พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

สูจิโลมสูตรที่ ๕ ว่าด้วยกิเลสเป็นเหตุเกิด

 
บ้านธัมมะ
วันที่  13 พ.ย. 2564
หมายเลข  40182
อ่าน  423

[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 199

สุตตนิบาต

จูฬวรรคที่ ๒

สูจิโลมสูตรที่ ๕

ว่าด้วยกิเลสเป็นเหตุเกิด


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 47]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 199

สูจิโลมสูตรที่ ๕

ว่าด้วยกิเลสเป็นเหตุเกิด

[๓๑๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่บน (แท่นหิน) เตียงมีแม่แคร่ในที่อยู่ของสูจิโลมยักษ์ ใกล้ บ้านคยา ก็สมัยนั้นแล ขรยักษ์และสูจิโลมยักษ์เดินผ่านไปในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า ลำดับนั้น ขรยักษ์ได้กล่าวกะสูจิโลมยักษ์ว่า นั่นสมณะ สูจิโลมยักษ์ได้กล่าวกะขรยักษ์ว่า นั่นไม่ใช่สมณะ นั่นเป็นสมณะเทียม เราทราบชัดว่า สมณะหรือสมณะเทียมเพียงไร ลำดับนั้น สูจิโลมยักษ์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้วน้อมกายของตนเข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเบนกายออกไป, สูจิโลมยักษ์ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ท่านกลัวข้าพเจ้าหรือสมณะ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เราไม่กลัวท่านดอกผู้มีอายุ แต่สัมผัสของท่านลามก.

ส. ดูก่อนสมณะ ข้าพเจ้าจักถามปัญหากะท่าน ถ้าท่านไม่พยากรณ์ไซร้ ข้าพเจ้าจักควักดวงจิตของท่านออกโยนทิ้งเสีย หรือจักฉีกหทัยของท่านเสีย หรือจักจับที่เท้าทั้งสองแล้วขว้างไป ในแม่น้ำคงคาฝั่งโน้น.

พ. เราไม่เห็นบุคคลในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ผู้ซึ่งจะควักดวงจิตของเราออกโยนทิ้ง หรือจะฉีกหทัยของเราเสีย หรือจะจับที่เท้าทั้งสองแล้วขว้าง

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 200

ไปในแม่น้ำคงคาฝั่งโน้น ผู้มีอายุ ก็แลท่านปรารถนาจะถามปัญหาข้อใด ก็จงถามเถิด.

ลำดับนั้นแล สูจิโลมยักษ์ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า

[๓๒๐] ราคะและโทสะมีอะไรเป็นเหตุเกิด ความไม่ยินดี ความยินดี ขนลุก ขนพอง เกิดแต่อะไร วิตกทั้งหลายเกิดแต่อะไร ยกจิตไว้ ไม่ให้เป็นไปในกุศล เหมือนพวกเด็กน้อยเอาด้ายผูกตีนกา แล้วปล่อยลงไป ฉะนั้น.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบด้วยพระคาถาว่า

ราคะและโทสะมีอัตภาพเป็นเหตุเกิด ความไม่ยินดี ความยินดี ขนลุกขนพอง เกิดแต่อัตภาพนี้ วิตกทั้งหลายเกิดแต่อัตภาพนี้ ยกจิตไว้ ไม่ให้เป็นไปในกุศล เหมือนพวกเด็กน้อยเอาด้ายผูกตีนกา แล้วปล่อยลง ไปฉะนั้น.

กิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้น เกิดแต่ความเยื่อใย เกิดในตน เหมือนย่านไทรเกิดแต่ต้นไทร ฉะนั้น กิเลสเป็นอันมาก ซ่านไปแล้วในกามทั้งหลาย เหมือนเถาย่านทราย รึงรัดไปแล้วในป่า.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 201

สัตว์เหล่าใด ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่กิเลสนั้นว่ามีกิเลสใดเป็นเหตุ สัตว์เหล่านั้นย่อมบรรเทาซึ่งหมู่กิเลสนั้นได้ ท่านจงฟังเถิดยักษ์ สัตว์เหล่าใดย่อมบรรเทาซึ่งหมู่กิเลสได้ สัตว์เหล่านั้นย่อมข้ามพ้นซึ่งโอฆะอันข้ามได้โดยยาก ที่ยังไม่เคยข้ามแล้ว เพื่อความไม่เกิดอีก.

