

ว่าด้วยสมบูรณ์ด้วยธรรมปฏิบัติ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 45]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 705

๑๒. สัมปันนสูตร

ว่าด้วยสมบูรณ์ด้วยธรรมปฏิบัติ

[๒๙๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงเป็นผู้มีศีลสมบูรณ์ มีปาติโมกข์สมบูรณ์ สำรวมแล้วด้วยปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยอาจาระ และโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษมีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบท ทั้งหลายเถิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอทั้งหลายมีศีลสมบูรณ์ มีปาติโมกข์ สมบูรณ์ สำรวมแล้วด้วยปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร มี ปกติเห็นภัยในโทษอันมีประมาณน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย จะมีกิจอะไรที่เธอทั้งหลายพึงกระทำให้ยิ่งขึ้นไป ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้ อภิชฌา พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ ของภิกษุผู้เดินไปอยู่ เป็น ธรรมชาติปราศไปแล้ว อันภิกษุผู้เดินไปอยู่ละวิจิกิจฉาได้แล้ว ปรารภความ เพียรไม่ย่อหย่อน ตั้งสติไว้มั่น ไม่หลงลืม กายระงับแล้ว ไม่ระส่ำระสาย ตั้งจิตมั่น มีอารมณ์อันเดียว ภิกษุผู้เดินไปอยู่เป็นอย่างนี้ เราตถาคตกล่าวว่าเป็น ผู้มีความเพียร มีโอตัปปะ ปรารภความเพียร มีใจเด็ดเดียว ตลอดกาลเป็น นิตย์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้อภิชฌา พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ ของภิกษุผู้ยืนอยู่เป็นธรรมชาติปราศไปแล้ว ... ถ้าแม้อภิชฌา พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ ของภิกษุผู้นั่งอยู่เป็นธรรมชาติปราศไปแล้ว ... ถ้าแม้อภิชฌา พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ ของภิกษุผู้นอนอยู่ ตื่นอยู่ เป็นธรรมชาติปราศไปแล้ว อันภิกษุผู้นอนอยู่ ตื่นอยู่ ละวิจิกิจฉา ได้แล้ว ปรารภความเพียร ไม่ย่อหย่อน ตั้งสติไว้มั่น ไม่หลงลืม กายระงับ

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 706

แล้ว ไม่ระส่ำระสาย ตั้งจิตไว้มั่น มีอารมณ์อันเดียว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุแม้ผู้นอนอยู่ ตื่นอยู่เป็นอยู่แล้วอย่างนี้ เราตถาคตกล่าวว่า เป็นผู้มีความ เพียร มีโอตตัปปะ ปรารภความเพียร มีใจเด็ดเดียว ตลอดกาลเป็นนิตย์.

ภิกษุเพียรอยู่ พึงเดิน ยืน นั่ง นอน คู้เข้า เหยียดออก ซึ่งอวัยวะมีมือและเท้า เป็นต้นนี้ อนึ่ง ภิกษุพิจารณาโดยชอบ ซึ่งความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่ง ธรรมขันธ์ ในเบื้องบน เบื้องขวาง เบื้องต่ำ จนตลอดภูมิเป็นที่ไปแห่งสัตว์ผู้สัญจรไป บนแผ่นดิน พระอริยเจ้าทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ได้กล่าวภิกษุผู้มีปกติ อยู่อย่างนั้น มีความเพียร มีความประพฤติ สงบ ไม่ฟุ้งซ่าน มีญาณทัศนวิสุทธิสมควร แก่ธรรมเป็นเครื่องสงบใจ ศึกษาอยู่ มีสติ ทุกเมื่ออย่างนั้นว่า เป็นผู้มีใจเด็ดเดี่ยว ตลอดกาลเป็นนิตย์.

จบสัมปันนสูตรที่ ๑๒

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 707

อรรถกถาสัมปันนสูตร

ในสัมปันนสูตรที่ ๑๒ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

ในบทว่า สมฺปนฺนสีลา นี้ สมฺปนฺนํ สมบูรณ์ มี ๓ อย่าง คือ เต็มบริบูรณ์ ๑ พรั่งพร้อม ๑ หวานอร่อย ๑. บรรดาสัมปันนศัพท์ทั้ง ๓ อย่างนั้น สัมปันนศัพท์ที่มีความหมายว่า เต็มบริบูรณ์ เช่นในประโยคนี้ว่า

ข้าแต่ท่านท้าวโกสีย์ นกแขกเต้า ทั้งหลาย พากันจิกกินรวงข้าวสาลีที่ (มี เมล็ด) เต็มบริบูรณ์ ข่าแต่ท่านท้าวพระพรหม ข้าพเจ้าขอประกาศให้ท่านทราบ ข้าพเจ้าไม่สามารถจะห้ามพวกมันได้.

สัมปันนศัพท์ที่มีความหมายว่า พรั่งพร้อม เช่นในประโยคนี้ว่า ภิกษุ เป็นผู้เข้าถึง เข้าถึงพร้อม เข้าไปใกล้ เข้าไปใกล้ชิด พรั่งพร้อมประกอบด้วย ปาติโมกขสังวรนี้. สัมปันนศัพท์ที่มีความหมายว่า หวานอร่อย เช่นในประโยค นี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พื้นล่างมหาปฐพีนี้มีรสอร่อย เป็นสิ่งที่ชอบใจ เหมือนน้ำผึ้งหวานที่ไม่มีโทษ. แต่ในที่นี้ สัมปันนศัพท์เหมาะในความหมาย ว่า เต็มบริบูรณ์บ้าง ในความหมายว่า พรั่งพร้อมบ้าง. เพราะฉะนั้น พึง ทราบเนื้อความในที่นี้อย่างนี้ว่า บทว่า สมฺปนฺนสีลา ได้แก่ เป็นผู้มีศีล บริบูรณ์บ้าง เป็นผู้พรั่งพร้อมด้วยศีลบ้าง. บรรดาความหมายทั้ง ๒ อย่างนั้น ตามความหมายนี้ว่า มีศีลบริบูรณ์แล้ว มีอธิบายว่า ศีลชื่อว่าเป็นศีลสมบูรณ์ แล้ว เหมือนความบริบูรณ์ของนา เพราะปราศจากโทษของนา (วัชพืช).

