วังคีสสูตรที่ ๑๒ ว่าด้วยสงสัยปรินิพพาน
[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 305
สุตตนิบาต
จูฬวรรคที่ ๒
วังคีสสูตรที่ ๑๒
ว่าด้วยสงสัยปรินิพพาน
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 47]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 305
วังคีสสูตรที่ ๑๒
ว่าด้วยสงสัยปรินิพพาน
[๓๒๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่อัคคาฬวเจดีย์ ใกล้เมืองอาฬวี ก็สมัยนั้นแล พระเถระชื่อ นิโครธกัปปะ เป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านพระวังคีสะปรินิพพานแล้วไม่นานที่อัคคาฬวเจดีย์ ครั้งนั้น ท่านพระวังคีสะหลีกเร้นอยู่ในที่สงัด ได้เกิดความปริวิตกแห่งใจขึ้นอย่างนี้ว่า พระอุปัชฌาย์ของเราปรินิพพานแล้วหรือหนอแล หรือว่ายังไม่ปรินิพพาน ครั้นเวลาเย็น ท่านพระวังคีสะออกจากที่หลีกเร้น เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ข้าพระองค์หลีกออกเร้นอยู่ในที่ลับ เกิดความปริวิตกแห่งใจขึ้นอย่างนี้ว่า พระอุปัชฌาย์ของเราปรินิพพานแล้วหรือหนอแล หรือว่ายังไม่ได้ปรินิพพาน ลำดับนั้น ท่านพระวังคีสะลุกจากอาสนะ กระทำจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
[๓๓๐] ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทูลถามพระศาสดาผู้มีพระปัญญาไม่ทราม ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงเห็นธรรมอันมั่นคง พระองค์ทรงขนานนามแห่งภิกษุผู้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 306
เป็นพราหมณ์ ผู้ตัดความสงสัย มีชื่อเสียงมียศ ผู้คุ้มครองตนได้ มุ่งวิมุตติ ปรารภความเพียร กระทำกาละที่อัคคาฬวเจดีย์ ที่ข้าพระองค์ได้ประพฤตินอบน้อมท่านอยู่ว่า นิโครธกัปปะ นิพพานแล้ว.
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ศากยะ มีพระจักษุรอบคอบ แม้ข้าพระองค์ทั้งหมด ย่อมปรารถนาเพื่อจะรู้พระสาวกนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายตั้งโสตไว้ชอบแล้วเพื่อจะฟังพระองค์เป็นพระศาสดาผู้ยอดเยี่ยมของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทรงโปรดตรัสความสงสัยของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอพระองค์ตรัสบอกความข้อนี้แก่ข้าพระองค์เถิด.
ข้าแต่พระองค์ผู้มีปัญญาเสมอด้วยแผ่นดิน มีพระจักษุรอบคอบ ขอพระองค์โปรดตรัสบอกภิกษุผู้เป็นพราหมณ์ ผู้ปรินิพพานแล้ว อนึ่ง ขอพระองค์ตรัสในท่ามกลางข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนอย่างท้าวสหัสสเนตร พระนามว่าสักกะ ย่อมตรัสในท่ามกลางแห่งเทวดาทั้งหลาย ฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 307
กิเลสเครื่องร้อยรัดเหล่าใดเหล่าหนึ่งในโลกนี้ เป็นทางแห่งโมหะ เป็นฝักฝ่ายแห่งความไม่รู้ เป็นที่ตั้งแห่งความสงสัย กิเลสเครื่องร้อยรัดเหล่านั้น มาถึงพระตถาคตผู้มีจักษุผู้ยิ่งกว่านระทั้งหลายแล้วย่อมไม่มี
ก็ถ้าว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นบุรุษ จะไม่พึงกำจัดเหล่ากิเลสเสีย โดยส่วนเดียวเหมือนลมไม่พึงกำจัดเมฆไซร้ สัตว์โลกทั้งหมดถูกความไม่รู้ปกคลุมแล้วพึงเป็นโลกมืด เหมือนโลกที่ถูกเมฆปกคลุมแล้วเป็นโลกมืด ฉะนั้น.
นรชนทั้งหลายแม้มีความรุ่งเรือง จะไม่พึงเดือดร้อน ส่วนนักปราชญ์ทั้งหลาย เป็นผู้กระทำความรุ่งเรือง ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นนักปราชญ์ เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์ย่อมสำคัญพระองค์ว่าเป็นนักปราชญ์ และว่าผู้กระทำความรุ่งเรือง เหมือนอย่างนั้นนั่นแล ข้าพระองค์ทั้งหลายทราบอยู่ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เห็นแจ่มแจ้ง จึงเข้ามาเฝ้า ขอพระองค์โปรดตรัสบอก ทรงกระทำให้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 308
แจ่มแจ้งซึ่งภิกษุชื่อนิโครธกัปปะแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในบริษัทเถิด.
พระองค์ผู้มีพระดำรัสไพเราะ ขอจงตรัสถ้อยคำอันไพเราะเถิด ขอพระองค์ จงค่อยเปล่งด้วยพระสุรเสียงอันพระองค์ทรงกำหนดดีแล้ว เหมือนหมู่หงส์ยกคอขึ้นแล้ว ค่อยๆ เปล่งเสียงอันไพเราะ ฉะนั้น.
ข้าพระองค์ทั้งหมดเป็นผู้ปฏิบัติตรง จะคอยฟังพระดำรัสอันไพเราะของพระองค์ ข้าพระองค์ขอทูลวิงวอนให้พระองค์ผู้ละชาติและมรณะได้แล้ว ทรงกำจัดบาปไม่มีส่วนเหลือให้ทรงแสดงธรรม การกระทำความใคร่หามีแก่ปุถุชนทั้งหลายไม่ ส่วนการกระทำความพิจารณาย่อมมีแก่พระตถาคตทั้งหลาย.