จบสูจิโลมสูตรที่ ๕

อรรถกถาสูจิโลมสูตรที่ ๕

สูจิโลมสูตร มีคำเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้.

ถามว่า พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นเป็นอย่างไร?

ตอบว่า การเกิดขึ้นของพระสูตรนี้ จักมีแจ้ง (จักปรากฏ) โดยนัยที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้ ในการพรรณนาเนื้อความ. ก็ในคำว่า คยายํ วิหรติ ฏงฺกิตมญฺเจ สูจิโลมสฺส ยกฺขสฺส ภวเน นี้. พึงทราบวินิจฉัยว่า คยา คืออะไร เตียงที่มีตั่งคืออะไร และเพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงประทับอยู่ที่ภพของยักษ์นั้น ข้าพเจ้าจะได้กล่าวเฉลยต่อไป.

บ้านก็ดี ท่า (น้ำ) ก็ดี ท่านเรียกว่า คยา บ้านและท่าแม้ทั้งสองนั้น สมควรในพระสูตรนี้ ด้วยว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ประทับอยู่ในประเทศที่

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 202

ไม่ไกลแห่งบ้านคยา ท่านก็เรียกว่า คยายํ วิหรติ ประทับอยู่ที่บ้านคยา ก็ในที่ใกล้ คือ ที่ไม่ไกล ได้แก่ ที่ใกล้ประตูแห่งบ้านนั้น มีเตียงที่มีแม่แคร่นั้นตั้งอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ประทับอยู่ที่ท่าคยา ท่านก็เรียกว่า คยายํ วิหรติ ประทับอยู่ที่ท่าคยา และที่ท่าคยานั้น มีเตียงที่มีแม่แคร่นั้นตั้งอยู่.

เตียงหิน ซึ่งเขายกหินแผ่นกว้างไปวางไว้บนก้อนหิน ๔ ก้อน เรียกว่า เตียงมีแม่แคร่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยเตียงมีแม่แคร่นั้นอันเป็นภพของยักษ์ดุจภพของอาฬวกยักษ์.

ก็อีกประการหนึ่ง เพราะเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงออกจากสมาบัติ อันประกอบด้วยพระมหากรุณา ในเวลาใกล้รุ่งวันนั้น ทรงตรวจดูสัตวโลกด้วยพุทธจักษุ ได้ทรงเห็นอุปนิสสัยแห่งโสดาปัตติผลแม้ของยักษ์ทั้งสอง คือ สูจิโลมยักษ์และขรยักษ์ ฉะนั้นจึงทรงถือบาตรและจีวร ภายในอรุณนั้นเอง (ในเวลาอรุณขึ้น) ได้เสด็จยังประเทศอันเป็นท่านั้น แม้เป็นภูมิภาคซึ่ง สกปรก อันเป็นที่ไหลออกแห่งของไม่สะอาด มีประการต่างๆ มีน้ำลาย และน้ำมูกเป็นต้นของประชาชน ซึ่งมาประชุมกันจากทิศต่างๆ แล้วประทับนั่งบนเตียงที่มีแม่แคร่นั้น อันเป็นภพของสูจิโลมยักษ์ เพราะเหตุนั้น พระอานนทเถระจึงกล่าวว่า สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับบนเตียงมีแม่แคร่ อันเป็นภพของสูจิโลมยักษ์ ใกล้บ้านคยา (หรือใกล้ท่าคยา).

คำว่า เตน โข ปน สมเยน ความว่า สมัยใดพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ที่ภพของสูจิโลมยักษ์นั้น สมัยนั้น ขรยักษ์และสูจิโลมยักษ์ได้ก้าวเข้าไปในที่ไม่ไกลแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า.

