มาฆสูตรที่ ๕ ว่าด้วยผู้ที่บูชาประสบบุญมาก
[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 454
สุตตนิบาต
มหาวรรคที่ ๓
มาฆสูตรที่ ๕
ว่าด้วยผู้ที่บูชาประสบบุญมาก
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 47]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 454
มาฆสูตรที่ ๕
ว่าด้วยผู้ที่บูชาประสบบุญมาก
[๓๖๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์ ครั้งนั้นแล มาฆมาณพเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็ข้าพระองค์เป็นทายก เป็นทานบดี ผู้รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ควรแก่การขอ ย่อมแสวงหาโภคทรัพย์โดยธรรม ครั้นแสวงหาได้แล้ว ย่อมนำโภคทรัพย์ที่ตนได้มาโดยธรรมถวายแก่ปฏิคาหก ๑ องค์บ้าง ๒ องค์บ้าง ๓ องค์บ้าง ๔ องค์บ้าง ๕ องค์บ้าง ๖ องค์บ้าง ๗ องค์บ้าง ๘ องค์บ้าง ๙ องค์บ้าง ๑๐ องค์บ้าง ๒๐ องค์บ้าง ๓๐ องค์บ้าง ๔๐ องค์บ้าง ๕๐ องค์ บ้าง ๑๐๐ องค์บ้าง ยิ่งกว่านั้นบ้าง. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์ ถวายทานอย่างนี้ บูชาอย่างนี้ จะประสบบุญมากแลหรือ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมาณพ เมื่อท่านให้อยู่อย่างนั้น บูชาอยู่อย่างนั้น ย่อมประสบบุญมากแท้ ดูก่อนมาณพ ผู้ใดแล เป็นทายก เป็นทานบดี รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ควรแก่การขอ ย่อมแสวงหาโภคทรัพย์โดยธรรม ครั้นแสวงหาได้แล้ว ย่อมนำโภคทรัพย์ที่ตนได้มาโดยธรรม ถวายแก่ปฏิคาหก ๑ องค์บ้าง ฯลฯ ๑๐๐ องค์บ้าง ยิ่งกว่านั้นบ้าง ผู้นั้นย่อมประสบบุญมาก.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 455
ครั้งนั้นแล มาฆมาณพได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
[๓๖๒] ข้าพระองค์ขอถามพระโคดม ทรงรู้ถ้อยคำ ผู้ทรงผ้ากาสายะ ไม่ยึดถืออะไรเที่ยวไป ผู้ใดเป็นคฤหัสถ์ ควรแก่การขอ เป็นทานบดี มีความต้องการบุญ มุ่งบุญ ให้ข้าวน้ำ บูชาแก่ชนเหล่าอื่นในโลกนี้ การบูชาของผู้บูชาอยู่อย่างนี้ จะพึงบริสุทธิ์ได้อย่างไร.
พ. (ดูก่อนมาฆมาณพ) ผู้ใดเป็นคฤหัสถ์ ควรแก่การขอ เป็นทานบดี มีความต้องการบุญ มุ่งบุญ ให้ข้าวน้ำบูชาแก่ชนเหล่าอื่นในโลกนี้ ผู้เช่นนั้น พึงให้ทักขิไณยบุคคลขึ้นดีได้.
ม. ผู้ใดเป็นคฤหัสถ์ ควรแก่การขอเป็นทานบดี มีความต้องการบุญ มุ่งบุญให้ข้าวน้ำบูชาแก่ตนเหล่าอื่นในโลกนี้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์ทรงบอกทักขิไณยบุคคลแก่ข้าพระองค์เถิด.
พ. ชนเหล่าใดแลไม่เกี่ยวข้อง หาเครื่องกังวลมิได้ สำเร็จกิจแล้ว มีจิตคุ้ม-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 456
ครองแล้ว เที่ยวไปในโลก พราหมณ์ผู้มุ่งบุญ พึงหลั่งไทยธรรม บูชาในชนเหล่านั้นตามกาล. ชนเหล่าใดตัดกิเลสเครื่องผูกพันคือ สังโยชน์ได้ทั้งหมด ฝึกตนแล้ว เป็นผู้พ้นเด็ดขาด ไม่มีทุกข์ ไม่มีความหวัง พราหมณ์ผู้มุ่งบุญ พึงหลั่งไทยธรรม บูชาในชนเหล่านั้นตามกาล.
ชนเหล่าใดพ้นเด็ดขาดจากสังโยชน์ทั้งหมด ฝึกตนแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นแล้ว ไม่มีทุกข์ ไม่มีความหวัง พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรม บูชาในชนเหล่านั้นตามกาล.
ชนเหล่าใดละราคะ โทสะ และโมหะได้แล้ว มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์ พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรม บูชาในชนเหล่านั้นตามกาล.
