ธรรมลึกซึ้ง_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๔

 
khampan.a
วันที่  13 พ.ย. 2564
หมายเลข  40177
อ่าน  867

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



"ธรรมลึกซึ้ง"

ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี

วันเสาร์ที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๔



(ดอกกล้วยไม้ ที่ มศพ. - ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๔)



~ ก่อนอื่นทั้งหมด เมื่อตรัสรู้แล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า “ธรรม ละเอียด ลึกซึ้ง ยากที่จะรู้ได้” ต้องไม่ลืมคำนี้

~ เดี๋ยวนี้ เห็นเป็นเห็น มีแต่เห็นขณะที่เห็น ใช่ไหม?

~ ไม่มีใครรู้ ก่อนเห็นเป็นอะไร หลังจากเห็นดับแล้ว เป็นอะไร นี่คือความลึกซึ้ง ใช่ไหม?

~ กำลังมีจิตเห็น ไม่มีใครรู้ว่าไม่ใช่เราที่เห็น แต่เป็นจิตธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น แล้วดับ นี้คือ ความลึกซึ้ง

~ จิตเห็นเท่านั้นที่กำลังปรากฏว่ามีเดี๋ยวนี้ โดยที่จิตก่อนเห็นและจิตที่เกิดหลังเห็น ไม่ปรากฏให้รู้ว่ามี

~ ความไม่รู้แค่ไหน ก่อนจิตเห็น มีจิต ก็ไม่รู้ จิตเห็นดับแล้วก็ไม่รู้ กำลังเห็น ก็ไม่รู้ นี่คือความจริงลึกซึ้ง ใช่ไหม?

~ ใครเปลี่ยนลักษณะของแต่ละหนึ่งจิต ไม่ได้

~ ขณะที่ชอบติดข้องในสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ความชอบความติดข้อง ไม่ใช่จิตที่เพียงเห็นสิ่งนั้น

~ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง ใครจะรู้ว่าลักษณะของจิต ก็คือ ขณะที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ รู้สิ่งนั้นชัดเจน นั่นคือ จิต ไม่ใช่เรา ถ้าไม่เริ่มเข้าใจอย่างนี้ ไม่มีทางเลยที่จะรู้จักจิต พอเห็น ก็เราเห็น ได้ยิน ก็เราได้ยิน แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ว่า มีสภาพรู้หรือธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นเห็นแล้วดับ ไม่ใช่ขณะที่เกิดขึ้นได้ยิน เริ่มเข้าใจความหมายของคำว่าจิต ทำให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่าไม่มีเรา ตั้งแต่เกิดจนตาย มีแต่ธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้น

~ เดี๋ยวนี้จิตอยู่ไหน เดี๋ยวนี้มีไหม? มีจิตตลอดเวลา แต่ไม่รู้จักจิต เพราะไม่เคยรู้ว่าเห็นเป็นจิตที่เกิดขึ้นเห็น ได้ยินเป็นจิตที่เกิดขึ้นได้ยิน

~ ค่อยๆ คุ้นเคยกับสภาพรู้ที่เห็น ที่ได้ยิน ทำให้เริ่มเข้าใจจิต ไม่ใช่เพียงเอ่ยคำว่าจิต

~ กำลังเห็น จะไปคิดถึงจิตก่อนเห็นไหม? หรือว่าจะไปคิดถึงจิตหลังเห็นไหม? หรือว่า กำลังเริ่มเข้าใจที่กำลังเห็น ว่า นั่นคือจิต ไม่ใช่เรา นี่คือการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ ที่พุทธคยา ตรัสรู้ความจริงทั้งหมดแต่ละหนึ่งๆ

~ ถ้าไปที่พุทธคยา ระลึกถึงการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่เข้าใจขณะนี้ จะระลึกได้ไหมว่าพระองค์ตรัสรู้จิตที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้แหละ และจิตก่อนเห็นและจิตหลังเห็น

~ ฟังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสทุกคำ ฟังทุกคำ ต้องไม่ลืม “ทุกคำ” ไม่ใช่เพียงได้ยิน ไม่ใช่เพียงฟังรู้ความหมาย แต่ต้องรู้ว่าหมายความถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ซึ่งลึกซึ้งอย่างยิ่ง

~ ฟังทุกคำอย่าพึ่งผ่าน เพราะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ สามารถจะรู้ได้ เพราะสิ่งนั้นกำลังปรากฏขณะนี้มีสภาพรู้เกิดแล้ว ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้ เริ่มเข้าใจว่า ไม่ใช่เรา ตั้งแต่เกิด เป็นสภาพรู้ มีปัจจัยเกิดขึ้น ตลอดชีวิต หลากหลายไปแต่ละหนึ่งขณะตามเหตุตามปัจจัย