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 203

ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ยักษ์ทั้งสองนั้นจึงก้าวเข้าไป ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป.

ในบรรดายักษ์ทั้งสองนั้น จะได้พูดถึงยักษ์ตนหนึ่งก่อน คือ ในอดีตกาล ชายผู้หนึ่งไม่ได้บอกกล่าวเลย ถือเอาน้ำมันของสงฆ์ไปทาสรีระของคน เพราะกรรมนั้นเขาจึงไหม้ในนรก และมาบังเกิดในกำเนิดยักษ์ ที่ฝั่งแห่งสระโบกขรณีแห่งคยา เขามีอวัยวะแปลกประหลาด ด้วยวิบากอันเหลือลงแห่งกรรมนั้นนั่นเอง และผิวหนังของเขามีสัมผัสหยาบเช่นกับกระเบื้องอิฐ ได้ยินว่า เมื่อใด เขาต้องการจะให้ผู้อื่นกลัว เมื่อนั้น เขาก็ขยายผิวหนังอันเช่นกับกระเบื้องทำให้กลัว ยักษ์นั้นจึงได้นามว่า ขรยักษ์ ก็เพราะเหตุที่มีสัมผัสหยาบนั้นเอง ด้วยประการฉะนี้.

(ส่วน) สูจิโลกยักษ์นอกนี้ ในสมัยแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า กัสสปะ เป็นอุบาสกไปวัดฟังธรรมเดือนละ ๘ ครั้ง วันหนึ่งเมื่อเขาประกาศการฟังธรรมกัน เขาก็เล่นอยู่ที่นาของตน ใกล้ประตูสังฆาราม ฟังเสียงการโฆษณาแล้ว ก็คิดว่า ถ้าว่าเราจะอาบน้ำไซร้ ก็จักชักช้า ดังนี้ ทั้งๆ ที่มีร่างกายสกปรกนั้นเอง ก็เข้าไปยังโรงอุโบสถ แล้วก็นอนหลับไปบนเครื่องลาดอันมีค่ามาก ด้วยความไม่เอื้อเฟื้อ อาจารย์ทั้งหลายผู้กล่าวคัมภีร์สังยุตตนิกาย กล่าวว่า เขาผู้นี้เป็นภิกษุนั้นเอง หาใช่อุบาสกไม่ ด้วยกรรมนั้น และด้วยกรรมอื่นอีก เขาจึงไหม้ในนรก และมาเกิดในกำเนิดยักษ์ที่ฝั่งแห่งสระโบกขรณี เขาเป็นผู้มีรูปร่างน่าเกลียดด้วยวิบากอันเหลือลงแห่งกรรมนั้น ก็ที่กายของสูจิโลมยักษ์นั้นมีขนเหมือนเข็ม ก็ยักษ์นั้นทำสัตว์ทั้งหลายที่ควรให้ตกใจ ให้

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 204

กลัวอยู่ดุจทิ่มแทงด้วยเข็มฉะนั้น เขาจึงได้ชื่อว่า สูจิโลมยักษ์ ก็เพราะเหตุที่เขา มีขนดุจเข็มนั่นเอง ด้วยประการฉะนี้. ยักษ์ทั้งสองนั่นออกจากภพของตนเพื่อไปหากิน ไปได้ครู่เดียวก็กลับมา โดยทางที่ตนไปนั้นเอง มาถึงยังทิสาภาคนอกนี้ ได้ก้าวเข้าไปในที่ไม่ไกลจากพระผู้มีพระภาคเจ้า.

ในคำว่า อถ โข ขโร เป็นต้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

ถามว่า เพราะเหตุไร ยักษ์ทั้งสองเหล่านั้นจึงได้กล่าวอย่างนี้?