ชนเหล่าใดไม่มีมายา ไม่มีความถือตัว มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์ พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรมในชนเหล่านั้น ตามกาล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 457
ชนเหล่าใดปราศจากความโลก ไม่ยึดถืออะไรๆ ว่าเป็นของเรา ไม่มีความหวัง มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์ พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรมบูชาในชนเหล่านั้นตามกาล.
ชนเหล่าใดแล ไม่น้อมไปในตัณหาทั้งหลาย ข้ามโอฆะได้แล้ว ไม่ยึดถืออะไรๆ ว่าเป็นของเรา เที่ยวไปอยู่ พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรมบูชาในชนเหล่านั้นตามกาล.
ชนเหล่าใดไม่มีตัณหาเพื่อเกิดในภพใหม่ ในโลกไหนๆ คือ ในโลกนี้หรือในโลกอื่น พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรมบูชาในชนเหล่านั้นตามกาล.
ชนเหล่าใดละกามทั้งหลายได้แล้ว ไม่ยึดถืออะไรเที่ยวไป มีตนสำรวมดีแล้ว เหมือนกระสวยที่ตรงไป ฉะนั้น พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรมบูชาในชนเหล่านั้นตามกาล.
ชนเหล่าใดปราศจากความกำหนัด มีอินทรีย์ตั้งมั่นดีแล้ว พ้นจาการจับแห่งกิเลส เปล่งปลั่งอยู่ เหมือนพระจันทร์ พ้นแล้วจากราหูจับ สว่างไสวอยู่ฉะนั้น พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรมบูชาในชนเหล่านั้นตามกาล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 458
ชนเหล่าใดมีกิเลสสงบแล้ว ปราศจากความกำหนัด เป็นผู้ไม่โกรธ ไม่มีคติ เพราะละขันธ์อันเป็นไปในโลกนี้ได้เด็ดขาด พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรมบูชาในชน เหล่านั้นตามกาล.
ชนเหล่าใดละชาติและมรณะไม่มีส่วนเหลือ ล่วงพ้นความสงสัยได้ทั้งปวง พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรมบูชาในชนเหล่านั้นตามกาล.
ชนเหล่าใดมีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีเครื่องกังวล หลุดพ้นแล้วในธรรมทั้งปวง เที่ยวไปอยู่ในโลก พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรมบูชาในชนเหล่านั้นตามกาล.
ชนเหล่าใดแล ย่อมรู้ในขันธ์และอายตนะเป็นต้นตามความเป็นจริงว่า ชาตินี้มีในที่สุด ภพใหม่ไม่มี ดังนี้ พราหมณ์พึงหลั่งไทยธรรมบูชาในชนเหล่านั้นตามกาล.
ชนเหล่าใดเป็นผู้ถึงเวท ยินดีในฌาน มีสติ บรรลุธรรมเครื่องตรัสรู้ดี เป็นที่พึ่งของเทวดาและมนุษย์เป็นอันมาก พราหมณ์ผู้มุ่งบุญพึงหลั่งไทยธรรมบูชาในชนเหล่านั้นตามกาล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 459
ม. คำถามของข้าพระองค์ไม่เปล่าประโยชน์แน่นอน ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ตรัสบอกทักขิไณยบุคคลแก่ข้าพระองค์แล้ว ก็พระองค์ย่อมทรงทราบไญยธรรมนี้ ในโลกนี้โดยถ่องแท้ จริงอย่างนั้น ธรรมนี้พระองค์ทรงทราบแจ่มแจ้งแล้ว ผู้ใดเป็นคฤหัสถ์ เป็นผู้ควรแก่การขอเป็นทานบดี มีความต้องการบุญ มุ่งบุญ ให้ข้าวน้ำบูชาแก่ชนเหล่าอื่นในโลกนี้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์ตรัสบอกความถึงพร้อมแห่งยัญแก่ข้าพระองค์.
พ. ดูก่อนมาฆะ เมื่อท่านจะบูชาก็จงบูชาเถิด และจงทำจิตให้ผ่องใสในกาลทั้งปวง เพราะยัญย่อมเป็นอารมณ์ของบุคคลผู้บูชายัญ บุคคลตั้งมั่นในยัญนี้แล้ว ย่อมละโทสะเสียได้.