ไวยากรณ์อันสมบูรณ์นี้ เป็นของพระองค์ผู้มีพระปัญญาผุดขึ้นดี ทรงเรียนดีแล้ว.
ข้าแต่พระองค์ผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระปัญญาไม่ทราม อัญชลีมีในภายหลังนี้ ข้าพระองค์ประนมดีแล้ว พระองค์ทรงทราบ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 309
อยู่ซึ่งคติของภิกษุชื่อนิโครธกัปปะ อย่าได้ทรงทำข้าพระองค์ให้หลงเลย.
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีความเพียรไม่ทราม พระองค์ทรงรู้แจ้งอริยธรรมอันประเสริฐยิ่ง ทรงทราบอยู่ซึ่งไญยธรรมทั้งปวง อย่าได้ทรงทำข้าพระองค์ให้หลงเลย ข้าพระองค์หวังจะได้สดับพระดำรัสของพระองค์อยู่ เหมือนบุรุษผู้ร้อนแล้วเพราะความร้อนในฤดูร้อน หวังจะได้น้ำ ฉะนั้น.
ขอพระองค์จงยังสัททายตนะ คือ สุตะให้ตกเถิด ภิกษุชื่อนิโครธกัปปะได้ ประพฤติพรหมจรรย์ ตามความปรารถนา พรหมจรรย์อะไรๆ ของท่านไม่เปล่า นิพพานแล้ว อนุปาทิเสสนิพพานธาตุหรือ หรือว่าเป็นผู้พ้นวิเศษแล้วยังมีอุปาทานเหลืออยู่ ข้าพระองค์ทั้งหลายจะขอฟังความข้อนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยพระคาถาว่า
ภิกษุชื่อนิโครธกัปปะ ได้ตัดตัณหาในนามรูปนี้ ที่เป็นพระแสแห่งกัณหมาร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 310
อันนอนเนื่องแล้วสิ้นกาลนาน เธอได้ข้ามพ้นชาติและมรณะไม่มีส่วนเหลือ ปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ประเสริฐสุดด้วยอินทรีย์ ๕ เป็นต้น ได้ตรัสอย่างนี้.
ท่านพระวังคีสะกราบทูลว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์นี้ได้ฟังแล้ว ย่อมเลื่อมใสพระดำรัสของพระองค์ ได้ยินว่า ข้าพระองค์ได้ทูลถามถึงพรหมจรรย์อันไม่เปล่า พระองค์ผู้เป็นพราหมณ์ไม่ลวง ข้าพระองค์ผู้สาวกของพระพุทธเจ้า เป็นผู้มีปรกติกล่าวอย่างใด กระทำอย่างนั้น ได้ตัดข่ายอันมั่นคงนั้นๆ ของมัจจุราชผู้มีมายาขาดแล้ว.
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ภิกษุชื่อนิโครธกัปปะผู้สมควร ได้เห็นเบื้องต้นแห่งอุปาทาน ได้ล่วงบ่วงมารที่ข้ามได้แสนยาก แล้วหนอ.
จบวังคีสสูตรที่ ๑๒
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 311
อรรถกถานิโครธกัปปสูตรที่ ๑๒ (๑)
นิโครธกัปปสูตร มีคำเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ เป็นต้น ดังนี้. พระสูตรนี้ท่านเรียกว่า วังคีสสูตร ดังนี้ก็มี.
ถามว่า พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นเป็นอย่างไร?
ตอบว่า การเกิดขึ้นแห่งพระสูตรนี้นั่นแล ท่านกล่าวไว้ในนิทานแห่งพระสูตรนั้นแล้ว.
บรรดาบททั้งหลายเหล่านั้น บทว่า เอวมฺเม สุตํ เป็นต้น มีเนื้อความ อันข้าพเจ้ากล่าวแล้วนั่นแหละ เพราะข้าพเจ้าได้ทิ้งเนื้อความเช่นนั้น เหล่านั้นและเหล่าอื่นเสีย จักพรรณนาเฉพาะนัยที่ยังมิได้กล่าวไว้แล้วเท่านั้น.
บทว่า อคฺคาฬเว เจติเย ได้แก่ ที่อัคคาฬวเจดีย์ในเมืองอาฬวี จริงอยู่ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ยังไม่ทรงอุบัติขึ้น ได้มีเจดีย์เป็นอเนก มีอัคคาฬวเจดีย์ และโคตมเจดีย์เป็นต้น ซึ่งเป็นภพที่อยู่ของพวกยักษ์และนาคเป็นต้น (แต่) เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอุบัติขึ้นแล้ว พวกมนุษย์ทั้งหลายก็รื้อเจดีย์เหล่านั้น สร้างเป็นวัดเสีย และมนุษย์ทั้งหลาย ก็เรียกกันโดยชื่อนั้นนั่นแล มีคำอธิบายว่า เพราะพระเถระอยู่ในวัด กล่าวคืออัคคาฬวเจดีย์.
แม้คำว่า อายสฺมา ในคำว่า อายสฺมโต วงคีสสฺส นี้ เป็นคำที่กล่าวด้วยความรัก.
คำว่า วังคีสะ นั่นเป็นชื่อของพระเถระนั้น พระวังคีสเถระนั้น ชนทั้งหลายพึงทราบกันอย่างนี้ จำเดิมแต่เกิดมา.