ตอบว่า ขรยักษ์ได้เห็นอาการของสมณะแล้วกล่าวกะสูจิโลมยักษ์ส่วน สูจิโลมยักษ์เป็นผู้มีความเห็นอย่างนี้ว่า ผู้ใดกลัวผู้นั้นหาใช่สมณะไม่ แต่จะต้องเป็นสมณะเทียม เพราะเปรียบเทียบกับสมณะ (แท้) เพราะฉะนั้น เมื่อจะดูหมิ่นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เช่นนั้น แม้จะกล่าวด้วยความรุนแรงว่า บุรุษผู้นี้ หาใช่สมณะไม่ เขาเป็นสมณะปลอม เมื่อใคร่จะทดลองอีกจึงกล่าวว่า เราทราบอยู่เพียงไรเป็นต้น.

คำที่ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า อถ โข เป็นต้น ซึ่งท่านกล่าวไว้จำเดิมแต่คำนี้ว่า สูจิโลโม ยกฺโข จนถึงคำว่า อปิจ เต สมฺผสฺโส ปาปโก ก็อีกอย่างหนึ่ง สัมผัสของท่านเลว ดังนี้ เนื้อความตื้นทั้งนั้น ด้วยว่าในคำนั้น พึงทราบสัมพันธ์อย่างนี้ เพียงอย่างเดียวว่า คำว่า ภควโต กายํ หมายถึงน้อมกายของตนเข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ต่อจากนั้นสูจิโลมยักษ์ เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงหวาดหวั่นอยู่ จึงกล่าวว่า "สมณะ เราจะถาม ปัญหากะท่าน" ดังนี้เป็นต้น.

ถามว่า เพราะเหตุไร สูจิโลมยักษ์จึงถามปัญหา?

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 205

ตอบว่า ก็สูจิโลมยักษ์นั้นคิดว่า สมณะนี้เป็นมนุษย์ ย่อมไม่กลัวเรา ด้วยสัมผัสอันเป็นของอมนุษย์อันหยาบอย่างนี้ นี้. เอาเถอะ เราจะถามสมณะนั้น ในปัญหาอันเป็นพุทธวิสัย สรณะนี้จักตอบไม่ได้ในปัญหานั้นแน่แท้ ต่อแต่นั้นเราก็จะเบียดเบียนสมณะนั้นได้ อย่างนี้ดังนี้แล้วจึงได้ถามปัญหา. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับปัญหานั้นแล้ว ตรัสว่า น ขฺวาหํ ตํ อาวุโส เป็นต้น (อาวุโส เราไม่กลัวท่านดอก แต่สัมผัสของท่านเลว) คำทั้งปวงนั้น บัณฑิตพึงทราบโดยอาการทุกอย่าง ตามนัยที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้ว ในอาฬวกสูตรนั้นเอง.

ครั้งนั้นแล สูจิโลมยักษ์ได้กล่าวกะพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยพระคาถาว่า ราโค จ โทโส จ เป็นต้น.

ในบรรดาคำเหล่านั้น ราคะและโทสะมีนัยอันข้าพเจ้ากล่าวแล้วนั้นเอง.

บทว่า กุโต นิทานา ได้แก่ มีอะไรเป็นนิทาน คือมีอะไรเป็นเหตุ พึงทราบการอาเทส โต ปัจจัย แห่งสัตตมีวิภัตติ ใช้ในอรรถแห่งปฐมาวิภัตติ. (ในคำว่า กุโต นิทานา) ในสมาสไม่มีการลบ โต ปัจจัยนั้น.

อีกอย่างหนึ่ง คำว่า นิทานา ได้แก่ เกิดแล้ว อธิบายว่าบังเกิดขึ้นแล้ว. เพราะฉะนั้น จึงมีคำอธิบายว่า เกิดแล้วแต่ที่ไหน คือเกิด ได้แก่ บังเกิดแล้วแต่ที่ไหน. ในคำว่า อรตี รตี โลมหํโส กุโตชา ความว่า สูจิโลมยักษ์ถามว่า ธรรม ๓ ประการเหล่านี้ คือ ความไม่พอใจซึ่งท่านแจกไว้อย่างนี้ว่า อรติ อรติกา อนภิรติ อนตฺตมนตา อุกฺกณฺติา ปริตสฺสิตา ในเสนาสนะ อันสงัด หรือในอธิกุศลธรรมทั้งหลายอย่างใดอย่างหนึ่ง ๑ ความยินดีใน

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 206

กามคุณทั้งห้า ๑ ความสะดุ้งแห่งจิต ที่ถึงความนับว่าขนพองสยองเกล้าเพราะเป็นที่ตั้งแห่งความสะดุ้งกลัว ๑ เกิดจากอะไร.