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 708

ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงได้กล่าวไว้ว่า ความบริบูรณ์ของศีล พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ เพราะปราศจากโทษของศีล เหมือนความบริบูรณ์ของนา เพราะ ปราศจากโทษของนา (วัชพืช). ส่วนตามความหมายนี้ว่า เป็นผู้พรั่งพร้อม ด้วยศีล มีพุทธาธิบายไว้ว่า เธอทั้งหลายจงเป็นผู้พรั่งพร้อม ถึงการรวมลง เป็นผู้ประกอบด้วยศีลอยู่เถิด. ในจำนวน ๒ อย่างนั้น ความเป็นผู้มีศีลสมบูรณ์ มีได้ด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ ด้วยการเห็นโทษของศีลวิบัติ ๑ ด้วยการเห็น อานิสงส์ของศีลสมบัติ ๑. โทษ และอานิสงส์ทั้ง ๒ อย่างนั้น พึงทราบตามนัย ที่ได้กล่าวไว้แล้ว ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค คำใดที่ข้าพเจ้าควรจะกล่าวในที่นี้ โดยนัยมีอาทิว่า บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทเพียงเท่านี้ว่า ผู้มีศีลสมบูรณ์แล้ว ได้ทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นจะทรงแสดงปาริสุทธศีล ๔ จึงทรง แสดงศีลที่เป็นหลักไว้ด้วยคำนี้ว่า เป็นผู้สำรวมแล้วด้วยปาฏิโมกขสังวร. คำนั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ในหนหลังนั้นแล้ว.

บทว่า กิมสฺส อุตฺตรึ กรณียํ มีเนื้อความว่า ถ้าหากจะมีคำถามว่า เธอทั้งหลายผู้มีศีลสมบูรณ์แล้วอยู่อย่างนี้ จะพึงมีอะไรที่จะต้องทำ คือจะต้อง ปฏิบัติให้ยิ่งขึ้นไปเล่า? ตอบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงประกอบ ภิกษุทั้งหลายไว้ในศีลสัมปทา พร้อมด้วยอุบายที่จะเป็นเหตุให้ถึงพร้อมด้วยคำ มีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงพากันมีศีลสมบูรณ์อยู่อย่างนี้เถิด ดังนี้ ได้ทรงเริ่มพระธรรมเทศนา ยกบุคคลจำนวนมากขึ้นเป็นที่ตั้งแล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงพระธรรมเทศนานั้น ด้วยสามารถแห่งการยกบุคคลคนเดียว ขึ้นเป็นที่ตั้ง เพราะเหตุที่พระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงจะเป็น ไปแล้ว โดยการยกบุคคลคนเดียวขึ้นเป็นที่ตั้ง แต่ก็เป็นพระธรรมเทศนาที่ยก บุคคลเป็นอเนกขึ้นเป็นที่ตั้ง เพราะเป็นสาธารณะแก่สรรพสัตว์ จึงตรัสคำ มีอาทิไว้ว่า จรโต เจปิ ภิกฺขเว ภิกฺขุโน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าหากว่า ... แก่ภิกษุผู้กำลังเดินไปไซร้.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 709

พึงทราบวินิจฉัยในคำเหล่านั้นต่อไป. กิเลสชาติ ชื่อว่า อภิชฌา เพราะเป็นเหตุเพ่งเล็ง. คำว่า อภิชฺฌาย นี้ เป็นชื่อของโลภะที่มีลักษณะเพ่งเล็ง สิ่งของๆ ผู้อื่น. อกุศลธรรมชื่อว่าพยาบาท เพราะเป็นเหตุให้จิตถึงความพินาศ คือเป็นจิตเสีย. คำนี้เป็นชื่อของโทสะที่มีอาฆาตวัตถุ ๑๙ อย่างเป็นอารมณ์ เป็นไปแล้วโดยนัยมีอาทิว่า เขาได้ประพฤติอนัตถะแก่เราแล้ว. พึงทราบความ พิสดารของอภิชฌาและพยาบาททั้ง ๒ อย่างนั้น โดยนัยมีอาทิว่า บรรดาธรรม เหล่านั้น กามฉันท์คืออะไร? ความพอใจกาม ความเสน่หากาม ความ ระหายกาม ความร้อนรนเพราะกาม ความสยบอยู่กับกาม การหยั่งลงสู่กาม ในกามทั้งหลายดังนี้ อนึ่ง คือ ความโลภ ความละโมบ ภาวะของผู้ละโมบ แล้ว ความกำหนัดมาก ความกำหนัดจัด ภาวะของผู้กำหนัดมาก ความเพ่งเล็ง โลภะ อกุศลมูล ดังนี้ และโดยนัยมีอาทิว่า ความพยาบาท คือ ความร้ายกาจ ความใจร้าย ภาวะของผู้มีจิตถูกโทสะประทุษร้ายแล้ว ความพยาบาท ความถึง ความพินาศแห่งจิต ภาวะของผู้พยาบาท ความพิโรธ ความพิโรธตอบ ความ ดุร้าย การให้ผู้อื่นหลั่งน้ำตา ความไม่พอใจแห่งจิตดังนี้. บทว่า วิคโต โหติ ความว่า ทั้งอภิชฌา ทั้งพยาบาทนี้ เป็นของปราศไปแล้ว คือ ไปปราศแล้ว อธิบายว่า ละได้แล้ว. ด้วยคำเพียงเท่านี้ เป็นอันพระองค์ทรงแสดงถึงการ ละกามฉันทนิวรณ์ และพยาบาทนิวรณ์ได้แล้ว.

บทว่า ถีนมิทฺธํ ได้แก่ ทั้งถีนะทั้งมิทธะ. บรรดาถีนะและมิทธะ ทั้ง ๒ อย่างนั้น ภาวะที่จิตไม่ควรแก่การงาน ชื่อว่าถีนะ. คำว่า ถีนะ นี้ เป็นชื่อของความเกียจคร้าน. ความที่ขันธ์ทั้ง ๓ มีเวทนาขันธ์เป็นต้น ไม่ควร แก่การงานชื่อว่า มิทธะ. คำว่า มิทธะ นี้เป็นชื่อของความเป็นผู้ปั่นป่วน.

