เลสสูตรที่ ๗ ว่าด้วยความเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 513
สุตตนิบาต
มหาวรรคที่ ๓
เลสสูตรที่ ๗
ว่าด้วยความเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 47]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 513
เลสสูตรที่ ๗
ว่าด้วยความเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
[๓๗๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้.
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปในชนบทชื่ออังคุตตราปะ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์จำนวนมากประมาณ ๑,๒๕๐ รูป เสด็จถึงอาปณนิคมของชาวอังคุตตราปะ.
เกณิยชฎิลได้สดับข่าวมาว่า พระสมณโคดมศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยสกุส เสด็จจาริกไปในชนบทชื่ออังคุคคราปะ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป เสด็จถึงอาปณหิคมตามลำดับ ก็กิตติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมพระองค์นั้นแล ขจรไปแท้อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ฯลฯ ทรงเบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม พระองค์ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งเองแล้วทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม พระองค์ทรงแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์ปานนั้น ย่อมเป็นความดีแล.
ครั้งนั้นแล เกณิยชฎิลเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้สนทนาปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้เกณิยชฏิลเห็นแจ้ง ให้สมาทานอาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 514
ลำดับนั้น เกณิยชฎิล อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงให้เห็นแจ้งให้สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ขอพระโคดมผู้เจริญ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ทรงรับภัตของข้าพระองค์เสวยในวันพรุ่งนี้ พระเจ้าข้า.
[๓๗๔] เมื่อเกณิยชฎิลกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะเกณิยชฎิลว่า ดูก่อนเกณิยะ ภิกษุสงฆ์มีมากถึง ๑,๒๕๐ รูป อนึ่ง ท่านก็เลื่อมใสในพวกพราหมณ์ยิ่งนัก.
แม้ครั้งที่ ๒ เกณิยชฎิลก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภิกษุสงฆ์มีมากถึง ๑,๒๕๐ รูป ทั้งข้าพระองค์เป็นผู้เลื่อมใสในพวกพราหมณ์ก็จริง ถึงอย่างนั้นก็ขอพระโคดมผู้เจริญพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ทรงรับภัตของข้าพระองค์เพื่อเสวยในพรุ่งนี้... แม้ครั้งที่ ๓ เกณิยชฎิล... พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงรับนิมนต์ด้วยดุษณีภาพ.
ลำดับนั้นแล เกณิยชฎิลทราบว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์แล้ว ลุกจากอาสนะ เข้าไปสู่อาศรมของตนแล้ว เรียกมิตรอำมาตย์และญาติสายโลหิตทั้งหลายมากล่าวว่า มิตรอำมาตย์ และญาติสาโลหิตผู้เจริญทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า ข้าพเจ้านิมนต์พระสมณโคดมพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เพื่อเสวยภัตในวันพรุ่งนี้ ขอท่านทั้งหลายช่วยข้าพเจ้าขวนขวายด้วยกาย พวกมิตร อำมาตย์และญาติ สาโลหิตทั้งหลายของเกณิยชฎิลรับคำแล้ว บางพวกขุดเตา บางพวกผ่าฟืน บางพวกล้างภาชนะ บางพวกช่วยตั้งหม้อน้ำ บางพวกปูอาสนะ ส่วนเกณิยชฎิลตกแต่งโรงปะรำเอง.
[๓๗๕] ก็สมัยนั้นแล เสลพราหมณ์อาศัยอยู่ในอาปณนิคม เป็นผู้รู้จบไตรเพทพร้อมทั้งคัมภีร์นิฆัณฑุและคัมภีร์เกตุภะ พร้อมทั้งประเภทอักษร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 515
มีคัมภีร์อิติหาสะเป็นที่ ๕ เป็นผู้เข้าใจตัวบท เข้าใจไวยากรณ์ ชำนาญในคัมภีร์โลกายตะ และตำราทำนายมหาปุริสลักษณะ ทั้งบอกมนต์แก่มาณพ ๓๐๐ คนด้วย ก็สมัยนั้น เกณิยชฏิลเป็นผู้เลื่อมใสในเสลพราหมณ์ยิ่งนัก.