อนึ่ง บุคคลผู้นั้น ปราศจากความกำหนัดแล้ว พึงกำจัดโทสะ เจริญเมตตาจิต อันประมาณมิได้ ไม่ประมาทแล้วเนืองๆ ทั้งกลางคืนกลางวัน ย่อมแผ่อัปปมัญญาภาวนาไปทั่วทิศ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 460
ม. ใครย่อมบริสุทธิ์ ใครย่อมหลุดพ้น และใครยังติดอยู่ บุคคลจะไปพรหมโลกได้ด้วยอะไร ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นมุนี ข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอพระองค์โปรดตรัสบอกแก่ข้าพระองค์ผู้ไม่รู้ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพรหม ข้าพระองค์ขออ้างเป็นพยานในวันนี้ เพราะพระองค์เป็นผู้เสมอด้วยพรหมของข้าพระองค์จริงๆ (ข้าแต่พระองค์ผู้มีความรุ่งเรือง) บุคคลจะเข้าถึงพรหมโลกได้อย่างไร.
พ. (ดูก่อนมาฆะ) ผู้ใดย่อมบูชายัญ ครบทั้ง ๓ อย่าง ผู้เช่นนั้นพึงให้ทักขิไณยบุคคลทั้งหลายยินดีได้ เราย่อมกล่าวผู้นั้นว่า เป็นผู้ควรแก่การขอ ครั้นบูชาโดยชอบอย่างนั้นแล้ว ย่อมเข้าถึงพรหมโลก.
[๓๖๓] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว มาฆมาณพได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ ขอพระองค์ทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.
จบมาฆสูตรที่ ๕
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 461
อรรถกถามาฆสูตรที่ ๕
มาฆสูตร มีคำเริ่มต้นว่า อวมฺเม สุตํ ดังนี้.
ถามว่า พระสูตรนี้มีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
ตอบว่า เหตุที่เกิดนี้ท่านกล่าวไว้แล้วในนิทานแห่งมาฆสูตรนั้น.
มีเรื่องย่อว่า มาฆมาณพนี้เป็นทายก เป็นทานบดี. เขาได้มีความวิตกว่าทานที่ให้แก่คนกำพร้าและคนเดินทางที่มาถึงจะเป็นทานมีผลมากหรือไม่หนอ เราจักทูลถามความนี้กะพระสมณโคดม ข่าวว่าพระสมณโคดมทรงทราบอดีต อนาคต และปัจจุบัน เขาจึงเข้าไปถามพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์สมควรแก่คำถามของเขา พระสูตรนี้รวบรวมคำของสามท่าน คือ ของพระสังคีติกาจารย์ ของพราหมณ์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วเรียกว่า มาฆสูตร.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ราชคเห คือในนครมีชื่ออย่างนั้น. นครนั้น เรียกว่าราชคฤห์เพราะถูกพระเจ้ามันธาตุ และหาโควินทะยึดครองไว้ แม้อาจารย์พวกอื่นก็พรรณนาไว้ในทำนองนี้. พรรณนาไว้อย่างไร. นี้เป็นชื่อของนครนั้น. ก็นครนี้นั้นเป็นนครครั้งพุทธกาล และครั้งจักรพรรดิกาล. ในกาลที่เหลือเป็นนครว่างเปล่าถูกยักษ์ครอง เป็นป่าอันเป็นที่อยู่ของยักษ์เหล่านั้น. พระอานนท์แสดงถึงโคจรคามอย่างนี้แล้วจึงกล่าวถึงที่ประทับว่า คิชฺฌกูเกฏ ปพฺพเต ณ ภูเขาคิชฌกูฎ. พึงทราบว่าแร้งอาศัยอยู่บนยอดภูเขานั้น หรือยอดภูเขานั้นคล้ายแร้ง ฉะนั้น จึงเรียกภูเขานั้นว่า คิชฌกูฎ ดังนี้,
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 462
บทว่า มาโฆ ในบทนี้ว่า อถ โข ฯเปฯ อโวจ นี้ เป็นชื่อของพราหมณ์นั้น ท่านเรียกว่ามาณพ เพราะเป็นผู้อาศัยอยู่ภายในสำนัก. แต่โดยชาติเป็นผู้ใหญ่. อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่าเป็นผู้ใหญ่ด้วยการประพฤติชอบมาก่อน. เหมือนปิงคิยมาณพ ด้วยว่าปิงคิยะนั้นแม้มีอายุ ๑๒๐ ปี ด้วยการประพฤติชอบมาก่อนก็ยังเรียกว่ามาณพอยู่นั่นเอง. บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้ว.