ผู้ศึกษาพึงทราบความพิสดารของถีนะและมิทธะทั้ง ๒ ศัพท์ โดยนัย มีอาทิว่า บรรดาถีนะและมิทธะทั้ง ๒ นั้น ถีนะคืออะไร? คือ ความที่จิต

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 710

ไม่เหมาะสม ความที่จิตไม่ควรแก่การงาน ความหดหู่ ความหวั่นไหวแห่งจิต บรรดาถีนะและมิทธะ ๒ อย่างนั้น มิทธะคืออะไร? คือ ความที่กายไม่ เหมาะสม ความที่กายไม่ควรแก่การงาน ความล้า ความเมื่อยขบแห่งกาย.

บทว่า อุทฺธจฺจกุกฺกุจฺจํ ได้แก่ ทั้งความฟุ้งซ่านทั้งความรำคาญใจ. บรรดาอุทธัจจะและกุกกุจจะนั้น อาการของจิตที่ฟุ้งซ่าน ชื่อว่า อุทธัจจะ. ความเดือดร้อนเพราะบาปที่ทำไว้เป็นปัจจัย ของผู้ไม่ได้ทำความดีไว้ ทำแต่ ความชั่วไว้ ชื่อว่า กุกกุจจะ ผู้ศึกษาพึงทราบความพิสดารของอุทธัจจะ และ กุกกุจจะทั้ง ๒ นั้น โดยนัยมีอาทิว่า บรรดาอุทธัจจะและกุกกุจจะทั้ง ๒ นั้น อุทธัจจะคืออะไร? คือ ความฟุ้ง ความไม่สงบแห่งจิต ความซัดส่ายแห่งจิต ความหมุนเวียนแห่งจิต. พึงทราบอาการที่เป็นไป (พฤติการณ์ของนิวรณ์ทั้ง ๒ นั้น) โดยนัยมีอาทิว่า เราไม่ได้ทำความดีไว้ เราไม่ได้ทำกุศลไว้ เราไม่ได้ ทำการต้านทานสิ่งที่น่ากลัวไว้ เราทำบาปไว้แล้ว เราทำกรรมชั่วช้าไว้แล้ว เราทำความผิดไว้แล้ว ดังนี้.

บทว่า วิจิกิจฺฉา ได้แก่ ความสงสัยในพระพุทธเจ้าเป็นต้น. ผู้ศึกษา พึงทราบความพิสดารของวิจิกิจฉานั้น โดยนัยมีอาทิว่า ย่อมสงสัยคือแคลงใจ ได้แก่ไม่น้อมใจเชื่อ หมายความว่า ไม่เลื่อมใสในพระศาสดาดังนี้ และโดยนัย มีอาทิว่า บรรดานิวรณ์เหล่านั้น วิจิกิจฉาคืออะไร? คือ ความกังขา ความ กินแหนง ภาวะของผู้กินแหนง ความเคลือบแคลง ความแคลงใจ ความ สองเงื่อน ทางสองแพร่ง ความสงสัย ความยึดถือหลายอย่าง ความสับสน. ความกระเสือกกระสน ความยึดถือไม่รอบคอบ ความหวาดสะดุ้งแห่งจิต รอยขีดเขียนในใจ ดังนี้.

และในที่นี้ พระองค์ทรงประสงค์เอาการข่มอภิชฌา และพยาบาท เป็นต้นเหล่านั้นเท่านั้น ด้วยอำนาจแห่งการพรากออกไป และด้วยอำนาจแห่ง

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 711

การละอภิชฌาและพยาบาทเป็นต้น ซึ่งพระองค์ตรัสหมายเอาว่า เธอละความโลภคืออภิชฌาแล้ว มีจิตปราศจากอภิชฌาอยู่ ชื่อว่า ชำระจิตให้ผ่องใสจาก อภิชฌา ละความประทุษร้ายคือพยาบาทแล้ว เป็นผู้มีจิตไม่พยาบาทอยู่ ชื่อว่า ชำระจิตให้ผ่องใสจากความประทุษร้ายคือพยาบาท ละถีนมิทธะแล้ว เป็นผู้ ปราศจากถิ่นมิทธะ มีอาโลกสัญญา (หมายรู้แสงสว่าง) มีสติสัมปชัญญะอยู่ ชื่อว่า ชำระจิตให้ผ่องใสจากถีนมิทธะ ละอุทธัจจกุกกุจจะได้ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิต สงบอยู่ในภายใน ชื่อว่า ชำระจิตให้ผ่องใสจากอุทธัจจกุกกุจจะ ละความสงสัย ได้แล้ว เป็นผู้ข้ามความสงสัยได้ เป็นผู้หายสงสัย ไม่สงสัยในกุศลธรรม ทั้งหลาย ชื่อว่า ชำระจิตให้ผ่องใสจากความสงสัย. บรรดาการละและการเกิด ขึ้นนั้น การละนิวรณ์มีอยู่โดยวิธีใด ควรทราบวิธีนั้น (ต่อไป).

ก็การละนิวรณ์เหล่านั้น มีอย่างไร? การละกามฉันท์ มีโดยการทำ ไว้ในใจโดยแยบคายในอสุภนิมิต. ส่วนการเกิดขึ้น (แห่งกามฉันท์) มีโดยการ ทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายในสุภนิมิต ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สุภนิมิตมีอยู่ การทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการ ในสุภนิมิตนั้น เป็นเหตุนำผลมาให้ (อาหารปัจจัย) เพื่อกามฉันท์ที่ยังไม่เกิด ได้เกิดขึ้นบ้าง เพื่อความเจริญยิ่งขึ้น เพื่อความไพบูลย์แห่งกามฉันท์ที่เกิดขึ้น แล้วบ้าง. การละกามฉันท์ที่เกิดขึ้นโดยอโยนิโสมนสิการ ในสุภนิมิตอย่างนี้ มีอยู่โดยโยนิโสมนสิการในอสุภนิมิต โดยตรงกันข้ามกับอโยนิโสมนสิการ ใน สุภนิมิตนั้น. บรรดานิมิตทั้ง ๒ อย่างนั้น อสุภบ้าง อสุภารมณ์บ้าง ชื่อว่า อสุภนิมิต. การมนสิการโดยอุบาย คือมนสิการในทาง ได้แก่มนสิการว่า ไม่เที่ยงในสิ่งที่ไม่เที่ยงบ้าง ว่าเป็นทุกข์ในสิ่งที่เป็นทุกข์บ้าง ว่าเป็นอนัตตา ในสิ่งที่เป็นอนัตตาบ้าง ว่าไม่งามในสิ่งที่ไม่งามบ้าง ชื่อว่า โยนิโสมนสิการ. เมื่อให้มนสิการนั้นเป็นไปมากครั้งในนิมิตนั้น ย่อมละกามฉันท์ได้. ด้วยเหตุนั้น

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 712

พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสไว้ว่า มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย อสุภนิมิต การทำให้มาก ซึ่งโยนิโสมนสิการ ในอสุภนิมิตนั้น นี้เป็นเหตุนำผลมา (อาหารปัจจัย) เพื่อ ความไม่เกิดขึ้นแห่งกามฉันท์ที่ยังไม่เกิดบ้าง เพื่อละกามฉันท์ที่เกิดขึ้นแล้วบ้าง.