สองบทว่า กุโต สมุฏฺาย ได้แก่ เกิดแต่ไหน?

คำว่า มโน หมายถึง กุศลจิต.

วิตก ๙ อย่างมีกามวิตกเป็นต้น ซึ่งท่านกล่าวไว้ในอุรคสูตร ชื่อว่า วิตกฺกา. ด้วยบาทพระคาถาว่า กุมารกา ธงฺกมิโวสฺสชนฺติ สูจิโลมยักษ์ ถามว่า พวกเด็กชาวบ้านเล่นอยู่ เอาด้ายผูกตีนกาไว้แล้ว ปล่อยไป ได้แก่ โยนไป ฉันใด อกุศลวิตกเกิดขึ้นแต่ที่ไหน ย่อมไม่ให้เห็นไปในกุศล ฉันนั้น.

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแก้ปัญหาเหล่านั้นของสูจิโลมยักษ์นั้น จึงได้ตรัสคาถาที่สองว่า ราโค จ เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิโต พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายถึง อัตภาพ. จริงอยู่ ราคะและโทสะเกิดจากอัตภาพ ความไม่ยินดี ความยินดี และความขนพองสยองเกล้าก็เกิดจากอัตภาพ และอกุศลวิตกมีกามวิตกเป็นต้น ก็ตั้งขึ้นจากอัตภาพเหมือนกัน แล้วไม่ให้เห็นไปในกุศล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามถึงเหตุ มีปกติเป็นต้นอย่างอื่นนั้น ด้วยคำว่า อัตภาพนั้น จึงตรัสว่า เกิดแล้วแต่อัตภาพนี้ คือเกิดขึ้นแต่อัตภาพนี้ ชื่อว่า ตั้งขึ้น พร้อมแล้ว แต่อัตภาพนี้. ก็ความสำเร็จแห่งศัพท์ ในคำว่า อิโต สมุฏฺาย มโน วิตกฺกา เป็นต้นนี้ พึงทราบโดยนัยที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้วในคาถาที่ ๑.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงวิสัชนาปัญหาเหล่านั้นอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงยังเนื้อความที่พระองค์ตรัสไว้ว่า วิตกทั้งหลายเกิดแล้วแต่อัตภาพ คือ เกิดจากอัตภาพ มีสมุฏฐานแต่อัตภาพ ในคำทั้งหลายมีคำว่า อิโต นิทานา เป็นต้น ให้สำเร็จ จึงตรัสว่า เสฺนหชา อตฺตสมฺภูตา เป็นต้น.

 
  ข้อความที่ 9  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 207

กิเลสทั้งปวงมีราคะเป็นต้นเหล่านี้ มีวิตกเป็นปริโยสาน เกิดด้วยความเยื่อใย ด้วยอำนาจตัณหา และเมื่อเกิดขึ้นอยู่อย่างนั้น ชื่อว่าเกิดแล้วในตน อันเป็นปริยายแห่งอัตภาพ ซึ่งต่างโดยอุปาทานขันธ์ ๕ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เสฺนหชา อตฺตสมฺภูตา บทนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกระทำอุปมา ซึ่งส่องถึงเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า นิโคฺรธสฺเสว ขนฺธชา เหมือนย่านไทรเกิดแต่ต้นไทรฉะนั้น ย่านทั้งหลายเกิดแล้วที่ลำต้นทั้งหลาย ในต้นไทรนั้น ชื่อว่าเกิดแล้วแต่ลำต้น.