~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงทั้งหมด เป็นอนัตตา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่คน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด

~ ถ้าไม่มีตา ไม่มีสิ่งที่กระทบตา เห็นก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น ใครทำให้เห็นเกิด? และเห็นเป็นใคร? เห็นเป็นสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นเมื่อมีปัจจัยที่จะทำให้เห็นเกิดขึ้นเท่านั้น

~ เริ่มรู้ เมื่อเข้าใจ และฟังต่อไปจะเข้าใจขึ้น แต่ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็อยู่ในโลกของความมืดตลอด เพราะเข้าใจ (ผิด) ว่า เห็น เป็นเราเห็น

~ เริ่มเข้าใจความหมายของคำว่า อนัตตา ไม่มีเรา แต่มีธรรม ใครไม่ให้ธรรมเกิด ไม่ได้ เมื่อมีปัจจัยที่ธรรมจะเกิด ธรรมก็เกิดแล้ว อย่างเช่นเดี๋ยวนี้

~ ตั้งแต่เกิด เป็นธรรมที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น เมื่อเกิดมาแล้ว ก็มีเหตุมีปัจจัยที่จะให้ธรรมแต่ละหนึ่งเกิดขึ้น เห็นบ้าง เดี๋ยวได้ยิน เดี๋ยวคิด เดี๋ยวจำ ทั้งหมดไม่ใช่เรา เริ่มเข้าใจมั่นคงว่าเป็นอนัตตา หมายความถึง สิ่งที่มีจริง ไม่ใช่เรา แล้วก็ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด

~ ถ้าไม่ใช่เพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ การฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งหมด ไม่มีประโยชน์เลย

~ ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพื่อให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ทุกคำ ต้องเพื่อเข้าใจความจริง จนกว่าจะรู้จริงๆ ว่า เดี๋ยวนี้ เป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ

~ ฟังธรรมไม่ใช่เพื่อเหตุอื่น แต่เพื่อเข้าใจความจริง เข้าใจถูก ตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงเท่านั้น

~ เดี๋ยวนี้ ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำที่กล่าวถึงความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ เพื่อเข้าใจขึ้นๆ มิใช่เข้าใจอื่น แต่เข้าใจสิ่งที่ปรากฏว่ามีเดี๋ยวนี้

~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกคำ พระองค์ทรงแสดง เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ จนกว่าปัญญาสามารถประจักษ์ความจริงของสิ่งที่กำลังเกิดดับขณะนี้ได้ เพราะฉะนั้น คำสอนของพระองค์ จึงมีเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด

~ ธรรมที่เกิดขึ้น ทุกอย่าง เกิดขึ้นแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย สุญญตา
(ว่างเปล่า) แน่นอน เมื่อวานนี้ ไม่ใช่วันนี้ เมื่อกี้นี้ ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ รู้จักสุญญตาหรือยัง?

~ เราจะพูดถึงคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว ทีละคำ ด้วยความเคารพในความลึกซึ้งของแต่ละคำที่กล่าวถึงความเป็นจริงของธรรมเดี๋ยวนี้ ซึ่งยังไม่ได้ปรากฏ ต้องทีละคำ ไตร่ตรองจนกระทั่งเข้าใจขึ้นๆ นั่นคือ การเคารพความจริงและเป็นการบูชาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ฟังแล้วไม่เข้าใจ ฟังแล้วเข้าใจผิด นั่นคือ ไม่รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เคารพและไม่บูชาคุณด้วย

~ ก่อนฟังธรรม ไม่รู้จักอวิชชา (ความไม่รู้) แต่ฟังธรรมแล้ว อวิชชาแค่ไหน?

~ ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าใจความจริง ก็อยู่ในโลกของนิมิต (เครื่องหมายที่ให้รู้ว่ามีสิ่งที่มีจริง, รูปร่างสัณฐาน) ทั้งชาติ ทุกชาติ

~ ฟังธรรมเพื่อเข้าใจจริงๆ มิฉะนั้นแล้ว ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่สามารถทำให้เข้าใจความไม่ใช่เราในขณะนี้ได้

~ ถ้ามีความเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้จริงๆ ก็จะเข้าใจความหมายของขันธ์ (สภาพธรรมที่เกิดดับ ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่า) ธาตุ (สภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน) อายตนะ (สภาพธรรมที่ประชุมกันในขณะที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ทีละขณะ) ปฏิจจสมุปบาท (สภาพธรรมที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น) อริยสัจจะ (ความจริงของพระอริยะ, สิ่งที่มีจริงที่ทำให้บุคคลผู้รู้แจ้งถึงความเป็นพระอริยะ) ทั้งหมด แต่ต้องจากการค่อยๆ เข้าใจขึ้น

~ เดี๋ยวนี้ มีนิมิตไหม? นิมิตของแต่ละหนึ่ง จนกระทั่ง นิมิต เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด

~ ความเข้าใจ ไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญา ความเห็นถูกต้อง เริ่มเกิดจากการฟังและไตร่ตรอง เมื่อไม่สงสัย เพราะมีความมั่นคง ฟังธรรมต่อไป เข้าใจละเอียดขึ้น เพราะตรงตามความเป็นจริง

~ เริ่มเข้าใจจากการฟังว่าไม่มีเรา แต่มีธรรมซึ่งเกิดดับ ปรากฏเป็นนิมิต จนกว่าปัญญาเพิ่มขึ้นๆ เป็นการรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมเพิ่มขึ้นๆ จนนิมิตของธรรมหนึ่งปรากฏให้รู้ว่าไม่ใช่เรา

~ เปลี่ยนธรรม ไม่ได้

~ ปัญญาหรือสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก เห็นอะไรถูก? เห็นสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ถูกต้อง ทีละน้อยๆ นี่คือ การเริ่มรู้หนทางที่จะเจริญต่อไป ซึ่งเป็นหนทางถูก ที่ว่าถูก เพราะสามารถทำให้เข้าใจสิ่งที่มีได้

~ เริ่มปลูกฝังความมั่นคงที่จะเข้าใจถูกว่าไม่มีเรา เพื่อที่จะได้เข้าใจธรรมละเอียดขึ้น จนสามารถรู้ในขณะนี้ได้ เดี๋ยวนี้อยู่ในขั้นของการฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี แต่ยังไม่เข้าใจตรงสิ่งที่กำลังมีแต่ละหนึ่งจริงๆ

~ ถ้าไม่เข้าใจเดี๋ยวนี้ จะเข้าใจปฏิจจสมุปบาทได้อย่างไร และเดี๋ยวนี้ เริ่มเข้าใจแล้วถึงอวิชชาไม่ใช่มีแต่เฉพาะชาตินี้ ชาติก่อนๆ ก็ไม่รู้มาทั้งหมดเลย เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ในปฏิจจสมุปบาท หมายเฉพาะกรรมที่จะเป็นเหตุให้เกิดปฏิสนธิชาติหน้า ซึ่งหมายถึง วิญญาณ ในในปฏิจจสมุปบาท คือ ชาตินี้แหล่ะเป็นชาติหน้าของชาติก่อน โดยกรรมซึ่งในกระทำแล้วในชาติก่อน หนึ่งกรรม


...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของคุณสุคิน ผู้แปลการสนทนา
จากภาษาไทยเป็นภาษาฮินดี
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chatchai.k
วันที่ 13 พ.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
petsin.90
วันที่ 13 พ.ย. 2564

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
swanjariya
วันที่ 13 พ.ย. 2564

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลของคุณสุคินและทุกๆ ท่านที่ร่วมสนทนาในวันนี้

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Boonchoo16
วันที่ 13 พ.ย. 2564

อยากฟังบ่อยๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
chureeporn
วันที่ 14 พ.ย. 2564

กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
มังกรทอง
วันที่ 14 พ.ย. 2564

จิตเห็นเท่านั้นที่กำลังปรากฏว่ามีเดี๋ยวนี้ โดยที่จิตก่อนเห็นและจิตที่เกิดหลังเห็น ไม่ปรากฏให้รู้ว่ามี ความเข้าใจ ไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญา ความเห็นถูกต้อง เริ่มเกิดจากการฟังและไตร่ตรอง เมื่อไม่สงสัย เพราะมีความมั่นคง ฟังธรรมต่อไป เข้าใจละเอียดขึ้น เพราะตรงตามความเป็นจริง

น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Kalaya
วันที่ 14 พ.ย. 2564

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Jans
วันที่ 14 พ.ย. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Lai
วันที่ 14 พ.ย. 2564

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่าน ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
jaturong
วันที่ 15 พ.ย. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
lokiya
วันที่ 15 พ.ย. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