ครั้งนั้นแล เสลพราหมณ์แวดล้อมด้วยมาณพ ๓๐๐ คน เดินเที่ยวพักผ่อนอยู่ ได้เข้าไปสู่อาศรมของเกณิยชฎิล ได้เห็นคนบางพวกขุดเตา ฯลฯ บางพวกปูอาสนะ ในอาศรมของเกณิยชฎิล ส่วนเกณิยชฎิลตกแต่งโรงปะรำเอง ครั้นแล้วได้ถามเกณิยชฎิลว่า ท่านเกณิยะผู้เจริญ จักมีอาวาหะ วิวาหะหรือเตรียมจัดมหายัญหรือ หรือท่านได้ทูลเชิญเสด็จพระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่า พิมพิสารจอมทัพ พร้อมทั้งรี้พล เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้.
เกณิยชฎิลตอบว่า ท่านเสละผู้เจริญ อาวาหะหรือวิวาหะจะมีแก่ข้าพเจ้า ก็หามิได้ แม้พระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าพิมพิสารจอมทัพ พร้อมทั้งรี้พล ข้าพเจ้าก็มิได้ทูลเชิญเพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้ แต่ข้าพเจ้าจัดมหายัญ. พระสมณโคดมผู้ศากยบุตร ทรงผนวชจากศากยสกุล เสด็จจาริกไปในชนบทชื่ออังคุตตราปะพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป เสด็จถึงอาปณนิคม ตามลำดับ ก็กิตติศัพท์อันงามของท่านพระโคดมนั้นแล ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ฯลฯ ทรงเบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม ดังนี้ ข้าพเจ้านิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เพื่อเสวยภัตในวันพรุ่งนี้.
ส. ท่านเกณิยะผู้เจริญ ท่านกล่าวว่า พุทโธ หรือ.
ก. ท่านเสสะผู้เจริญ ข้าพเจ้ากล่าวว่า พุทโธ.
ส. ท่านเกณิยะผู้เจริญ ท่านกล่าวว่า พุทโธ หรือ.
ก. ท่านเสละผู้เจริญ ข้าพเจ้ากล่าวว่า พุทโธ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 516
ลำดับนั้นแล เสลพราหมณ์ดำริว่า แม้เสียงประกาศว่า พุทโธ หาได้ยากในโลก พระมหาบุรุษผู้ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ซึ่งมาในมนต์ของพวกเรา ย่อมมีคติเป็นสองเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่น คือ ถ้าอยู่ครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม เป็นธรรมราชา เป็นใหญ่ในแผ่นดินมีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคง ทรงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คฤหบดีแก้ว ปริณายกแก้วเป็นที่ ๗ พระราชโอรสของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยี กองทัพของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดยธรรม มิต้องใช้อาชญา มิต้องใช้ศัสตรา ทรงครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต. ถ้าแลเสด็จออกผนวช เป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคา คือ กิเสสอันเปิดแล้วในโลก. เสลพราหมณ์ถามว่า ท่านเกณิยะผู้เจริญ ก็บัดนี้พระโคดมอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เจริญพระองค์นั้น ประทับอยู่ที่ไหน.
[๓๗๖] เมื่อเสลพราหมณ์ถามอย่างนี้แล้ว เกณิยชฎิลได้ยกแขนขวาขึ้นชี้ แล้วกล่าวกะเสลพราหมณ์ว่า ท่านเสสะผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ทิวไม้มีสีเขียวนั่น.