บทว่า ทายโก ทานปติ ในบทว่า อหํ หิ โภ ฯเปฯ ปสวามิ นี้ ได้แก่ เป็นทั้งทายกและเป็นทั้งทานบดี. ก็ผู้ใดถูกเขาชักชวนให้ให้ของของผู้อื่น ผู้นั้นก็เป็นทายกแต่ไม่เป็นทานบดี เพราะไม่เป็นใหญ่ในทานนั้น. แต่มาฆมาณพนี้ให้ของของตนเท่านั้น ด้วยเหตุนั้นมาฆมาณพจึงกล่าวว่า ข้าพระองค์เป็นทั้งทายก เป็นทั้งทานบดี. นี้เป็นอธิบายในบทนั้น. ควรจะกล่าวโดยนัยมีอาทิว่า ผู้ที่ถูกความตระหนี่ครอบงำ ในระหว่างๆ เป็นทายก ผู้ไม่ถูกครอบงำเป็นทานบดี. บทว่า วทญฺญู คือข้าพระองค์รู้คำของผู้ขอ เพียงเขาพูดเท่านั้นก็รู้ว่าผู้นี้ควรแก่สิ่งนี้ ผู้นี้ควรให้สิ่งนี้ด้วยการรับรองความเป็นบุรุษวิเศษ หรือด้วยการรับว่าเป็นผู้มีอุปการะมาก. บทว่า ยาจโยโค คือควรเพื่อจะขอ. มาฆมาณพกล่าวว่าผู้ใดเห็นยาจกแล้วทำหน้าสยิ่วย่อมกล่าวคำหยาบ เป็นต้น ผู้นั้นไม่ชื่อว่าเป็นผู้ควรเพื่อขอ แต่ข้าพระองค์นี้ได้เป็นเช่นนั้น. บทว่า ธมฺเมน ความว่า เว้นการลัก การฉ้อโกง และการลวงเป็นต้น เพื่อภิกษาจาร เพื่อขอ. ก็การขอของพราหมณ์และธรรมของพราหมณ์ผู้ขอด้วยการแสวงหา โภคทรัพย์ โภคทรัพย์ทีผู้ประสงค์จะอนุเคราะห์ให้แก่พราหมณ์เหล่านั้น ชื่อว่าได้มาแล้วโดยธรรมและบรรลุแล้วโดยธรรม ก็มาฆมาณพนั้นแสวงหาอย่างนั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 463
ได้แล้ว. ด้วยเหตุนั้นมาฆมาณพจึงกล่าวว่า ธมฺเมน โภเค ปริเยสามิ ฯเปฯ ธมฺมาธิคเตหิ ข้าพระองค์แสวงหาโภคทรัพย์โดยธรรม ครั้นแสวงหาได้แล้ว ย่อมนำโภคทรัพย์ที่ตนได้มาโดยธรรมถวายแก่ปฏิคาหก ดังนี้. บทว่า ภิยฺโยปิ ททามิ ความว่า มาฆมาณพชี้แจงว่า ข้าพระองค์ถวายยิ่งกว่านั้นบ้าง ไม่มีจำกัด ข้าพระองค์จะถวายตามจำนวนโภคทรัพย์ที่ได้มา. บทว่า ตคฺฆ เป็นนิบาตลงในคำส่วนเดียว. จริงอยู่ทานอันพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายสรรเสริญแล้วโดยส่วนเดียวเท่านั้น แม้โดยที่สุดให้แก่เดียรัจฉาน. สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า สพฺพตฺถ วณฺณิตํ ทานํ น ทานํ ครหิตํ กวฺจิ ความว่า ทานท่านสรรเสริญในที่ทั้งปวง ทานท่านไม่ติเตียนในที่ไหนๆ. เพราะฉะนั้นแม้พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงสรรเสริญทานนั้นโดยส่วนเดียวจึงตรัสว่า ตคฺฆ ตฺวํ มาณว ฯเปฯ ปสวสิ ความว่า ดูก่อนมาณพ ผู้ใดแลเป็นทายก เป็นทานบดี รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ควรแก่การขอ ย่อมแสวงหาโภคทรัพย์โดยธรรม ครั้นได้โภคทรัพย์โดยธรรมแล้วย่อมนำโภคทรัพย์ที่ตนได้มาโดยธรรมถวายแก่ปฏิคาหก ๑ องค์บ้าง ฯลฯ ๑๐๐ องค์บ้าง ยิ่งกว่านั้นบ้าง ผู้นั้นย่อมประสบบุญมาก. บทที่เหลือมีความง่ายทั้งนั้น.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พหุํ โส ปุญฺํ ปวสติ ผู้นั้นย่อมประสบบุญมาก ดังนี้ พราหมณ์ประสงค์จะฟังทักษิณาวิสุทธิ (ความหมดจดแห่งทักษิณา) จากทักขิไณยบุคคล จึงทูลพระผู้มีพระภาคเจ้ายิ่งขึ้นไป ด้วยเหตุนั้นพระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า อถโข มาโฆ มาณโว ภควนฺตํ คาถาย อชฺฌภาสิ ครั้งนั้นแล มาฆมาณพได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถา. บทนั้นมีนัยดังกล่าวแล้วโดยความนั้นแล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 464