คำว่า ขนฺธชา เป็นชื่อของย่านไทรทั้งหลาย.

ถามว่า ท่านกล่าว อธิบายไว้อย่างไร.

ตอบว่า ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ย่านไทรทั้งหลาย ชื่อว่าเกิดแล้ว แต่ลำต้นของต้นไทร. เมื่อยางเหนียวแห่งรสอันเกิดแต่น้ำยังมีอยู่ ก็ย่อมเกิดขึ้นได้ และเมื่อเกิดขึ้น ก็ย่อมเจริญขึ้น ในประเภทแห่งกิ่งทั้งหลายเหล่านั้นๆ ที่ต้นไทรนั้นเอง ฉันใด กิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้นเหล่านี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อความเสน่หาคือตัณหาในภายในยังมีอยู่ ก็เกิดขึ้นได้ และเมื่อเกิดขึ้น ก็ย่อมเจริญขึ้นในทวาร อารมณ์ และวัตถุทั้งหลาย อันต่างด้วยประเภทมีจักษุเป็นต้น เหล่านั้นๆ ในอัตภาพนั้นนั่นเอง. คำว่า กิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้นเหล่านี้ เกิดแต่อัตภาพ เกิดจากอัตภาพ และมีอัตภาพเป็นสมุฏฐานดังนี้. นี้ บัณฑิตพึงทราบ ดังพรรณนามา.

ส่วนในคาถากึ่งที่เหลือ มีการพรรณนาเนื้อความ ซึ่งอธิบายรวมๆ กันทั้งหมด ดังต่อไปนี้ :-

ก็กิเลสทั้งหลายเหล่านี้เป็นอันมาก ซึ่งเกิดแล้วในตนอย่างนี้ ซ่านไปแล้วในกามทั้งหลาย คือว่า กิเลสทั้งหลายเหล่านี้แม้ทั้งสิ้น โดยประการทั้งปวง

 
  ข้อความที่ 10  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 208

คือ ตัวราคะซึ่งเกิดขึ้นในตน ด้วยอำนาจแห่งกามคุณ ๕ ก็ดี โทสะซึ่งเกิดขึ้นในตนด้วยอำนาจแห่งอาฆาตวัตถุเป็นต้นก็ดี กิเลสทั้งหลายมีความไม่พอใจ เป็นต้น ซึ่งเกิดขึ้นในตนด้วยอำนาจแห่งประเภทแห่งกิเลสนั้นๆ นั่นเองก็ดี มีเป็นอันมาก คือมีอเนกประการ ซ่านไปแล้ว คือติดแล้ว ข้องแล้ว เกี่ยวพันไว้ดำรงอยู่แล้ว โดยประการนั้นๆ ในวัตถุกามทั้งหลายเหล่านั้นๆ ด้วย สามารถแห่งวัตถุ ทวาร และอารมณ์เป็นต้น.

ถามว่า เหมือนกับอะไร.