ธรรมสำหรับละกามฉันท์ ๖ ข้อ

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละกามฉันท์ คือ

๑. การเรียนเอาอสุภนิมิต

๒. การประกอบความเพียรเนืองๆ ในอสุภภาวนา

๓. ความเป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้ว ในอินทรีย์ทั้งหลาย

๔. ความเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ

๕. ความเป็นผู้มีกัลยาณมิตร

๖. ถ้อยคำที่เป็นสัปปายะ.

อธิบายว่า ผู้กำลังเรียนอสุภนิมิต ๑๐ อย่างอยู่ ย่อมละกามฉันท์ได้ ผู้กำลังเจริญอสุภนิมิตอยู่ ก็ละกามฉันท์ได้ ผู้ปิดทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย แล้วก็ละได้ ผู้รู้ประมาณในการฉันอาหาร เพราะความเป็นผู้มีปกติยังอัตภาพ ให้เป็นไปได้โดยดื่มน้ำ (ก่อน) ทั้งๆ ที่ยังมีโอกาส (ฉันได้อีก) ๔ - ๕ คำ ก็ละกามฉันท์ได้. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสไว้ว่า

ควรงดฉันข้าว ๔ - ๕ คำไว้แล้วดื่มน้ำ เพียงพอเพื่อจะอยู่อย่างสบายสำหรับภิกษุ ผู้มีใจเด็ดเดี่ยว.

ผู้กำลังคบหากัลยาณมิตร เช่นกับพระติสสเถระ. ผู้เจริญอสุภกรรมฐาน ละกามฉันท์ได้ก็มี. ละได้ด้วยกถาที่เป็นสัปปายะอาศัยอสุภ ๑๐ ในสถานที่ยืน และที่นั่งเป็นต้น ก็มี. ด้วยเหตุนั้น พระผู้นี้พระภาคเจ้าจึงได้ตรัสไว้ว่า ธรรม ๖ อย่าง ย่อมเป็นไปเพื่อละกามฉันท์.

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 713

การเกิดขึ้นแห่งพยาบาท มีโดยอโยนิโสมนสิการ ในปฏิฆนิมิต. ปฏิฆะ ชื่อว่า ปฏิฆนิมิต ในคำว่า ปฏิฆนิมิตฺเต อโยนิโสมนสิกาเรน นั้น แม้ปฏิฆารมณ์ก็คือปฏิฆนิมิต. อโยนิโสมนสิการ (การทำไว้ในใจโดยไม่- แยบคาย) ในปฏิฆนิมิตนั้น มีลักษณะเดียวกันในที่ทุกแห่งทีเดียว พยาบาท ย่อมเกิดขึ้น แก่ผู้ให้อโยนิโสมนสิการเป็นไปมากครั้งในนิมิตนั้น. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ตรัสไว้ว่า มีอยู่ภิกษุทั้งหลาย ปฏิฆนิมิต การทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการ ในปฏิฆนิมิตนั้น เป็นอาหารปัจจัย (เหตุ- นำมา) เพื่อการเกิดขึ้นแห่งพยาบาทที่ยังไม่เกิดขึ้นบ้าง เพื่อความเจริญยิ่งขึ้น เพื่อความไพบูลย์แห่งพยาบาท ที่เกิดขึ้นแล้วบ้าง.

ส่วนผู้ทำไว้ในใจโดยแยบคาย ซึ่งเมตตาเจโตวิมุตติ จะมีการละ (พยาบาท) ได้. บรรดาคำว่า เมตตา และเจโตวิมุตตินั้น เมื่อกล่าวคำว่า เมตตาก็ใช้ได้ (หมายถึง) ทั้งอัปปนาทั้งอุปจาร แต่เมื่อกล่าวว่า เจโตวิมุตติ ก็ใช้ได้ (หมายถึง) เฉพาะอัปปนาเท่านั้น. โยนิโสมนสิการ มีลักษณะดังที่ กล่าวมาแล้วนั่นเอง. เมื่อให้โยนิโสมนสิการนั้นเป็นไปมากครั้งในเมตตานั้น ก็ละพยาบาทได้. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสไว้ว่า มีอยู่ภิกษุ- ทั้งหลาย เมตตาเจโตวิมุตติ การทำไว้ในใจให้มาก โดยอุบายอันแยบคายใน เมตตาเจโตวิมุตตินั้น นี้เป็นอาหารปัจจัย (เหตุนำมา) เพื่อการไม่เกิดขึ้นแห่ง พยาบาท ที่ยังไม่เกิดขึ้นบ้าง เพื่อการละพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้วบ้าง.

ธรรมสำหรับละพยาบาท ๖ ข้อ

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๖ ประการ เป็นไปเพื่อละพยาบาท คือ

๑. การเรียนเมตตานิมิต

๒. การเจริญเมตตา

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 714

๓. การพิจารณาความที่สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน

๔. ความเป็นผู้มากไปด้วยการพิจารณา

๕. ความมีกัลยาณมิตร

๖. การกล่าวคำที่เป็นสัปปายะ.