๑. บาลีว่า วังคีสสตร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 312
ได้ยินว่า วังคีสะนั้นเป็นบุตรของปริพพาชก เกิดในครรภ์ของนางปริพพาชิกา ด้วยอานุภาพแห่งวิชาอย่างหนึ่งซึ่งตนรู้ ได้เคาะกระโหลกศีรษะคนตาย แล้วก็รู้คติกำเนิดของสัตว์ทั้งหลาย. ได้ยินว่า แม้พวกมนุษย์ก็ได้นำกระโหลกศีรษะของพวกญาติของตน ซึ่งตายแล้วมาจากป่าช้า แล้วถามคติกำเนิดของญาติเหล่านั้นกะวังคีสะ ท่านก็ทำนายว่า บุคคลผู้นั้นเกิดในนรกชื่อโน้น บุคคลผู้นั้นเกิดในมนุษยโลกที่โน้น พวกมนุษย์เหล่านั้น อันพระวังคีสะนั้นทำนายแล้ว (ทำให้งงงวยแล้ว) จึงได้ให้ทรัพย์เป็นจำนวนมากแก่เขา ด้วยอาการอย่างนี้ เขาจึงได้ปรากฏ (มีชื่อเสียง) ไปในชมพูทวีปทั้งสิ้น วังคีสะนั้นบำเพ็ญบารมีมาแล้ว ๑ แสนกัป บริบูรณ์ด้วยอภินีหาร มีบุรุษห้าพันคนแวดล้อม ท่องเที่ยวไปในคาม นิคม ชนบท และราชธานีทั้งหลาย ได้บรรลุถึงเมืองสาวัตถีโดยลำดับ ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่เมืองสาวัตถี พวกชาวเมืองสาวัตถีถวายทานในเวลาก่อนภัตแล้ว ในเวลาหลังภัตต่างก็นุ่งห่มเรียบร้อย ถือดอกไม้และของหอมเป็นต้น ย่อมไปสู่พระเชตวันเพื่อฟังธรรม วังคีสะนั้นเห็นชาวเมืองเหล่านั้นแล้วก็ถามว่า มหาชนพากันไปไหน.
ครั้งนั้นชนเหล่านั้นก็บอกเขาว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก กำลังทรงแสดงธรรม เพื่อประโยชน์สุขแก่ชนเป็นอันมาก พวกเราจะไปในที่นั้น แม้วังคีสะนั้นพร้อมกับคนเหล่านั้นรวมทั้งบริวารของตนไปแล้ว ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่งแล้ว ณ ส่วนข้างหนึ่ง. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกวังคีสะนั้นว่า ดูก่อนวังคีสะ เธอรู้วิชาที่เคาะกระโหลก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 313
ศีรษะของมนุษย์ทั้งหลายแล้ว บอกคติกำเนิดได้หรือ ดังนี้ วังคีสพราหมณ์ทูลว่า ข้าแต่พระสมณโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ย่อมทราบอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งให้นำศีรษะของมนุษย์ผู้เกิดแล้วในนรกมาแล้ว ทรงแสดง (แก่วังคีสพราหมณ์นั้น) เขาใช้เล็บเคาะแล้วทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ นี้เป็นศีรษะของผู้เกิดในนรก พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงศีรษะทั้งหลายของมนุษย์ทั้งหลาย ผู้เกิดแล้วในคติทั้งปวงโดยอาการอย่างนี้ แม้เขาก็ทราบ และได้กราบทูลเหมือนอย่างนั้น ทีนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงศีรษะของพรขีณาสพแก่เขา เขาเคาะแล้วบ่อยๆ ก็ไม่ทราบ (ว่าไปเกิดที่ไหน) ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนวังคีสะ ในศีรษะนี้ไม่ใช่วิสัยของเธอ นี้เป็นวิสัยของเรา นี้คือศีรษะของพระขีณาสพ แล้วจึงตรัสพระคาถานี้ว่า
คติ มิคานํ ปวนํ อากาโส ปกฺขินํ คติ วิภโว คติ ธมฺมานํ นิพฺพานํ อรหโต คติ.
ป่าใหญ่เป็นคติของเนื้อทั้งหลาย อากาศเป็นคติของนกทั้งหลาย ความเจริญเป็นคติของธรรมทั้งหลาย นิพพานเป็นคติของพระอรหันต์ ดังนี้.
วังคีสะสดับคาถาแล้วทูลว่า ข้าแต่ท่านพระโคดมผู้เจริญ ขอพระองค์จงให้วิชชานี้แก่ข้าพระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า วิชชานี้มิได้สำเร็จแก่ชนทั้งหลายผู้ไม่บวช. วังคีสะนั้นทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระองค์ให้ข้าพระองค์บวชแล้ว จงการทำสิ่งที่พระองค์ต้องการ แล้วให้วิชชานี้ แก่ข้าพระองค์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 314
ในขณะนั้นพระนิโครธกัปปเถระอยู่ในที่ใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงสั่งพระเถระนั้นว่า นิโครธกัปปะ ถ้าอย่างนั้น เธอจงให้วังคีสะนี้บวช. พระเถระนั้นให้วังคีสะนั้นบวชแล้ว ได้บอกตจปัญจกกรรมฐาน พระวังคีสะได้บรรลุปฏิสัมภิทาโดยลำดับ ได้เป็นพระอรหันต์ และเป็นผู้ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกย่องไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า ภิกษุทั้งหลาย วังคีสะนี้เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้สาวกของเราผู้มีปฏิภาณ.
อุปัชฌาย์ของท่านพระวังคีสะ ซึ่งได้ร้องเรียกกันอย่างนี้ เป็นพระเถระ ชื่อว่านิโครธกัปปะ ผู้มีโวหาร (การร้องเรียก) อันได้แล้วอย่างนี้ เพราะไตร่ตรองสิ่งที่มีโทษและไม่มีโทษเป็นต้น.
คำว่า กัปปะ เป็นชื่อของพระเถระนั้น แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกท่านว่า นิโครธกัปปะ เพราะท่านบรรลุพระอรหัตที่โคนต้นนิโครธ ต่อจากนั้นแม้ภิกษุทั้งหลายก็เรียกท่านอย่างนั้น ท่านถึงความเป็นผู้มั่นคงในพระศาสนา จึงชื่อว่า เถระ.
หลายบทว่า อคฺคาฬเว เจติเย อจิรปรินิพฺพุโต โหติ ได้แก่ พระนิโครธกัปปเถระนั้นนิพพานแล้วไม่นานที่เจดีย์นั้น.