ตอบว่า เหมือนกับเถาย่านทราย ปกคลุมแล้วในป่า. (ธรรมดาว่า) เถาย่านทรายทั้งหลาย ซึ่งปกคลุมอยู่แล้วในป่า ย่อมเป็นเถาวัลย์ซึ่งรึงรัด คือ เกี่ยวเกาะ คล้องเอาไว้ รึงรัดเอาไว้ ที่ต้นไทรทั้งหลาย อันต่างด้วยกิ่งน้อยและกิ่งใหญ่ทั้งหลาย เป็นต้น ดำรงอยู่แล้ว ฉันใด สัตว์ทั้งหลายเหล่าใด ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่กิเลสนั้น เกิดจากเหตุอะไร. ที่ซ่านไปในวัตถุกามทั้งหลาย ซึ่งมีมากประเภทอย่างนี้. ดูก่อนยักษ์ ท่านจงฟัง สัตว์เหล่านั้นย่อมบรรเทา ซึ่งหมู่กิเลสนั้นเสียได้ว่าเหตุเป็นแดนเกิด ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยโตนิทานํ เป็นการแสดงถึงนปุงสกลิงค์. ด้วยคำว่า ยโตนิทานํ นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอะไรไว้. สัตว์เหล่าใดย่อมรู้หมู่แห่งกิเลสนั้นอย่างนี้ว่า เกิดจากเหตุอะไร สัตว์เหล่านั้น รู้ซึ่งหมู่แห่งกิเลสนั้นว่า ย่อมเกิดขึ้นในอัตภาพซึ่งเยื่อใยแล้วด้วยยางเหนียว คือตัณหา แล้วชำระยางเหนียวคือตัณหานั้นเสีย ด้วยไฟคือภาวนาญาณ มีอาทีนวานุปัสสนาเป็นต้น ย่อมบรรเทา ได้แก่ย่อมละ คือว่า ย่อมทำให้สิ้นสุด ดูก่อนยักษ์ ท่านจงฟังสุภาษิตนั้นของเราทั้งหลาย. ในคำว่า ยโตนิทานํ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง การกำหนดรู้ทุกข์ ด้วยการทราบชัดซึ่งอัตภาพ

 
  ข้อความที่ 11  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 209

และซึ่งการละสมุทัย ด้วยการบรรเทาหมู่แห่งกิเลส มีราคะเป็นต้น อันเป็นยางเหนียวคือตัณหา สัตว์เหล่าใดย่อมบรรเทาหมู่แห่งกิเลสนั้นเสียได้ สัตว์เหล่านั้นชื่อว่า ย่อมข้ามพ้นโอฆะอันข้ามได้โดยยาก คือ ที่ตนยังไม่เคยข้าม.

ด้วยบทว่า อปุนพฺภวาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงมรรคภาวนา และการทำนิโรธให้แจ้ง อธิบายว่า ก็สัตว์เหล่าใด ย่อมบรรเทาหมู่แห่งกิเลสนั้นเสียได้ สัตว์เหล่านั้น ชื่อว่า อบรมมรรคโดยแท้ ด้วยว่าหากเว้นจาก มรรคภาวนาเสียแล้ว การบรรเทากิเลสจะมีไม่ได้ และสัตว์เหล่าใดอบรมมรรคอยู่ สัตว์เหล่านั้น ชื่อว่าย่อมข้ามโอฆะ แม้ทั้ง ๔ อย่าง มีกามโอฆะเป็นต้น นี้เสียได้ ด้วยญาณปกติ ที่ข้ามได้โดยยาก จริงอยู่ การข้ามโอฆะจะมีได้ ก็เพราะมรรคภาวนา.

บทว่า อติณฺณปุพฺพํ ได้แก่ ที่ตนยังไม่เคยข้ามไป แม้ในที่สุดแห่งความฝัน โดยระยะกาลอันยาวนานนี้.

บทว่า อปุนพฺภวาย ได้แก่ เพื่อพระนิพพาน.

ยักษ์ที่เป็นสหายกันแม้ทั้งสองเหล่านั้น ฟังถ้อยคำที่แสดงสัจจะ ๔ ประการนี้ ดังนี้ ก้าวเข้าไปอยู่โดยลำดับ ด้วยปัญญาที่ตนอบรมดีแล้วอย่างไร ดังคำเป็นต้นว่า ภิกษุทั้งหลาย ครั้นฟังแล้ว ย่อมทรงจำธรรมไว้ได้ ย่อมเข้าไปใคร่ครวญอรรถแห่งธรรมที่ตนทรงจำไว้ได้แล้ว ดังนี้ ก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล ในที่สุดแห่งคาถานั้นเอง เป็นผู้มีความเลื่อมใส และเป็นผู้มีผิวพรรณเพียงดังทอง ประดับด้วยอลังการอันเป็นทิพย์น่าเลื่อมใส.

จบการพรรณนาสูจิโลมสูตร แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย

ชื่อ ปรมัตถโชติกา