ลำดับนั้นแล เสลพราหมณ์พร้อมด้วยมาณพ ๓๐๐ คน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ แล้วกล่าวเตือนมาณพเหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงเงียบเสียง ค่อยๆ เดินตามกันมา เพราะท่านผู้เจริญเหล่านั้นเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนราชสีห์ ให้ยินดีได้ยาก ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย เวลาเราสนทนากับพระสมณโคดมท่านทั้งหลายอย่าพูดสอดขึ้นในระหว่างถ้อยคำของเรา จงรอให้ถ้อยคำของเราจบลงก่อน. เสลพราหมณ์ได้สนทนาปราศรัยกับพระผู้มี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 517
พระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
ครั้นแล้ว เสลพราหมณ์ได้ตรวจดูมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ในพระกายของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ได้เห็นมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ โดยมากเว้นอยู่ ๒ ประการ คือ พระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก ๑ พระชิวหาใหญ่ ๑ จึงยังเคลือบแคลงสงสัยไม่เชื่อไม่เลื่อมใสในมหาปุริสลักษณะ ๒ ประการ. ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า เสลพราหมณ์นี้ เห็นมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ของเราโดยมาก เว้นอยู่ ๒ ประการ คือ คุยหะเร้นให้อยู่ในฝัก ๑ ชิวหาใหญ่ ๑ จึงยังเคลือบแคลงสงสัยไม่เชื่อไม่เลื่อมใสในมหาปุริสลักษณะ ๒ ประการ ทันใดนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบันดาลอิทธาภิสังขาร ให้เสลพราหมณ์ได้เห็นพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก และทรงแลบพระชิวหาสอดเข้าช่องพระกรรณทั้งสอง กลับไปมา สอดเข้าช่องพระนาสิกทั้งสอง กลับไปมา แผ่ปิดมณฑลพระนลาต เสลพราหมณ์คิดว่า พระสมณโคดมทรงประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการบริบูรณ์ไม่บกพร่อง แต่เราไม่ทราบว่า พระองค์เป็นพระพุทธเจ้าหรือไม่ ก็แลเราได้ฟังคำของพราหมณ์ทั้งหลายผู้แก่เฒ่าผู้เป็นอาจารย์และปาจารย์กล่าวอยู่ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมทรงทำพระองค์ให้ปรากฏในเมื่อบุคคลกล่าวถึงคุณของพระองค์ ถ้ากระไรเราพึงชมเชยพระสมณโคดม เฉพาะพระพักตร์ด้วยคาถาอันสมควร.
ลำดับนั้นแล เสลพราหมณ์ได้ชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้าเฉพาะพระพักตร์ด้วยคาถาอันสมควรว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 518
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์มีพระกายบริบูรณ์ สวยงาม ประสูตดีแล้ว มีพระเนตรงาม มีพระฉวีวรรณดุจทองคำ มีพระเขี้ยวขาวดี มีความเพียร อวัยวะใหญ่น้อยเหล่าใด มีแก่คนผู้เกิดดีแล้ว อวัยวะใหญ่น้อยเหล่านั้นทั้งหมดในพระกายของพระองค์เป็นมหาปุริสลักษณะ.
พระองค์มีพระเนตรแจ่มใส มีพระพักตร์งาม มีกายใหญ่ตรง มีรัศมีรุ่งเรือง อยู่ในท่ามกลางสมณสงฆ์ดังพระอาทิตย์.
พระองค์เป็นภิกษุมีพระเนตรงาม มีพระฉวีวรรณงามเปล่งปลั่งดังทองคำ ประโยชน์อะไรด้วยความเป็นสมณะของพระองค์ ผู้มีวรรณะอันอุดมอย่างนี้.
พระองค์ควรเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้ประเสริฐในราชสมบัติ ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินมีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ผู้ทรงชนะแล้ว ผู้เป็นใหญ่ในชมพูทวีป มีกษัตริย์ประเทศราชตามเสด็จ ข้าแต่พระโคดม ขอพระองค์ทรงเป็นพระราชาที่พระราชาทรงบูชา เป็นจอมมนุษย์ ครองราชสมบัติเถิด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 519
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
[๓๗๗] ดูก่อนเสลพราหมณ์ เราเป็นพระราชาชั้นเยี่ยมเป็นพระธรรมราชา เรายังจักรที่ใครๆ พึงให้เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นรูปโดยธรรม.