พึงทราบวินิจฉัยในคาถาต้นว่า ปุจฺฉามหํ ข้าพระองค์ขอทูลถาม. บทว่า วทญฺญุํ ได้แก่ผู้รู้ถ้อยคำ. ท่านอธิบายว่า รู้ความประสงค์ของคำที่สัตว์ทั้งหลายพูดทุกอย่าง. บทว่า สุชฺเฌ ได้แก่ พึงบริสุทธิ์ คือพึงมีผลมากด้วยอำนาจทักขิไณยบุคคล. แต่ในบทนี้โยชนาแก้ว่า มาฆมาณพกราบทูลว่า ผู้ใดเป็นคฤหัสถ์ควรแก่การขอ เป็นทานบดี มีความต้องการบุญให้ข้าวน้ำบูชาแก่ชนเหล่าอื่น ไม่ใส่เพียงเครื่องบูชาในไฟ แต่มุ่งบุญเท่านั้น ไม่มุ่งการตอบแทนกิตติศัพท์อันงามเป็นต้น การบูชาของผู้นั้นผู้บูชาอย่างเห็นปานนี้จะพึงบริสุทธิ์ได้อย่างไร. บทว่า อาราธเย ทกฺขิเณยฺเยหิ ตาทิ ผู้เช่นนั้นพึงให้ทักขิไณยบุคคลยินดีได้ความว่า ผู้ควรแก่การขอเช่นนั้นพึงให้ทักขิไณยบุคคลยินดีพอใจบริสุทธิ์ใจ พึงทำการบูชาให้มีผลมากไม่ใช่อย่างอื่น. ด้วยบทนี้เป็นอันพยากรณ์ บทว่า การ บูชาของผู้บูชานี้พึงบริสุทธิ์ได้อย่างไร. ในบทว่า อกฺขาหิ เม ภควา ทกฺขิเณยฺเย นี้ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรงบอกทักขิไณยบุคคลแก่ข้าพระองค์เถิดนี้ พึงทราบโยชนาอย่างนี้ว่า ผู้ใดควรแก่การขอให้อยู่ย่อมบูชาแก่คนอื่น ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรงบอกทักขิไณยบุคคลของผู้นั้นแก่ข้าพระองค์เถิด.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงประกาศทักขิไณยบุคคลแก่มาฆมาณพนั้นโดยนัยหลายประการ ได้ตรัสพระคาถามีอาทิว่า เย เว อลคฺคา ชนเหล่าใดแลไม่เกี่ยวข้อง ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อลคฺคา คือไม่เกี่ยวข้องด้วยเครื่องเกี่ยวข้องมีราคะเป็นต้น. บทว่า เกวลิโน คือมีกิจที่ต้องทำเสร็จแล้ว. บทว่า ยตตฺตา คือ มีจิตคุ้มครองแล้ว ฝึกฝนแล้วด้วยการฝึกอย่างยอดเยี่ยม พ้นเด็ดขาดแล้วด้วย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 465
ปัญญาเจโตวิมุตติ. ไม่มีความทุกข์ เพราะไม่มีทุกข์ในวัฏฏะต่อไป ไม่มีความหวังเพราะไม่มีทุกข์ในปัจจุบัน. พึงทราบว่า ท่านกล่าวคาถาที่สองแห่งคาถานี้ โดยวิธีที่จะประกาศอานุภาพของภาวนา. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุประกอบด้วยการประกอบการภาวนาเนืองๆ อยู่ แม้จะไม่พึงเกิดความปรารถนาอย่างนี้ว่า ไฉนหนอจิตของเราพึงพ้นจากอาสวะทั้งหลายไม่ยึดมั่น ดังนี้ก็จริง ถึงดังนั้น จิตของภิกษุนั้นก็ย่อมพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ยึดมั่น นี้เป็นสูตรตัวอย่างในบทนี้.