อธิบายว่า ผู้กำลังเรียนเมตตาด้วยสามารถแห่งการแผ่ไปทั่วทิศทั้งโดย เจาะจง ทั้งโดยไม่เจาะจง อย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมละพยาบาทได้. แม้ผู้กำลังเจริญ เมตตาด้วยสามารถแห่งการแผ่ไปทั่วทิศโดยเจาะจง โดยไม่เจาะจง ก็ละพยาบาท ได้. ผู้กำลังพิจารณาถึงความมีกรรมเป็นของตน ของคนทั้ง ๒ คือของตนเอง และของผู้อื่นอย่างนี้ว่า ตัวเจ้าโกรธคนๆ นั้นแล้ว จักทำอะไร (เขา) ได้ จักสามารถให้คุณธรรมทั้งหลายมีศีลเป็นต้น ของเขาพินาศไปได้หรือ? ตัวเจ้า มาแล้วตามกรรมของตน ก็จักไปตามกรรมของตนมิใช่หรือ? ธรรมดาความโกรธผู้อื่น ก็เหมือนกับความประสงค์ จะหยิบถ่านไฟที่ปราศจากเปลว ท่อน เหล็กแดงและอุจจาระแล้ว ขว้างคนอื่น ถึงคนนั่นโกรธเจ้าก็จักทำอะไร (เจ้า) ได้ เขาจักสามารถให้ธรรมทั้งหลายมีศีลเป็นต้น ของเจ้าพินาศไปได้หรือ? คนนั่นเขามาตามกรรมของคน ก็จักไปตามกรรมของตนนั่นแหละดังนี้ ย่อมละ พยาบาทได้ พิจารณาแล้ว ยืนอยู่ที่ๆ พิจารณาย่อมละพยาบาทได้ คบหากัลยาณมิตรผู้ยินดีในเมตตาภาวนา ย่อมละพยาบาทได้. ย่อมละพยาบาทได้แม้ด้วย กถาที่เป็นสัปปายะอาศัยเมตตาในที่ๆ ยืน และที่ๆ นั่งเป็นต้น. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสไว้ว่า ธรรม ๖ ประการเป็นไปเพื่อละพยาบาท.

การเกิดขึ้นแห่งถีนมิทธะ โดยอโยนิโสมนสิการในอกุศลธรรมมีอรติ เป็นต้น. ความเอือมระอา ชื่อว่า อรติ. ความเกียจคร้านทางกาย ชื่อว่า ตันทิ. การบิดคร้านกาย ชื่อว่า วิชัมภิกา. ความมึนงงเพราะภัต คือ ความอึดอัด เพราะภัต ชื่อว่า ภัตตสัมมทะ (ความเมาอาหาร). อาการที่จิตห่อเหี่ยว ชื่อว่า

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 715

ความหดหู่จิต. เมื่อยังอโยนิโสมนสิการให้เป็นไปมากครั้งในอกุศลธรรมเหล่านี้ ถีนมิทธะ ย่อมเกิดขึ้น. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงไค้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มีอยู่ อรติ (ความเอือมระอา) ตันทิ (ความคร้านกาย) วิชัมภิกา (ความบิดคร้านกาย) ความหดหู่ใจ การทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการ ในอรติเป็นต้นเหล่านั้น นี้ เป็นเหตุนำผลมาให้ (อาหารปัจจัย) เพื่อการ เกิดขึ้นแห่งถีนมิทธะที่ยังไม่เกิดขึ้นบ้าง เพื่อความเจริญยิ่ง เพื่อความไพบูลย์ แห่งถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้วบ้าง. ส่วนการละถีนมิทธะ มีโดยโยนิโสมนสิการ ในอารัมภธาตุเป็นต้น. ความเพียรที่เริ่มต้น ชื่อว่า อารัมภธาตุ. ความเพียร ที่มีกำลังมากกว่านั้น เพราะออกไปแล้วจากความเกียจคร้าน ชื่อว่า นิกขมธาตุ. ความเพียรที่มีกำลังมากกว่านั้นในรูป เพราะก้าวไปสู่สถานที่ข้างหน้า ชื่อว่า ปรักกมธาตุ.

ผู้ยังโยนิโสมนสิการให้เป็นไปมากครั้ง ในวิริยะ ๓ ประเภท นี้จะละ ถีนมิทธะได้ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ตรัสไว้ว่า มีอยู่ ภิกษุ- ทั้งหลาย อารัมภธาตุ ๑ นิกกมธาตุ ๑ ปรักกมธาตุ ๑ การทำให้มากซึ่ง โยนิโสมนสิการ ในธาตุเหล่านั้น นี้เป็นเหตุนำผลมา (อาหารปัจจัย) เพื่อ ความไม่เกิดขึ้นแห่งถีนมิทธะที่ยังไม่เกิดบ้าง เพื่อละถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้วบ้าง.

ธรรมสำหรับละถีนมิทธะ ๖ ข้อ

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๖ ประการเหล่านั้น เป็นไปเพื่อละถีนมิทธะ คือ

๑. การบริโภคโภชนะที่เหลือเพื่อแต่พอประมาณ

๒. การผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ

๓. การมนสิการอาโลกสัญญา

๔. การอยู่แต่ในที่แจ้ง

 
  ข้อความที่ 12  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 716

๕. ความมีกัลยาณมิตร

๖. การกล่าวถ้อยคำที่เป็นสัปปายะ.

อธิบายว่า ผู้บริโภคโภชนะเยี่ยงอาหารหัตถกพราหมณ์ ภุตตวัมมิกพราหมณ์ ตัตถวัฏฏกพราหมณ์ อลังสาฏกพราหมณ์ และกากมาสกพราหมณ์ แล้ว นั่ง ณ ที่พักกลางคืนและที่พักกลางวัน ความง่วงเหงาหาวนอนจะมาทับ ถมเหมือนช้างใหญ่มาทับ. แต่เมื่อภิกษุเว้นระยะไว้ ๔ - ๕ คำแล้วดื่มน้ำแล้วยัง อัตภาพให้เป็นไปตามปกติ ความง่วงเหงาหาวนอนนั้นจะไม่มี. ผู้รับโภชนะ ที่เหลือเฟือ แต่พอประมาณอย่างนี้ ย่อมละถีนมิทธะได้. ผู้เปลี่ยนอิริยาบถอื่น ไปจากอิริยาบถที่ตนก้าวลงสู่ความง่วงเหงาหาวนอนบ้าง ในเวลากลางคืน มนสิการถึงแสงพระจันทร์แสงประทีปแสงคบเพลิง เวลากลางวันมนสิการถึง แสงพระอาทิตย์บ้าง อยู่ ณ ที่กลางแจ้งบ้าง คบหาสมาคมกัลยาณมิตร ผู้ปราศ จากความง่วงเหงาหาวนอน เช่นพระมหากัสสปเถระบ้าง ก็ย่อมละถีนมิทธะได้. ย่อมละถีนมิทธะได้ แม้ด้วยกถาที่เป็นสัปปายะอาศัยธุดงค์ ในที่นั่งและที่นอน เป็นต้น ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ตรัสไว้ว่า ธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละถีนมิทธะ.