บทว่า รโหคตสฺส ปฏิสลฺลีนสฺส ได้แก่ ผู้มีกายหลีกเร้นออกจากหมู่ ผู้มีจิตหวนกลับจากอารมณ์นั้นๆ เร้นอยู่.
หลายบทว่า เอวํ เจตโส ปริวิตกฺโก อุทปาทิ ได้แก่ เกิดปริวิตก ด้วยอาการอย่างนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 315
ถามว่า เพราะเหตุไร จึงเกิดปริวิตกขึ้น.
ตอบว่า เพราะพระอุปัชฌาย์นั้นไม่ได้อยู่เฉพาะหน้า และเพราะพระอุปัชฌาย์นั้นอันท่านเห็นแล้ว และมีการคุ้นเคย จริงอยู่ในเวลาที่พระนิโครธกัปปะนั้นปรินิพพาน พระวังคีสะนี้ ไม่ได้อยู่เฉพาะหน้า แต่การคุ้นเคยในกาลก่อน มีการรำคาญมือเป็นต้นของพระเถระนั้น เป็นผู้ที่พระวังคีสะนั้นเคยเห็นมาแล้ว และการประพฤติเช่นนั้น ก็ย่อมมีได้ทั้งแก่ผู้ที่มิใช่ขีณาสพ ทั้งแก่พระขีณาสพทั้งหลาย โดยความประพฤติในกาลก่อน จริงอย่างนั้น พระปิณโฑลภารทวาชะ ไปสู่อุทยานของพระเจ้าอุเทนเท่านั้น เพื่อประโยชน์แก่การอยู่ในกลางวัน (พักผ่อน) ในภายหลังภัต ด้วยความประพฤติในกาลก่อนนี้คือ ในกาลก่อนท่านเป็นพระราชา ได้ปฏิบัติอยู่ในที่นั้น พระควัมปติเถระไปยังเทววินานว่างในดาวดึงส์ภพ ด้วยความประพฤติในกาลก่อนนี้ คือ ท่านเป็นเทวบุตรปฏิบัติอยู่ในเทววิมานนั้น.
ภิกษุชื่อว่า ปิลินทวัจฉะ เรียกผู้อื่นว่า คนถ่อย ด้วยความประพฤติในกาลก่อนนี้คือ ท่านเป็นพราหมณ์อยู่ ๕๐๐ ชาติ ไม่มีกำเนิดอื่นปนเลย ได้กล่าวกะผู้อื่นเหมือนอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ความปริวิตกแห่งใจจึงได้บังเกิดขึ้นแก่พระวังคีสะนั้น เพราะท่านมิได้อยู่เฉพาะหน้า เพราะท่านได้เคยเห็น และคุ้นเคยอย่างนี้ว่า อุปัชฌาย์ของเรานิพพานแล้วหรือว่ายังไม่นิพพาน ข้อความต่อจากนั้นมีเนื้อความตื้นทั้งนั้น.
ก็ในคำว่า เอกํสํ จีวรํ กตฺวา นี้ ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ ก็เพื่อทำจีวรให้แน่น (รัดกุม) บ่อยๆ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 316
ก็คำว่า เอกํสํ นี้ เป็นชื่อของผ้าที่ท่านห่มเฉวียงบ่าข้างซ้ายวางไว้ เพราะฉะนั้น พึงทราบเนื้อความแห่ง เอกํสํ นี้ อย่างนี้ว่า กระทำจีวรโดยประการที่จีวรนั้นจะห่มคลุมบ่าข้างซ้ายวางไว้ คำที่เหลือชัดแล้วทั้งสิ้น.
บทว่า อโนมปญฺํ ได้แก่สิ่งที่ต่ำ ท่านเรียกว่า เล็กน้อย เลวทราม ซึ่งพระศาสดาผู้มีปัญญาทรามหามิได้ อธิบายว่า ผู้มีปัญญามาก.
สองบทว่า ทิฏฺเว ธมฺเม ได้แก่ โดยประจักษ์นั้นเอง หรืออธิบายว่า ในอัตภาพนี้นั่นเอง.
บทว่า วิจิกิจฺฉานํ ได้แก่ ความปริวิตกเห็นปานนั้น.
บทว่า าโต ได้แก่ ปรากฏแล้ว.
บทว่า ยสสฺสี ได้แก่ ถึงพร้อมด้วยสาภและบริวาร.
บทว่า อภินิพฺพุตตฺโต ได้แก่ มีจิตอันคนคุ้มครองแล้ว หรือมีจิตอันไฟไม่ไหม้อยู่.
สองบทว่า ตยา กตํ ความว่า พระองค์กล่าวว่า นิโครธกัปปะ ก็เพราะท่านนั่งแล้วที่โคนต้นนิโครธ ได้ทรงตั้งชื่อไว้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมพิจารณาด้วยพระองค์โดยประการใด ย่อมตรัสเรียกโดยประการนั้น แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเรียกพระนิโครธกัปปะนั้นอย่างนั้น ก็เพราะเหตุที่ท่านนั่งแล้ว ที่ต้นนิโครธนั้นเอง อีกอย่างหนึ่ง ก็เพราะว่า ท่านได้บรรลุพระอรหัต ที่ต้นนิโครธนั้น.
ด้วยคำว่า พฺราหฺมณสฺส พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายถึงชาติ ได้ยินว่า พระนิโครธกัปปะนั้น ออกบวชจากสกุลพราหมณ์มหาศาล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 317
สองบทว่า นมสฺสํ อจรึ ความว่า นมัสการอยู่แล้ว.
บทว่า มุตฺยเปกฺโข ความว่า หวังวิมุตติกล่าวคือพระนิพพาน อธิบายว่า ปรารถนาพระนิพพาน.
พระวังคีสะเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ทฬฺหธมฺมทสฺสี จริงอยู่ พระนิพพานชื่อว่าเป็นธรรมที่มั่นคง เพราะอรรถว่าไม่แตก ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงแสดงพระนิพพานนั้น เพราะเหตุนั้น พระวังคีสะจึงเรียก พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นว่า ทฬฺหธมฺมทสฺสี ผู้แสดงธรรมอันมั่นคง.