บทว่า ราคญฺจ ฯเปฯ เยสุ น มายา ฯเปฯ น ตณฺหาสุ อุปาติปนฺ นา ชนเหล่าใดละราคะโทสะและโมหะได้แล้ว มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์ ฯลฯ ชนเหล่าใดไม่น้อมไปในตัณหาทั้งหลาย ความว่า เป็นผู้ไม่น้อมไปในกามตัณหาเป็นต้น. บทว่า วิตเรยฺย แปลว่า ข้ามแล้ว. บทว่า ตณฺหา ได้แก่ ตัณหา ๖ อย่าง มีรูปตัณหาเป็นต้น. บทว่า ภวาภวาย ได้แก่ สัสสตทิฏฐิ หรืออุจเฉททิฏฐิ. อีกอย่างหนึ่ง เพื่อความไม่มีแห่งภพชื่อว่า ภวาภวาย. ท่านอธิบายว่า เพื่อเกิดในภพใหม่. ก็บทว่า อิธ วา หุรํ วา ในโลกนี้หรือในโลกอื่น นี้เป็นคำพิสดารของบทนี้ว่า กุหิญฺจิ โลเก ในโลกไหน. บทว่า เย วีตราคา ฯเปฯ สมิตาวิโน ชนเหล่าใดปราศจากกำหนัด มีอินทรีย์ตั้งมั่นแล้ว ฯลฯ ชนเหล่าใดมีกิเลสสงบแล้ว อธิบายว่า เป็นผู้สงบ คือมีกิเลสสงบแล้ว. อนึ่ง ชื่อว่าเป็นผู้ปราศจากความกำหนัด เป็นผู้ไม่โกรธเพราะมีกิเลสสงบแล้ว. บทว่า อิธ วิปฺปหาย ท่านอธิบายว่า เพราะละขันธ์อันเป็นไปในโลกนี้แล้ว จากนั้นก็ไม่มีการไปสู่โลกใดอีก. ต่อจากนี้ไป อาจารย์บางพวกกล่าวคาถานี้ว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 466
เย กาเม หิตฺวา อคหา จรนฺติ สุสํยตตฺตา ตสรํว อุชฺชุ.
ชนเหล่าใดละกามได้แล้วไม่ยืดถือ อะไรเที่ยวไป มีตนสำรวมดีแล้ว เหมือนกระสวยที่พุ่งตรงไปฉะนั้น.
บทว่า ชเหตฺวา แปลว่า ละแล้ว. บาลีว่า ชหิตฺวา บ้าง. ความก็อย่างเดียวกัน. บทว่า อตฺตทีปา ท่านกล่าวถึงพระขีณาสพทำที่พึ่งของตนเที่ยวไปในคุณของตน. ห อักษรในบทว่า เย เหตฺถ เป็นนิบาตในอรรถเพียงทำบทให้เต็ม. ข้อนี้มีอธิบายว่า ชนเหล่าใดรู้ความสืบต่อแห่งขันธ์และอายตนะเป็นต้นตามความเป็นจริงว่า นี้คือขันธ์และนี้คืออายตนะ เมื่อรู้สภาวะตามความเป็นจริงด้วยสามารถแห่งความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น ย่อมรู้อย่างนี้ว่า อยมนฺ ติมา นตฺถิ ปุนพฺภโว ชาตินี้มีในที่สุด ภพใหม่ไม่มีดังนี้ อธิบายว่า ชาติของเราทั้งหลายนี้มีในที่สุด บัดนี้ภพใหม่ไม่มี. บทว่า โย เวทคู ชนใดเป็นผู้ถึงเวท พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถานี้หมายถึงพระองค์ในบัดนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สตีมา มีสติ คือประกอบด้วยสติอันเป็นวิหารธรรมเนืองนิตย์ ๖ อย่าง. บทว่า สมฺโพธิปตฺโต คือบรรลุสัพพัญญุตญาณ. บทว่า สรณํ พหุนฺนํ คือเป็นที่พึ่งของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเป็นอันมาก ให้พ้นจากความกลัวและการเบียดเบียน.
พราหมณ์ครั้นได้ฟังทักขิไณยบุคคลอย่างนี้แล้วชอบใจ กราบทูลว่า อทฺธา อโมฆา คำถามของข้าพระองค์ไม่เปล่าประโยชน์แน่นอน.
ในบทเหล่านั้น บทว่า ตฺวญฺเหตฺถ ชานาสิ ยถา ตถา อิทํ พระองค์ทรงทราบไญยธรรมนี้ในโลกนี้อย่างถ่องแท้ ความว่า จริงอยู่พระองค์ทรง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 467
ทราบไญยธรรมนี้ทั้งหมดในโลกนี้อย่างถ่องแท้ คือทรงทราบตามความเป็นจริง. อีกอย่างหนึ่ง ท่านอธิบายว่า ทรงทราบไญยธรรมเป็นเช่นนั้นนั่นเอง. บทว่า ตถา หิ เต วิทิโต เอส ธมฺโม จริงอย่างนั้นธรรมนี้พระองค์ทรงทราบอย่างแจ่มแจ้งแล้ว คือ จริงอย่างนั้นธรรมธาตุนี้พระองค์ทรงแทงตลอดแล้ว อธิบายว่า พระองค์ทรงทราบธรรมธาตุที่พระองค์ทรงปรารถนาเพราะพระองค์ แทงตลอดแล้ว.