เสลพราหมณ์กราบทูลว่า
พระองค์ทรงปฏิญาณว่า เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เป็นพระธรรมราชาชั้นเยี่ยม ข้าแต่พระโคดม พระองค์ตรัสว่า จะยังจักรให้เป็นไปโดยธรรม ใครหนอเป็นสาวกเสนาบดีของพระองค์ผู้ประพฤติตามพระศาสดา ใครจะยังธรรมจักรที่พระองค์ให้เป็น ไปแล้วนี้ให้เป็นไปตาม.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนเสลพราหมณ์
สารีบุตรผู้เกิดตามตถาคต จะยังธรรมจักรอันยอดเยี่ยมที่เราให้เป็นไปแล้ว ให้เป็นไปตาม ดูก่อนพราหมณ์ ธรรมที่ควรรู้ยิ่ง เราได้รู้ยิ่งแล้ว ธรรมที่ควรให้เจริญ เราได้ให้เจริญแล้วและธรรมที่ควรละ เราละได้แล้ว เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นพระพุทธะ
ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงขจัดความสงสัยในเราเสีย จงน้อมใจเชื่อ การได้เห็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 520
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเนืองๆ เป็นการได้โดยยาก ความปรากฏเนืองๆ แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดแล หาได้ยากในโลก เราเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้เป็นศัลยแพทย์ชั้นเยี่ยม.
เราเป็นผู้ประเสริฐไม่มีผู้เปรียบ ย่ำยีมารและเสนามารเสียได้ ทำปัจจามิตรทั้งหมดไว้ในอำนาจ ไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ บันเทิงอยู่.
เสลพราหมณ์กล่าวกับมาณพ ๓๐๐ คนว่า
ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงฟังคำนี้ที่พระผู้มีพระภาคเจ้ามหาวีรบุรุษ ผู้มีจักษุ ผู้เป็นศัลยแพทย์ตรัสอยู่ ดังสีหะบันลืออยู่ในป่า ฉะนั้น ถึงแม่พระองค์จะเป็นผู้เกิดในสกุลต่ำทราม (ก็ตามที)
ใครๆ ได้เห็นพระองค์ผู้ประเสริฐ ไม่มีผู้เปรียบ ย่ำยีมารและเสนามารเสียได้ จะไม่พึงเลื่อมใส (ไม่มีเลย)
ผู้ใดปรารถนาก็จงตามเรามา หรือผู้ใดไม่ปรารถนาก็จงไปเถิด เราจักบวชในสำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีปัญญาอันประเสริฐนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 521
ถ้าท่านผู้เจริญชอบใจคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างนี้ไซร้ แม้พวกเราก็จักบวชในสำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มีพระปัญญาอันประเสริฐ.
พราหมณ์ทั้ง ๓๐๐ เหล่านี้ ได้ประนมอัญชลีทูลขอว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ทั้งหลาย จักประพฤติพรหมจรรย์ในสำนักของพระองค์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนเสลพราหมณ์
พรหมจรรย์เรากล่าวดีแล้ว ผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล การบวชของบุคคลผู้ไม่ประมาทศึกษาอยู่ไม่เปล่าประโยชน์.
[๓๗๘] เสลพราหมณ์พร้อมกับบริษัทได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้งนั้นแล พอล่วงราตรีนั้นไป เกณิยชฎิล สั่งให้ตกแต่งขาทนียโภชนียาหารอันประณีตไว้ในอาศรมของตนเสร็จแล้วให้กราบทูล ภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถึงเวลาแล้ว ภัตเสร็จแล้ว.
ลำดับนั้น เป็นเวลาเช้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตร และจีวรเสด็จเข้าไปยังอาศรมของเกณิยชฎิล ครั้นแล้ว ประทับนั่งเหนืออาสนะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 522
ที่เขาปูลาดถวายพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์. ลำดับนั้น เกณิยชฎิล อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้อิ่มหนำสำราญด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีต ด้วยมือของตน เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยเสร็จ ชักพระหัตถ์จากบาตรแล้ว เกณิยชฎิลถืออาสนะต่ำแห่งหนึ่ง นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุโมทนาแก่เกณิยชฎิลด้วยพระคาถาเหล่านี้ว่า
ยัญทั้งหลายมีการบูชาไฟเป็นประมุข ฉันท์ทั้งหลายมีสาวิตรีฉันท์เป็นประมุข พระราชาเป็นประมุขของมนุษย์ทั้งหลาย พระจันทร์เป็นประมุขของดาวนักษัตรทั้งหลาย พระอาทิตย์เป็นประมุขของความร้อนทั้งหลาย พระสงฆ์แล เป็นประมุขของบุคคลทั้งหลายผู้มุ่งบุญ บูชาอยู่.