แม้ด้วยบทว่า สกฺกา พระวังคีสะ ย่อมเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล ด้วยคุณนาม.
ด้วยสองบทว่า มยมฺปิ สพฺเพ พระวังคีสะสงเคราะห์บริษัทที่เหลือแล้ว แสดงซึ่งตน ย่อมร้องเรียก.
แม้ด้วยบทว่า สมนฺตจกฺขุ ท่านก็เรียกพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล ด้วยสัพพัญญุตญาณ.
บทว่า สมฺมวฏฺิตา ได้แก่ ตั้งไว้แล้วโดยชอบ คือทำให้เป็นหลัก ตั้งไว้แล้ว.
บทว่า โน ได้แก่ ของเราทั้งหลาย.
บทว่า สวนาย ได้แก่ เพื่ออันฟังไวยากรณ์ปัญหานี้.
บทว่า โสตา ได้แก่ โสตินทรีย์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 318
คำว่า ตุวํ โน สตฺถา ตวมนุตฺตโรสิ นี้ เป็นเพียงคำชมเชยเท่านั้น.
หลายบทว่า ฉินฺเทว โน วิจิกิจฺฉํ ได้แก่ พระวังคีสะนั้นผู้หมดความสงสัยแล้ว ด้วยความสงสัยในอกุศล แต่ก็พูดหมายถึงความปริวิตกนั้น ซึ่งเปรียบดุจความสงสัยนั่นเอง.
สองบทว่า พฺรูหิ เมตํ ความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นศากยะ พระองค์เป็นผู้ที่ข้าพระองค์ทูลขอแล้ว เพื่อให้บอกซึ่งสาวกใด ขอพระองค์จงตรัสบอกซึ่งสาวกนั้นแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์แม้ทุกคน ปรารถนาจะรู้สาวกนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีปัญญาดุจแผ่นดิน ก็พระองค์เมื่อตรัสบอกอยู่ ก็จงบอกซึ่งพราหมณ์นั้นผู้ปรินิพพานแล้ว ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีปัญญา พระองค์ทรงทราบพระเถระนั้นผู้ปรินิพพานแล้ว ก็จงบอกในท่ามกลางของข้าพระองค์ทั้งหลาย คือจงตรัสบอกในท่ามกลางของข้าพระองค์ทุกคน โดยประการที่ข้าพระองค์ทุกคนจะพึงทราบได้.
คำว่า สกฺโกว เทวานํ สหสฺสเนตฺโต นี้ เป็นคำชมเชยเท่านั้น คำนี้มีอธิบายดังนี้ว่า ท้าวสักกะผู้มีดวงตาหนึ่งพัน ผู้มีพระวาจาอันเทพเจ้าเหล่านั้นรับแล้วโดยเคารพ ย่อมตรัสในท่ามกลางแห่งเทวดาทั้งหลายฉันใด ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์มีพระวาจาอันข้าพระองค์ทั้งหลายรับแล้ว ก็จงตรัสในท่ามกลางแห่งข้าพระองค์ทั้งหลายฉันนั้น.
พระวังคีสะ เมื่อจะชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล เพื่อจะยังความเป็นผู้กล่าวให้เกิดขึ้น จงได้กล่าวคาถาแม้นี้ว่า เยเกจิ เป็นต้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 319
เนื้อความแห่งคาถานั้นว่า กิเลสเครื่องร้อยรัดทั้งหลายมีอภิชฌาเป็นต้น พระวังคีสะเรียกว่าเป็นทางแห่งโมหะ ว่าเป็นฝักฝ่ายแห่งความไม่รู้ และว่าเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัย เพราะไม่ได้ละโมหะและความสงสัย ในเพราะมิได้ละเครื่องร้อยรัดเหล่านั้น เครื่องร้อยรัดเหล่านั้นทั้งหมดมาถึงพระตถาคตเจ้าแล้ว ย่อมถูกกำจัด ได้แก่จักพินาศไป ด้วยพลังแห่งเทศนาของพระตถาคต.
ถามว่า เครื่องร้อยรัดเหล่านั้นถูกกำจัดได้ด้วยเหตุไร?
ตอบว่า กิเลสชาติเหล่านั้นมาถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีจักษุพระองค์นี้แล ซึ่งยิ่งกว่านระทั้งหลาย ย่อมถูกกำจัดแล้ว คำอันเป็นบาทพระคาถาว่า จกฺขุมฺหิ เอตํ ปรมํ นรานํ ดังนี้ เป็นคำอันท่านกล่าวไว้ว่า เพราะพระตถาคตเจ้า ชื่อว่าเป็นผู้มีจักษุอย่างยิ่งกว่านระทั้งหลาย เพราะทำปัญญาจักษุ ในการกำจัดกิเลส เครื่องร้อยรัดทั้งปวงให้เกิดขึ้น.
พระวังคีสเถระเมื่อจะชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล เพื่อจะยังความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะกล่าวให้เกิดขึ้น จึงได้กล่าวคาถาแม้นี้ว่า โน เจ หิ ชาตุ เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชาตุ เป็นคำโดยส่วนเดียว.
บทว่า ปุริโส ท่านพระวังคีสะหมายถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า กล่าวแล้ว.