อุทธัจกุกกุจจะมีการเกิดขึ้น เพราะมนสิการโดยไม่แยบคายในความ ไม่สงบแห่งจิต. อาการที่ (จิต) ไม่สงบแล้ว ชื่อว่า อวูปสมะ. โดยเนื้อความ ได้แก่ อุทธัจจกุกกุจจนั้นนั่นเอง. ผู้ยังอโยนิโสมนสิการ ในความไม่สงบ แห่งจิต ให้เป็นไปมากครั้ง อุทธัจจกุกกุจจะจะเกิดขึ้น. ด้วยเหตุนั้น นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ตรัสไว้ว่า มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ความไม่สงบแห่งจิต การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการ ในความไม่สงบแห่งจิตนั้น นี้ เป็นเหตุ นำผลมาให้ (อาหารปัจจัย) เพื่อการเกิดขึ้นแห่งอุทธัจจกุกกุจจะ ที่ยังไม่ เกิดขึ้นบ้าง เพื่อความเจริญยิ่ง ความไพบูลย์แห่งอุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้น

 
  ข้อความที่ 13  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 717

แล้วบ้าง. แต่เมื่อมนสิการโดยแยบคาย ในความสงบแห่งใจ กล่าวคือสมาธิ อยู่ การละ (อุทธัจจกุกกุจจะ) ก็จะมี ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ ตรัสไว้ว่า มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ความสงบแห่งจิต การการทำให้มาก ซึ่งโยนิ- โสมนสิการ ในความสงบแห่งจิตนั้น นี้เป็นเหตุนำผลมาให้ (อาหารปัจจัย) เพื่อการไม่เกิดขึ้นแห่งอุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิดขึ้นบ้าง เพื่อละอุทธัจจกุกกุจจะ ที่เกิดขึ้นแล้วบ้าง.

ธรรมสำหรับละอุทธัจจกุกกุจจะ ๖ ข้อ

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละอุทธัจจกุกกุจจะ คือ

๑. ความเป็นพหูสูต

๒. การสอบถาม

๓. ความรอบรู้ (ชำนาญ) ในพระวินัย

๔. การคบหาสมาคมผู้ใหญ่

๕. ความเป็นผู้มีกัลยาณมิตร

๖. การกล่าวคำที่เป็นสัปปายะ.

(อธิบายว่า) ผู้เรียน ๑, ๒, ๓, ๔ หรือ ๕ นิกาย ด้วยสามารถแห่ง บาลี และด้วยสามารถแห่งเนื้อความ (อรรถกถา) โดยความเป็นพหูสูตอยู่ ย่อมละอุทธัจจกุกกุจจะได้. ผู้มากไปด้วยการสอบถามสิ่งที่เป็นกัปปิยะและอกัปปิยะบ้าง ผู้รอบรู้ เพราะความเป็นผู้ประพฤติมาจนชำนาญ ในภาระวินัยบัญญัติ บ้าง ผู้เข้าไปหาพระเถระผู้เจริญ คือ ผู้ใหญ่บ้าง ผู้คบหากัลยาณมิตร ผู้ทรงพระวินัย เช่นกับพระอุบาลีเถระบ้าง ย่อมละอุทธัจจกุกกุจจะได้. ย่อมละอุทธัจจ- กุกกุจจะได้ แม้โดยการกล่าวถ้อยคำเป็นที่สบาย ที่อาศัยสิ่งที่ควรและไม่ควร ณ

 
  ข้อความที่ 14  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 718

ที่ยืนและที่นั่งเป็นต้น. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ตรัสไว้ว่า ธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละอุทธัจจกุกกุจจะ.

วิจิกิจฉา มีการเกิดขึ้นโดยอโยนิโสมนสิการ ในธรรมทั้งหลายที่เป็น ที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉา ความสงสัยนั่นเอง ชื่อว่า ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งวิจิกิจฉา เพราะเป็นเหตุให้สงสัยบ่อยๆ เมื่อให้อโยนิโสมนสิการ ในวิจิกิจฉานั้นเป็นไป บ่อยๆ วิจิกิจฉาก็เกิดขึ้น ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสไว้ว่า มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัย การกระทำให้มากซึ่งอโยนิโสมนสิการ ในธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยนั้น นี้เป็นเหตุนำผลมาให้ (อาหารปัจจัย) เพื่อการเกิดขึ้นแห่งวิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิด บ้างเพื่อความเจริญ ยิ่ง เพื่อความไพบูลย์แห่งวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้วบ้าง. ส่วนการละวิจิกิจฉามีได้ ด้วยโยนิโสมนสิการ ในธรรมทั้งหลายมีกุศลเป็นต้น. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มี พระภาคเจ้า จึงได้ตรัสไว้ว่า มีอยู่ภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล และอกุศล ธรรมทั้งหลายที่มีโทษและไม่มีโทษ ธรรมทั้งหลายที่ควรเสพ และไม่ควรเสพ ธรรมทั้งหลายที่เป็นส่วนดำส่วนขาว การทำให้มากซึ่งโยนิ- โสมนสิการในธรรมเหล่านั้น นี้เป็นเหตุนำผลมาให้ (อาหารปัจจัย) เพื่อการ ไม่เกิดขึ้นแห่งวิจิกิจฉา ที่ยังไม่เกิดขึ้นบ้าง เพื่อการละวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว บ้าง.

ธรรมสำหรับละวิจิกิจฉา ๖ ข้อ

อีกอย่างหนึ่ง ธรรม ๖ ประการ ย่อมไปเพื่อการละวิจิกิจฉา คือ

๑. ความเป็นพหูสูต

๒. การซักถาม

๓. ความรอบรู้ในพระวินัย

 
  ข้อความที่ 15  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 719

๔. ความเป็นผู้มากไปด้วยอธิโมกข์

๕. ความเป็นผู้มีกัลยาณมิตร

๖. การกล่าวถ้อยคำที่เป็นสัปปายะ.