[๓๗๙] ครั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุโมทนาแก่เกณิยชฎิลด้วยพระคาถาเหล่านี้แล้ว เสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป ลำดับนั้นแล ท่านพระเสละพร้อมด้วยบริษัท หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว ไม่นานนักก็ทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้น ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ก็ท่านพระเสละพร้อมด้วยบริษัท ได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งๆ ในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 523
ครั้งนั้นแล ท่านพระเสละ พร้อมทั้งบริษัทได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้ห่มจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประณมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระจักษุ ข้าพระองค์ทั้งหลายถึงสรณะในวันที่ ๘ นับแต่วันนี้ เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลาย จึงฝึกฝนตนอยู่ในศาสนาของพระองค์ ๗ ราตรี.
พระองค์เป็นพระพุทธเจ้า เป็นศาสดา เป็นมุนีครอบงำมาร ทรงตัดอนุสัยแล้ว เป็นผู้ข้ามได้เองแล้ว ทรงช่วยหมู่สัตว์นี้ให้ข้ามได้ พระองค์ทรงก้าวล่วงอุปธิได้แล้ว ทรงทำลายอาสวะทั้งหลายแล้ว ไม่ทรงถือมั่น ทรงละความกลัวและความขลาดได้แล้วดังสีหะ.
ภิกษุ ๓๐๐ รูปนี้ยืนประนมอัญชลีอยู่ ข้าแต่พระวีรเจ้า ขอพระองค์ทรงเหยียดพระบาทยุคลเถิด ท่านผู้ประเสริฐทั้งหลาย จงถวายบังคมพระบาทยุคลของพระศาสดา.
จบเสลสูตรที่ ๗
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 524
อรรถกถาเสลสูตรที่ ๗
เสลสูตร มีคำเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้.
พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นอย่างไร? ท่านกล่าวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นไว้ในนิทานแห่งเสลสูตรนั้นแล้ว. แม้ในลำดับการพรรณนาความแห่งสูตรนี้ ก็เช่นเดียวกันกับสูตรก่อน พึงทราบโดยนัยที่กล่าวไว้แล้วในสูตรก่อนนั่นแล. ก็บทใดยังไม่ได้กล่าวไว้ เราจักเรียบเรียงบททั้งหลายที่มีความง่าย พรรณนาบทนั้น.
บทว่า องฺคุตฺตราเปสุ ได้แก่ ชนบทนั้นนั่นแหละ ชื่อว่าอังคา, อังคาใดชื่อว่า อาปะ ที่ซับน้ำมีอยู่ทางทิศเหนือของแม่น้ำคงคา, ท่านเรียกว่า อุตตราปะ ก็มี เพราะอยู่ไม่ไกลแม่น้ำเหล่านั้น ถามว่า อังคาใดที่ชื่อว่า อาปะอยู่ทางทิศเหนือของแม่น้ำคงคาตอนไหน? ตอบว่า แม่น้ำคงคาที่ชื่อว่า มหามหี. เพื่อความแจ่มแจ้งของแม่น้ำนั้นในสูตรนี้จะพรรณนาตั้งแต่ต้น.