พราหมณ์นั้นเลื่อมใสพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นอย่างนี้แล้ว ครั้นรู้ความสมบูรณ์แห่งยัญ ด้วยความสมบูรณ์แห่งทักขิไณยบุคคลแล้ว ประสงค์จะฟังความสมบูรณ์แห่งยัญอันบริบูรณ์ด้วยองค์ ๖ นั้น ด้วยความสมบูรณ์แห่งทายก จึงทูลถามปัญหายิ่งขึ้นว่า ยาจโยโค ผู้ควรแก่การขอดังนี้.
ในบทนั้นโยชนาแก้ว่า ผู้ใดเป็นผู้ควรแก่การขอให้ (ข้าวน้ำ) บูชาแก่เพื่อน. ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงตรัสบอกความสมบูรณ์แห่งยัญของผู้นั้นแก่ข้าพระองค์เถิด. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงบอกแก่เขาด้วยคาถาสองคาถา.
ในคาถานั้นโยชนาแก้ว่า ดูก่อนมาฆะ เมื่อท่านจะบูชาก็จงบูชาเถิด และจงทำจิตให้ผ่องใสในกาลทั้งปวง คือจงทำให้ผ่องใส ในกาลทั้ง ๓. ท่านกล่าวถึงความสมบูรณ์แห่งยัญไว้ว่า
ปุพฺเพว ทานา สุมโน ททํ จิตฺตํ ปสาทเย ทตฺวา อตฺตมโน โหติ เอสา ยญฺสฺส สมฺปทา
ก่อนให้ มีใจผ่องใส ขณะให้ จิตก็ผ่องใส ครั้นให้แล้ว ก็ชื่นใจ นี้คือความสมบูรณ์แห่งยัญ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 468
ยัญจักสมบูรณ์ด้วยความสมบูรณ์แห่งยัญนั้น ในข้อนั้นพึงมีคำถามว่า พึงทำจิตให้ผ่องใสได้อย่างไร?
ตอบว่า ด้วยการละโทสะ. ละโทสะได้อย่างไร? ด้วยการยึดยัญเป็นอารมณ์. อธิบายว่าก็เมื่อบูชายึดยัญเป็นอารมณ์ตั้งอยู่ในยัญนั้นละโทสะเสีย เมื่อบูชามีจิตกำจัดความมืดคือโมหะเอาสัมมาทิฏฐิเป็นดวงประทีป มีเมตตาในสัตว์ทั้งหลายเป็นตัวนำ ยัญคือไทยธรรมนี้เป็นอารมณ์ บุคคลนั้นตั้งมั่นในยัญนี้ ด้วยการยึดเป็นอารมณ์ ย่อมละโลภะ อันมีไทยธรรมเป็นปัจจัย ย่อมละความ โกรธ อันมีปฏิคาหกเป็นปัจจัย ย่อมละโมหะ อันมีโลภะและโกรธทั้งสองเป็นเหตุ ดังนั้น ชื่อว่าย่อมละโทษแม้ ๓ อย่าง ด้วยประการฉะนี้. บุคคลนั้นเป็นผู้ปราศจากความกำหนดในโภคทรัพย์อย่างนี้ พึงกำจัดโทษในสัตว์ทั้งหลาย ละนิวรณ์ ๕ ได้ด้วยการกำจัดโทษนั้นนั่นเอง เจริญเมตตาจิตอันหาประมาณมิได้ อันมีประเภทเป็นอุปจาระและอัปปนาโดยลำดับ ด้วยการแผ่ไปยังสัตว์ ไม่มีประมาณ หรือด้วยการแผ่เมตตาไม่มีส่วนเหลือในสัตว์ตัวเดียว เป็นผู้ไม่ประมาทในอิริยาบถทั้งหมดเนืองๆ ทั้งกลางวันกลางคืนเพื่อความไพบูลย์แห่งภาวนาต่อไป ย่อมแผ่อัปปมัญญาภาวนา อันได้แก่เมตตาฌานนั้นแลไปทั่วทิศ.