บทว่า โชติมนฺโต ได้แก่ ชนทั้งหลายผู้มาตามพร้อมแล้วด้วยความรุ่งเรือง คือปัญญา มีพระสารีบุตรเป็นต้น. ท่านกล่าวโดยคาถานี้ไว้ว่า ผิว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า จะไม่พึงกำจัดกิเลสทั้งหลายด้วยพลังแห่งเทศนา เหมือนกับลมอันต่างด้วยลมมาทางทิศตะวันออกเป็นต้น จะไม่พึงกำจัดเมฆแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 320
ไซร้ สัตว์โลกแม้ที่ปกปิดด้วยความไม่รู้ ก็จะพึงเป็นผู้มืด ประดุจโลกที่ถูกเมฆปกปิดไว้ ก็จะเป็นโลกมืด คือมีการมืดมนเป็นอันเดียวกัน แม้หรือว่าชนทั้งหลายเหล่านี้ใด ซึ่งมีความรุ่งเรืองในบัดนี้ ปรากฏอยู่ มีพระสารีบุตรเป็นต้น แม้ชนทั้งหลายเหล่านั้น ก็ไม่พึงเดือดร้อน.
พระวังคีสเถระ เมื่อชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล เมื่อจะยังความเป็นผู้ใคร่จะกล่าวให้เกิดขึ้นโดยนัยก่อนนั้นแล จึงได้กล่าวคาถาแม้นี้ว่า ธีรา จ เป็นต้น เนื้อความแห่งพระคาถานั้นว่า ก็บุรุษทั้งหลายผู้เป็นนักปราชญ์ คือผู้เป็นบัณฑิต เป็นผู้กระทำความรุ่งเรือง ย่อมให้ความรุ่งเรืองแห่งปัญญาเกิดขึ้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงกล้าหาญ ผู้ประกอบด้วยปธานวิริยะ ฉะนั้น ข้าพระองค์ย่อมสำคัญ คือว่า ย่อมสำคัญพระองค์ว่าเป็นนักปราชญ์ และว่าเป็นผู้กระทำความรุ่งเรืองเหมือนอย่างนั้น ด้วยว่าข้าพระองค์ทั้งหลาย เมื่อทราบว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เห็นแจ่มแจ้ง คือผู้เห็นซึ่งธรรมทั้งปวง ตามความเป็นจริงอยู่ จึงได้เข้าไปหาพระองค์อย่างนี้. เพราะฉะนั้น ขอพระองค์จงกระทำให้แจ่มแจ้ง คือว่าจงตรัสบอก ฯลฯ ได้แก่จงประกาศซึ่งพระกัปปเถระ ได้แก่พระนิโครธกัปปะ ในบริษัททั้งหลายแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย.
พระวังคีสะเมื่อจะชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล เพื่อจะยังความเป็นผู้ใคร่จะกล่าวให้เกิดขึ้นโดยนัยก่อนนั้นแล จงกล่าวคาถาแม้นี้ว่า ขิปฺปํ ดังนี้เป็นต้น. เนื้อความแห่งคาถานั้นว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระดำรัสอันไพเราะ ขอพระองค์จงเปล่งถ้อยคำอันไพเราะโดยพลัน คือว่าจงอย่าได้ชักช้าอยู่ ซึ่งตรัสพระดำรัสอันไพเราะ คือว่าอันนำมาซึ่งความรื่นรมย์แห่งใจ เปรียบ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 321
เหมือนสุวรรณหงส์ไปสู่ที่หากิน ได้พบสระที่เกิดเองและราวป่า จึงโก่งคอเมื่อจะไม่รีบร้อน จึงค่อยๆ เปล่งเสียง ด้วยจะงอยปากสีแดง คือร้องด้วยเสียงอันไพเราะฉันใด แม้พระองค์เองก็ฉันนั้นเหมือนกัน ทรงค่อยๆ เปล่งด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะ อันเป็นมหาปุริสลักษณะอย่างหนึ่งนี้ ที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ดีแล้ว ได้แก่ที่พระองค์กำหนดตกแต่งไว้ด้วยดี ข้าพระองค์แม้ทั้งปวงเหล่านี้แล เป็นผู้ตรงคือเป็นผู้ไม่มีใจฟุ้งซ่าน จักสดับพระสุรเสียงที่พระองค์ทรงเปล่งแล้ว.
พระวังคีสะ เมื่อจะชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล เมื่อจะยังความเป็นผู้ใคร่ที่จะกล่าวให้เกิดขึ้นโดยนัยก่อนนั้นแล จึงกล่าวคาถาแม้นี้ว่า ปหีนชาติมรณํ ดังนี้เป็นต้น พึงทราบวิเคราะห์ในคำว่า อเสสํ นั้นว่า บาปใดย่อมไม่เหลืออยู่ เหตุนั้นบาปนั้น ชื่อว่า อเสสะ ซึ่งพระองค์ผู้ทรงกำจัดบาป อันไม่มีส่วนเหลือนั้น มีคำอธิบายว่า ดังพระอริยเจ้ามีพระโสดาบัน เป็นต้น ผู้ซึ่งละชาติและมรณะได้ ไม่มีอะไรเหลือ ฉะนั้น
บทว่า นิคฺคยฺห ได้แก่ ขอร้องด้วยดีแล้ว กล่าวคือรบเร้าแล้ว.
บทว่า โธนํ ได้แก่ ผู้มีบาปธรรมทั้งปวงอันกำจัดแล้ว.
บทว่า วาเทสฺสามิ ได้แก่ ข้าพระองค์จะขอให้พระองค์ตรัสพระธรรม.
บาทพระคาถาว่า น กามกาโร หิ ปุถุชฺชนานํ ความว่า ด้วยว่าการกระทำความใคร่ ย่อมไม่มีแก่ปุถุชนทั้งหลายเท่านั้น อธิบายว่า ปุถุชนปรารถนาจะทราบหรือจะกล่าวสิ่งใด ก็ไม่อาจที่จะทราบหรือจะกล่าวสิ่งนั้น ได้ทั้งหมด.
บาทพระคาถาว่า สงฺเขยฺยกาโร จ ตถาคตานํ ความว่า ส่วนการกระทำการพิจารณา คือว่า การกระทำที่มีปัญญาเป็นสภาพถึงก่อน ย่อมมีแก่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 322
พระตถาคตเจ้าทั้งหลาย อธิบายว่า พระตถาคตเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมทรงปรารถนาจะทรงทราบ หรือตรัสสิ่งใด ก็สามารถทราบหรือตรัสสิ่งนั้นได้ (ทั้งหมด).