มีเรื่องเล่ามาว่า ชมพูทวีปนี้มีประมาณหนึ่งหมื่นโยชน์. ในชมพูทวีปนั้นพื้นที่ประมาณ ๔ พันโยชน์ถูกน้ำท่วม จึงเรียกว่า สมุทร. พวกมนุษย์อาศัยอยู่ในเนื้อที่ประมาณ ๓ พันโยชน์ มีเขาหิมพานต์ตั้งอยู่ในเนื้อที่ ๓ พันโยชน์โดยส่วนสูงประมาณ ๕๐๐ โยชน์ ประดับด้วยยอด ๘๔,๐๐๐ ยอด โดยรอบวิจิตรตระการไปด้วยมหานทีทั้งห้าไหลบ่าลงโดยยาวและกว้างประมาณ ๑๐๐ โยชน์ เพราะลึกมาก มีบริเวณรอบๆ ประมาณ ๑๕๐ โยชน์ มีสระใหญ่ ๗ สระ มีสระอโนดาตเป็นต้นตั้งอยู่ ดังได้กล่าวไว้แล้วในอรรถกถาปูรฬาสสูตร. ใน ๗ สระนั้น สระอโนดาตล้อมไปด้วยภูขา ๕ ลูกเหล่านี้ คือ สุทัสสนกูฎ จิตรกูฏ กาฬกฏ คันธมาทนกูฏ เกลาสกูฏ. ในภูเขา ๕ ลูกนั้น สุทัสสนกูฏ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 525
สำเร็จด้วยทองคำ สูง ๒๐๐ โยชน์ ภายในคดมีสัณฐานคล้ายปากของกาตั้ง ปกคลุมสระนั้นอยู่ จิตรกูฏสำเร็จด้วยรัตนะทั้งปวง กาฬกูฏสำเร็จด้วยไม้อัญชัน คันธมาทนกูฏสำเร็จด้วยแก้วตาแมว ภายในมีสีเหมือนถั่วเขียว ดาดาษไปด้วยโอสถหลายอย่าง ในวันอุโบสถข้างแรมรุ่งเรืองเหมือนถ่านถูกไฟเผา เกลาสกูฏสำเร็จด้วยเงิน ทั้งหมดมีส่วนสูงเท่ากันกับสุทัสสนะ ตั้งปกคลุมสระนั้น สระทั้งหมดฝนตกอยู่ด้วยอานุภาพของเทวดาและอานุภาพของนาค. อนึ่ง แม่น้ำไหลลงไปในสระเหล่านั้น น้ำทั้งหมดนั้นไหลลงสู่สระอโนดาต. พระจันทร์และพระอาทิตย์โคจรผ่านไปทางทิศใต้หรือทิศเหนือทำให้สระนั้นได้แสงสว่างโดยระหว่างภูเขา เมื่อโคจรไปตรงๆ ไม่ทำให้สว่าง. ด้วยเหตุนั้น สระนั้นจึงชื่อว่าอโนดาต. ในสระอโนดาตนั้น มีท่าลงอาบน้ำ มีน้ำใสงดงาม ไม่มีปลาและเต่า ใสสะอาดคล้ายแก้วผลึก มีน้ำใสสะอาด ตกแต่งไว้อย่างงดงาม. พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระขีณาสพและหมู่ฤาษีพากันอาบน้ำที่สระนั้น ทั้งพวกเทวดาและยักษ์เป็นต้นก็พากันเล่นสนุกสนานในอุทยานนั้น. ที่ขอบฝั่งทั้งสี่ของสระนั้นมีสี่ปาก สระ ๔ ปาก คือปากสีหะ ๑ ปากช้าง ๑ ปากม้า ๑ ปาก โคอุสภะ ๑. แม่น้ำทั้งสี่สายไหลออกจากปากสระนั้น. ที่ฝั่งแม่น้ำอันไหลออกจากปากสีหะมีสีหะมากกว่า จากปากช้างเป็นต้น มีช้างม้าและโคอุสภะมากกว่า. แม่น้ำไหลออกจากทางทิศตะวันออก ไหลเวียนไปทางขวาสระอโนดาต ๓ รอบ มิได้อาศัยแม่น้ำ ๓ สายนอกนี้ ไหลไปทางของอมนุษย์ทางด้านป่าหิมพานต์ทางทิศตะวันออกแล้วไหลลงมหาสมุทร. แม้แม่น้ำที่ไหลออกจากทิศตะวันตก และจากทิศเหนือก็ไหลเวียนขวาเหมือนกัน แล้วไหลไปทางของอมนุษย์ ทางป่าหิมพานต์ด้านตะวันตกและป่าหิมพานต์ด้านเหนือแล้วไหลลงมหาสมุทร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 526