ลำดับนั้น พราหมณ์ไม่รู้เมตตานี้ว่า นี้เป็นทางแห่งพรหมโลก ครั้นสดับเมตตาภาวนาอันเป็นวิสัยในอดีตของคนอย่างเดียว ยิ่งมีความสรรเสริญในพระสัพพัญญูในพระผู้มีพระภาคเจ้ายิ่งขึ้น เพราะตนเองน้อมไปในพรหมโลก จึงสำคัญว่า การเกิดในพรหมโลกเท่านั้นเป็นความบริสุทธิ์และความพ้น เมื่อ จะทูลถามถึงทางไปพรหมโลกจึงกล่าวคาถาว่า โก สุชฺฌตี ใครย่อมบริสุทธิ์ ดังนี้เป็นต้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 469
ก็ในคาถานั้น พราหมณ์กล่าวว่า โก สุชฺฌตี มุญฺจติ ใครย่อมบริสุทธิ์ ใครย่อมหลุดพ้น หมายถึงผู้ทำบุญเพื่อไปพรหมโลก กล่าวว่า พชฺฌตี จ และยังติดอยู่ หมายถึงผู้ไม่กระทำบุญเพื่อไปพรหมโลก. บทว่า เกนตฺตนา คือด้วยเหตุอะไร. บทว่า สิกฺขิ พฺรหฺมชฺช ทิฏฺโ ข้าพระองค์ขออ้างเป็นพยานในวันนี้ ความว่า วันนี้อ้างพรหมเป็นพยาน. บทว่า สจฺจํ ได้แก่ พราหมณ์ปรารภความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้เสมอด้วยพรหม จึงตั้งคำถามด้วยความเคารพยิ่ง. บทว่า กถํ อุปฺปาชฺชติ บุคคลเข้าถึงพรหมได้อย่างไร พราหมณ์ถามซ้ำอีกด้วยความเคารพยิ่ง. บทว่า ชุติมา ผู้มีความรุ่งเรือง พราหมณ์เรียกพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ในคาถานั้นมีอธิบายดังนี้ เพราะภิกษุใดยังฌาน ๓ และ ๔ (๑) ให้เกิดด้วยเมตตา ทำฌานนั้นให้เป็นบาท แล้วเห็นแจ้งย่อมบรรลุพระอรหัต ภิกษุนั้นชื่อว่าย่อมบริสุทธิ์ และย่อมหลุดพ้น ทั้งภิกษุเช่นนั้นไม่ไปพรหมโลก แก่ภิกษุใดยังฌาน ๓ และ ๔ ให้เกิดด้วยเมตตา พอใจฌานนั้นโดยนัยเป็นต้นว่า สนฺตา เอสา สมาปตฺติ สมาบัตินี้มีอยู่ดังนี้ ภิกษุนั้นชื่อว่ายังติดอยู่ อนึ่งเมื่อฌานยังไม่เสื่อมย่อมไปสู่พรหมโลกด้วยฌานนั้น ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงเห็นด้วยกับการไปพรหมโลก จึงไม่ทรงแตะต้องถึงบุคคลผู้บริสุทธิ์ ผู้หลุดพ้น เมื่อจะทรงแสดงถึงการไปพรหมโลกด้วยฌานนั้นแก่พราหมณ์ผู้ยังติดอยู่ จึงตรัสคาถานี้ว่า โย ยชติ ผู้ใดย่อมบูชา ดังนี้เป็นต้น โดยนัยอันเป็นที่สบายแก่พราหมณ์.
ในบทเหล่านั้นบทว่า ติวิธํ ครบ ๓ อย่าง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส หมายถึงความเลื่อมใสตลอด ๓ กาล. ด้วยบทนั้น แสดงถึงองค์ ๓ ของทายก.
๑. หมายถึง ฌานที่ ๑ ถึงฌานที่ ๓ ในจตุกกนัย และ ฌานที่ ๑ ถึงฌานที่ ๔ ในปัญจกนัย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 470
บทว่า อาราธเย ทกฺขิเณยฺเยภิ ตาทิ ผู้เช่นนั้นพึงให้ทักขิไณยบุคคลทั้งหลายยินดี ความว่า ผู้เช่นนั้นคือบุคคลผู้ยังความถึงพร้อมด้วยยัญ ๓ อย่างให้สำเร็จ พึงยังความถึงพร้อมด้วย ๓ อย่างให้สำเร็จ คือ ให้สมบูรณ์ด้วยทักขิไณยบุคคลคือพระขีณาสพ. ด้วยบทนี้ท่านแสดงถึงองค์ ๓ ของปฏิคาหก. บทว่า เอวํ ยชิตฺวา สมฺมา ยาจโยโค ครั้นบูชาอย่างนั้นโดยชอบแล้ว ผู้นั้นเป็นผู้ควรแก่การขอ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังพราหมณ์ให้เกิดความอุตสาหะว่า เรากล่าวผู้นั้นว่าเป็นผู้ควรแก่การขอ ครั้นบูชายัญอันถึงพร้อมด้วย องค์ ๖ มีเมตตาฌานเป็นปทัฏฐานโดยชอบแล้วอย่างนี้ ย่อมเข้าถึงพรหมโลกด้วยเมตตาฌาน อันเข้าไปอาศัยยัญที่ประกอบด้วยองค์ ๖ นั้นแล้ว ทรงยังเทศนาให้จบบริบูรณ์. บทที่เหลือในคาถาทั้งหมด มีความง่ายทั้งนั้นแล. อนึ่ง ต่อจากนี้ไป ก็มีนัยดังกล่าวแล้วในตอนก่อนนั่นแล.
จบอรรถกถามาฆสูตรที่ ๕ แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย
ชื่อ ปรมัตถโชติกา