ผู้เรียนเอานิกาย ๑ บ้าง ฯลฯ ๕ นิกายบ้าง ด้วยอำนาจแห่งบาลี และด้วยอำนาจแห่งเนื้อความ (อรรถกถา) ย่อมละวิจิกิจฉาได้. ผู้สอบถามมาก ในธรรมทั้งหลาย มีประเภทกุศลเป็นต้น ปรารภพระไตรรัตน์บ้าง ผู้รอบรู้ (ชำนาญ) เพราะความเป็นผู้ประพฤติจนชำนาญในพระวินัยบ้าง๑ ผู้มากไป ด้วยอธิโมกข์ กล่าวคือ ความเชื่อที่พึงกำหนดแน่ในพระรัตนตรัยบ้าง ผู้คบ หาสมาคมกัลยาณมิตรผู้น้อมไปในศรัทธา เช่นกับพระวักกลิเถระบ้าง ย่อมละ วิจิกิจฉาได้. ย่อมละวิจิกิจฉาได้แม้โดยการกล่าวถ้อยคำที่เป็นสัปปายะ อาศัยคุณ ของพระรัตนตรัย ณ ที่ยืนและที่นั่งเป็นต้น. ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้ตรัสไว้ว่า ธรรม ๖ ประการ ย่อมเป็นไปเพื่อละวิจิกิจฉา.

ก็ในอธิการนี้ บรรดานิวรณ์เหล่านี้ ที่ละได้แล้วด้วยอำนาจการข่มไว้ ด้วยธรรมเหล่านั้น ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว กามฉันทนิวรณ์ มีการละได้เด็ดขาด ด้วยอรหัตตมรรคก่อน. ถิ่นมิทธนิวรณ์และอุทธัจจนิวรณ์ ก็อย่างนั้น (คือ มีการละได้เด็ดขาดด้วยอรหัตตมรรค). ส่วนพยาบาทนิวรณ์และกุกกุจจนิวรณ์มี การละได้เด็ดขาดด้วยอนาคามิมรรค. วิจิกิจฉานิวรณ์มีการละได้เด็ดขาดด้วย โสดาปัตติมรรค. เพราะฉะนั้น เพื่อจะทรงแสดงธรรมที่เป็นอุปการะแก่การ ละนิวรณ์เหล่านั้น อย่างนั้น จึงได้ทรงปรารภคำมีอาทิไว้ว่า อารทฺธํ โหติ วิริยํ (วิริยะเป็นอันปรารภแล้ว). อีกอย่างหนึ่ง การละนิวรณ์มีอภิชฌาเป็นต้น ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว ก็คือวิริยะที่ได้ปรารภแล้วนี้นั่นเอง. เพราะเหตุที่แต่ไหน แต่ไรมาแล้ว ผู้ชื่อว่าเกียจคร้านแล้ว เพราะปราศจากความเพียร ชื่อว่า มี


๑. แปลตามเชิงอรรถ

 
  ข้อความที่ 16  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 720

สติหลงลืมแล้ว เพราะไม่เข้าไปตั้งสติไว้ ชื่อว่า มีกายมีความกระวนกระวาย เพราะว่าระงับความกระวนกระวายยังไม่ได้ ชื่อว่า มีจิตฟุ้งซ่าน เพราะว่ามี จิตยังไม่ได้ตั้งมั่นแล้ว ไม่อาจจะยังธรรมเหล่านั้นให้เกิดขึ้นได้ จะป่วยกล่าว ไปไย ถึงจะยังธรรมนอกจากนี้ให้เกิดขึ้นได้ ฉะนั้น เพื่อจะทรงแสดงถึงวิธี ที่การไปปราศ คือ การละอภิชฌาเป็นต้นนั้น จะสำเร็จแก่ผู้ปฏิบัติได้ จึงได้ ทรงปรารภคำมีอาทิไว้ว่า อารทฺธํ โหติ วิริยํ (วิริยะเป็นอันได้ปรารภแล้ว).

คำนั้นมีเนื้อความว่า ความเพียรเป็นอันเธอปรารภแล้ว คือประคอง ไว้แล้ว มีอธิบายว่า เป็นไปแล้วโดยไม่ย่อหย่อน เพื่อละนิวรณ์เหล่านั้นคือ เพื่อประโยชน์แก่การตัดขาดสังกิเลสธรรมแม้ทั้งหมด. และความเพียร ชื่อว่า เป็นอันไม่หลบหลีกแล้ว เพราะไม่ถึงความหดหู่ในระหว่าง เหตุที่ปรารภแล้ว นั่นเอง. บทว่า อุปฏฺิตา สติ อปฺปมุฏฺา ความว่า ไม่ใช่เพียงความ เพียรอย่างเดียวเท่านั้น (ที่ปรารภแล้ว) ถึงสติก็เป็นอันเข้าไปตั้งไว้แล้ว เพราะ ความมุ่งหน้าต่ออารมณ์ อนึ่งชื่อว่า ไม่หลงลืมแล้ว เพราะเข้าไปตั้งไว้แล้ว นั่นเอง และเพราะความสามารถระลึกถึงเรื่องที่ทำ คำที่พูดไว้นานแล้วได้. บทว่า ปสฺสทฺโธ ความว่า แม้กายของเธอก็เป็นอันสงบระงับแล้ว เพราะ ระงับความกระวนกระวายกายและจิตได้. เพราะเหตุที่บรรดานามกายและรูปกายทั้ง ๒ อย่างนั้น เมื่อนามกายสงบแล้ว แม้รูปกายก็เป็นอันสงบไปด้วย ทีเดียว ฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ตรัสไว้ว่า ปสฺสทฺโธ กาโย (กายระงับ) โดยไม่ให้แปลกไปว่า นามกาโย รูปกาโย. บทว่า อสารทฺโธ ความว่า และผู้นั้นชื่อว่า ไม่ระส่ำระสายแล้ว เพราะเป็นผู้สงบแล้วนั่นเอง. มีอธิบายไว้ว่า เป็นผู้มีความกระวนกระวายปราศไปแล้ว. บทว่า สมาหิตํ จิตฺตํ เอกคฺคํ ความว่า แม้จิตของเธอ เป็นเสมือนตั้งมั่นแล้วโดยชอบ คือ เสมือนตั้งไว้แล้ว ด้วยดี ได้แก่ เป็นเสมือนแนบแน่นแล้ว และเพราะตั้งมั่น

 
  ข้อความที่ 17  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 721

แล้วนั่นเอง จึงมีอารมณ์เลิศเป็นอันเดียว คือไม่หวั่นไหว ได้แก่ ไม่ดิ้นรน หมายความว่า ไม่เอนเอียง. ด้วยคำเพียงเท่านี้ เป็นอันพระองค์ตรัสถึงปฏิปทา อันเป็นเบื้องต้นแห่งฌานและมรรค. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้ ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เป็นอย่างนี้ถึงกำลังเดินไป เราตถาคต ก็กล่าวว่า เป็นผู้มีความเพียร มีโอตตัปปะ ปรารภความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว เป็นไปเนืองนิจติดต่อกันไป. เนื้อความแห่งพระพุทธพจน์นั้น ได้กล่าวไว้ใน หนหลังนั่นแล้ว.