บัดนี้ พระวังคีสะเมื่อจะประกาศ ซึ่งการกระทำการพิจารณานั้น จึงกล่าวคาถานี้ว่า สมฺปนฺนเวยฺยากรณํ ดังนี้เป็นต้น.
เนื้อความแห่งพระคาถานั้นว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า จริงอย่างนั้น ไวยากรณ์อันสมบูรณ์มีอันเป็นไปที่พระองค์ตรัสไว้ดีแล้ว อันพระองค์ผู้มีพระปัญญารุ่งเรือง ทรงเรียนมาดีแล้วในที่นั้นๆ นี้ไม่ผิด อันชนทั้งหลาย เห็นแล้วในพระดำรัสทั้งหลาย ที่พระดำรัสอย่างนี้ว่า สันตติมหาอำมาตย์เหาะขึ้นสู่อากาศ ชั่วระยะ ๗ ลำตาลแล้วจักปรินิพพาน และว่า สุปปพุทธศากยะ จักถูกแผ่นดินสูบในวันที่ ๗ ดังนี้. ก็ต่อจากนั้นพระวังคีสะประนมอัญชลีให้ดียิ่งขึ้น แล้วทูลว่า อัญชลีครั้งหลังนี้ อันข้าพระองค์ประนมดีแล้ว คือว่า อัญชลีแม้อีกครั้งหนึ่งนี้ อันข้าพระองค์ประนมดีแล้ว ดียิ่งขึ้น.
บทว่า มา โมหยิ ความว่า พระองค์เมื่อทรงทราบอยู่ คือทรงรู้อยู่ซึ่งคติกำเนิดของพระเถระชื่อว่ากัปปะ ก็อย่าทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายหลงอยู่ด้วยการไม่ตรัสตอบเลย พระวังคีสะเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยคำว่า อโนมปัญญา ผู้มีปัญญาไม่ทราบ.
ก็พระวังคีสะเมื่อจะทูลขอพระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงการไม่หลงนั้นแหละ ปริยายแม้อื่น จึงกล่าวคาถานี้ว่า ปโรวรํ ดังนี้เป็นต้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 323
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปโรวรํ ได้แก่ ที่งามและที่ไม่งาม หรือที่อยู่ไกลและที่อยู่ใกล้ ด้วยสามารถแห่งโลกิยธรรม และโลกุตรธรรม.
บทว่า อริยธมฺมํ ได้แก่ จตุสัจธรรม.
บทว่า วิทิตฺวา ได้แก่ แทงตลอด.
บทว่า ชานํ ได้แก่ รู้อยู่ซึ่งไญยธรรมทั้งปวง.
บทว่า วาจาภิกงฺขามิ ได้แก่ ข้าพระองค์หวังอยู่ซึ่งพระวาจาของพระองค์ ประดุจบุรุษผู้มีตัวอันร้อนในฤดูร้อน ลำบากอยู่ สะดุ้งแล้วหวังอยู่ซึ่งน้ำฉะนั้น.
บทว่า สุตมฺปวสฺส ได้แก่ ขอพระองค์จงหลั่ง คือว่าจงเปล่ง ได้แก่ จงปล่อยซึ่งสัททายตนะกล่าวคือสุตะ คือทำสัททายตนะให้เป็นไป.
พระบาลีว่า สุตสฺสํ วสฺส ดังนี้ก็มี อธิบายว่าจงโปรยซึ่งฝนแห่ง สัททายตนะ มีประการอันพระองค์ตรัสแล้ว.
บัดนี้พระวังคีสะหวังอยู่ซึ่งวาจาเช่นใด เมื่อจะประกาศซึ่งวาจาเช่นนั้น จึงได้กล่าวคาถาว่า
พระภิกษุชื่อว่า นิโครธกัปปะ ได้ประพฤติพรหมจรรย์ ตามปรารถนา พรหมจรรย์ไรๆ ของท่านนั้นมิได้เปล่า ท่านนิพพานด้วยสอุปาทิเสสนิพพานแล้ว หรือว่าท่านเป็นผู้นิพพานแล้วด้วยสอนุปาทิเสสนิพพาน เหมือนอย่างพระอเสขะทั้งหลาย ข้าพระองค์ทั้งหลาย จักฟังซึ่งข้อนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 324
พระวังคีสะ เรียกพระเถระชื่อว่ากัปปะนั้นแล ด้วยสามารถแห่งการบูชานั้นแหละว่า กัปปายนะ.
บทว่า ยถา วิมุตฺโต ได้แก่ พระวังคีสะทูลถามว่า พระกัปปายนเถระ นิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เหมือนอย่างพระอเสกขะทั้งหลาย หรือว่าท่านนิพพานแล้วด้วยสอุปาทิเสสนิพพานธาตุ เหมือนอย่างพระเสกขะทั้งหลาย. คำที่เหลือในคาถานี้ ซัดแล้วทั้งนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้า อันพระวังคีสะทูลขอแล้ว ด้วยคาถา ๑๒ คาถาอย่างนี้ เมื่อทรงพยากรณ์เรื่องนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า
ภิกษุชื่อว่า นิโครธกัปปะ ได้ตัดตัณหาในนามรูปนี้ ที่เป็นกระแสแห่งกัณหมาร อันนอนเนื่องแล้วสิ้นกาลนาน เธอข้ามพ้นชาติและมรณะได้ ไม่มีส่วนเหลือ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประเสริฐสุด ด้วยอินทรีย์ ๕ เป็นต้น ได้ตรัสแล้ว อย่างนี้.