พึงทราบวินิจฉัย ในคาถาทั้งหลายต่อไป. บทว่า ยตํ จเร ความว่า ภิกษุพึงเดินไปเพียรไป. อธิบายว่า แม้กำลังสำเร็จการเดินด้วยสามารถจงกรม เป็นต้น คือ เพียรสืบต่อพยายามอยู่ ด้วยสามารถแห่งความเพียร คือ สัมมัปปธานดังที่กล่าวแล้ว โดยนัยมีอาทิว่า ภิกษุยังฉันทะให้เกิดขึ้นพยายามอยู่ เพื่อความไม่เกิดขึ้นแห่งธรรมที่เป็นบาปอกุศลที่ยังไม่เกิด ควรสำเร็จการเดินไป เป็นต้น โดยวิธีที่จะละอกุศลธรรมทั้งหลายได้ กุศลธรรมทั้งหลาย จะถึงความ บริบูรณ์ด้วยภาวนา. แม้ในบทที่เหลือทั้งหลายก็มีนัยนี้.

ส่วนอาจารย์บางเหล่ากล่าวเนื้อความของบท ยตํ นี้ว่าได้แก่ สํยโต (สำรวมแล้ว). บทว่า ติฏฺเ ได้แก่ พึงเดินไป คือ พึงสำเร็จการเดิน. บทว่า อจฺเฉ ได้แก่ พึงนั่ง. บทว่า สเย ได้แก่ พึงนอน. บทว่า ยตเมนํ ปสารเย ความว่า ภิกษุเพียรคือหมั่นอยู่ ได้แก่ เป็นผู้พรั่งพร้อมด้วยความ เพียรตามที่กล่าวมาแล้ว พึงเหยียดออกไปซึ่งมือและเท้าเป็นต้นนั่น ที่ควร เหยียดออกไป. อธิบายว่า พึงละทิ้งความประมาทในที่ทุกสถาน. บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงข้อปฏิบัติ ที่ภิกษุเมื่อปฏิบัติอยู่ ชื่อ ว่า เป็น ผู้เพียร คือ หมั่นอยู่ จึงได้ตรัสคำมีอาทิไว้ว่า อุทฺธํ. บรรดาบทเหล่านั้น

 
  ข้อความที่ 18  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 722

บทว่า อุทฺธํ ได้แก่ เบื้องบน. บทว่า ติริยํ ได้แก่ ด้านขวาง. อธิบายว่า ในทิศาภาครอบด้านด้วยสามารถแห่งทิศตะวันออกเป็นต้น. บทว่า อปาจินํ ได้แก่ ทิศเบื้องล่าง. บทว่า ยาวตา ชคตา คติ ความว่า ความเป็นไปของสัตวโลก ที่จำแนกออกเป็นสัตว์และสังขารมีประมาณเท่าใด ในความเป็นไปมีประมาณเท่านั้น อธิบายว่า ในที่ทุกแห่งหน. ด้วยคำมี ประมาณเท่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงโดยทรงสงเคราะห์เอาอารมณ์ ของสัมมสนญาณเข้าไว้ โดยไม่มีเหลือ. บทว่า สมเวกฺขิตา ความว่า ได้ พิจารณาแล้วโดยชอบ คือ โดยเหตุ ได้แก่ โดยนัย. มีอธิบายว่า เป็นผู้ พิจารณาเห็นแจ้ง ด้วยอำนาจแห่งอนิจจลักษณะเป็นต้น. บทว่า ธมฺมานํ ได้แก่ ขันธ์ทั้งหลายที่สูญจากสัตว์. บทว่า ขนฺธานํ ได้แก่ ขันธ์ ๕ มี รูปเป็นต้น. บทว่า อุทยพฺพยํ ได้แก่ ทั้งความเกิดขึ้น ทั้งความเสื่อมไป. มีคำอธิบายไว้ดังนี้ว่า ภิกษุพึงเป็นผู้พิจารณาเห็น คือ พิจารณาเห็นเนืองๆ ซึ่งความเกิด โดยอาการ ๒๕ อย่าง และความเสื่อมสิ้นไป โดยอาการ ๒๕ อย่าง ด้วยอุทยัพพยญาณ ที่บรรลุได้ด้วยการพิจารณาความไม่เที่ยงเป็นต้น แห่งรูปธรรมและอรูปธรรมทั้งมวล กล่าวคือ อุปทานขันธ์ทั้ง ๕ ที่แตกต่าง กันโดยจำแนกออกเป็นอดีตเป็นต้น ในสัตวโลกแม้ทั้งหมดที่สงเคราะห์เป็น ๓ คือ เบื้องบน ด้านขวาง เบื้องล่าง.

บทว่า เจโตสมถสามีจึ ได้แก่ ญาณทัสสนวิสุทธิ ที่เป็นปฏิปทา สมควรแก่อริยมรรค กล่าวคือ เจโตสมถะ เพราะสงบระงับสังกิเลสแห่งจิต ได้สิ้นเชิง. บ่ทว่า สิกฺขมานํ ได้แก่ ปฏิบัติอยู่ คือ เจริญอยู่ หมายความ ว่า ยังญาณที่สูงๆ ขึ้นไปให้เกิดขึ้น. บทว่า สทา ความว่า ตลอดกาลทุก เมื่อ คือ ทั้งกลางคืนทั้งกลางวัน. บทว่า สตํ ความว่า ผู้ทำสติ ด้วยสติที่

 
  ข้อความที่ 19  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้า 723

ประกอบด้วยสัมปชัญญะ ๔. บทว่า สตตํ ปหิตตฺโต ความว่า พระอริยเจ้าทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ตรัสแล้ว คือ ย่อมตรัส ได้แก่ ย่อมบอกซึ่งภิกษุอย่างนั้นว่า เป็นผู้มีใจเด็ดเดี่ยว ตลอดกาลทุกเมื่อ คือ เป็นผู้ส่งใจไปสู่นิพพาน. คำที่เหลือมีนัยดังที่กล่าวแล้วนั่นแล.

จบอรรถกถาสัมปันนสูตรที่ ๑๒