เนื้อความแห่งบาทต้นในพระคาถานั้น มีดังนี้ก่อน ตัณหาอันต่างด้วยกามตัณหาเป็นต้น ในนามรูปนี้แม้ใด นอนเนื่องอยู่แล้วสิ้นกาลนาน เพราะอรรถว่าอันบุคคลละไม่ได้แล้ว ท่านเรียกว่า กระแสแห่งมาร อันได้นามว่า กัณหะ ดังนี้ก็มี. พระเถระชื่อว่ากัปปายนะ ตัดแล้วซึ่งตัณหาในนามรูปนี้ ที่นอนเนื่องอยู่สิ้นกาลนาน ซึ่งเป็นกระแสแห่งกัณหมารนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 325
ก็คำว่า อิติ ภควา นี้ ในคาถานี้ เป็นคำของพระสังคีติกาจารย์ทั้งหลาย. ด้วยบาทพระคาถาว่า อตาริ ชาติมรณํ อเสสํ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า พระกัปปายนเถระนั้นได้ตัดแล้วซึ่งตัณหานั้น ได้ข้ามแล้วซึ่งชาติและมรณะที่เหลือ ปรินิพพานแล้วด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ.
บาทพระคาถาว่า อิจฺจพฺรวี ภควา ปฺจเสฏฺโ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ประเสริฐกว่าพระปัญจวัคคีย์ผู้เป็นศิษย์รุ่นแรก ๕ องค์ ด้วยอินทรีย์ทั้ง ๕ มีศรัทธาเป็นต้น หรือด้วยธรรมทั้งหลาย มีศีลเป็นต้น. และเป็นผู้ประเสริฐด้วยพระจักษุที่ประเสริฐอย่างยิ่ง อันพระวังคีสะทูลถามแล้ว ได้ตรัสแล้วอย่างนี้. คำนี้เป็นคำของพระสังคีติกาจารย์.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว พระวังคีสะเมื่อจะชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้กล่าวคาถา เป็นต้นว่า เอส สุตฺวา ดังนี้.
ในคาถาเหล่านั้น พึงทราบวินิจฉัยคาถาที่ ๑ ดังต่อไปนี้.
บทว่า อิสิสตฺตมา ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นฤๅษีด้วยเป็นที่ ๗ ด้วย เพราะอรรถว่าสูงสุด อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำพระฤาษี ๖ พระองค์ มีพระนามว่า วิปัสสี สิขี เวสสภู กกุสันธะ โกนาคมนะ และกัสสปะ ให้พระองค์เป็นที่ ๗ ปรากฏแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงเป็นพระฤๅษีองค์ที่ ๗ พระวังคีสะเมื่อจะเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นว่าเป็นฤๅษีพระองค์ที่ ๗ จึงได้กล่าวแล้ว.
สองบทว่า น มํ วญฺเจสิ ความว่า เพราะเหตุที่พระกัปปายนเถระปรินิพพานแล้ว ฉะนั้น พระองค์จะไม่ลวง ข้าพระองค์ ผู้ปรารถนาอยู่เพื่อจะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 326
ทราบความที่พระกัปปายนเถระปรินิพพาน คือว่า ขอพระองค์อย่าได้ตรัสให้ผิด. คำที่เหลือในคาถานี้ปรากฏแล้ว.
ในคาถาที่ ๒ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :-
เพราะเหตุที่สาวกของพระพุทธเจ้า มุ่งหวังการหลุดพ้นอยู่แล้ว ฉะนั้นพระวังคีสเถระกล่าวหมายเอาเนื้อความนั้นว่า สาวกของพระพุทธเจ้าเป็นผู้กล่าวอย่างใด ก็ทำอย่างนั้น.
บาทพระคาถาว่า มจฺจุโน ชาลํ ตนฺตํ ได้แก่ ข่ายคือตัณหาของมาร ที่แผ่กว้างออกไปแล้วในวัฏฏะอันประกอบด้วยภูมิ ๓ นั้น.
บทว่า มายาวิโน ได้แก่ ผู้มีมายามาก. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ผู้มีมายาเหมือนอย่างนั้น ดังนี้ก็มี อธิบายของอาจารย์ทั้งหลายเหล่านั้นว่า มารใดเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้หลายครั้งนับไม่ถ้วน ด้วยมายาทั้งหลาย เป็นอเนกของมารนั้น คือ ผู้มีมายาเหมือนมารนั้น.
ในคาถาที่ ๓ มีวินิจฉัย ดังนี้ :-
บทว่า อาทิ ได้แก่ เหตุ. บทว่า อุปาทานสฺส ได้แก่ แห่งวัฏฏะ. จริงอยู่ วัฏฏะ ท่านกล่าวว่า เป็นอุปาทานในที่นี้ เพราะอรรถว่าอันสัตว์พึงยึดมั่น.
พระวังคีสเถระ ย่อมกล่าวด้วยประสงค์ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าควรจะตรัสอย่างนี้ว่า พระกัปปเถระได้เห็นแล้วซึ่งเหตุแห่งอุปาทานนั้นนั่นแล คือว่า ซึ่งเหตุอันต่างด้วยอวิชชาและตัณหาเป็นต้น.
บทว่า อจฺจคา วต ได้แก่ ก้าวล่วงแล้วหนอ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 327
ในคำว่า มจฺจุเธยฺยํ วิเคราะห์ว่า ที่ชื่อว่าบ่วงแห่งมาร เพราะอรรถว่าเป็นที่ตั้งแห่งมัจจุ.
คำว่า มจฺจุเธยฺยํ นี้ เป็นชื่อแห่งวัฏฏะอันเป็นไปในภูมิสาม พระวังคีสะเกิดความรู้ขึ้นแล้ว จึงกล่าวว่า พระกัปปายนเถระได้ล่วงบ่วงมารนั้น ที่ข้ามได้โดยยากหนอ คำที่เหลือในคาถานี้ชัดเจนแล้วทั้งนั้น ดังนี้แล.
จบการพรรณนานิโครธกัปปสูตร แห่งขุททกนิกาย
ชื่อ ปรมัตถโชติกา