ส่วนแม่น้ำที่ไหลออกจากทิศด้านใต้ก็ไหลเวียนขวา ๓ รอบ แล้วไหลตรงไปทางใต้ สิ้นทาง ๖๐ โยชน์บนหลังหินนั่นเอง แล้วกระทบภูเขาไหลไปเป็นสายน้ำประมาณ ๓ คาวุตโดยส่วนกว้าง ไหลไป ๖๐ โยชน์ทางอากาศแล้วตกลงบนแผ่นหินชื่อติยัคคฬะ. และแผ่นหินแตกด้วยกำลังสายน้ำ ณ ที่นั้นก็เกิดสระโบกขรณีชื่อติยัคคฬะประมาณ ๕๐ โยชน์ ทำลายฝั่งสระโบกขรณีไหลเข้าไปยังแผ่นหินไปได้ ๖๐ โยชน์ จากนั้นก็ทำลายแผ่นดินหนาทึบ ไหลลงไปประมาณ ๖๐ โยชน์ทางอุโมงค์ กระทบติรัจฉานบรรพตชื่อว่าวิชฌะ แยกออกเป็น ๕ สาย คล้ายนิ้วทั้ง ๕ บนฝ่ามือไหลไป. สายน้ำทั้ง ๕ นั้น ในที่ที่ไหลเวียนขวาสระอโนดาต ๓ รอบ เรียกว่าอาวัฏฏคงคา ในที่ที่ไหลตรงไปตามหลังแผ่นหิน ๖๐ โยชน์ เรียกว่า อากิณณคงคา. ในที่ที่ไหลไปทางอากาศ ๖๐ โยชน์ เรียกว่า อากาศคงคา. สายน้ำตกลงบนแผ่นหินชื่อว่า ติยัคคฬะตั้งอยู่บนที่ว่างประมาณ ๕๔ โยชน์ ท่านจึงเรียกว่าติยัคคฬโบกขรณี. สายน้ำในที่ที่ทำลายฝั่งแล้วไหลเข้าไปยังแผ่นหิน ไหลไปประมาณ ๖๐ โยชน์ เรียกว่า พหลคงคา. สายน้ำในที่ที่ทำลายแผ่นดินแล้วไหลไปทางอุโมงค์สิ้น ๖๐ โยชน์ เรียกว่า อุมมังคคงคา. สายน้ำในที่ที่เป็น ๕ สาย กระทบดิรัจฉานบรรพตชื่อว่าวิชฌะแล้วไหลไป ท่านเรียกว่าปัญจธารา (แม่น้ำ ๕ สาย) คือ คงคา ยมุนา อจิรวดี สรภู มหี. มหาคงคาทั้ง ๕ เหล่านี้มีหิมะตก. ในแม่น้ำ ๕ สายเหล่านั้น แม่น้ำสายที่ ๕ ชื่อมหีนั่นแหละท่านประสงค์เอาชื่อว่า มหามหีคงคา ในที่นี้.
อาปะใดทางทิศเหนือของแม่น้ำคงคา อาปะนั้นเป็นชนบท เพราะไม่ไกลสายน้ำเหล่านั้น พึงทราบว่าชื่อ อังคุตตราปะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 527
บทว่า จาริกํ จรมาโน เสด็จจาริกไป คือ เดินทางไป. ในบทนั้น พึงทราบการจาริกของพระผู้มีพระภาคเจ้ามีสองอย่าง คือ ตุริตจาริกา (จาริกรีบด่วน) ๑ อตุริตจาริกา (จาริกไม่รีบด่วน) ๑. ในจาริกสองอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นบุคคลที่ควรโปรดในที่ไกลก็รีบเสด็จไป ชื่อว่า ตุริตจาริกา. ตุริตจาริกานั้นพึงเห็นในการต้อนรับพระมหากัสสปเป็นต้น. พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จไปต้อนรับพระมหากัสสปนั้นได้เสด็จไปถึง ๓ คาวุต เพียงครู่เดียวเท่านั้น, ได้เสด็จไป ๓๐ โยชน์ เพื่อทรงทรมานอาฬวกยักษ์, ได้เสด็จไป ๓๐ โยชน์เพื่อโปรดองคุลิมาล ได้เสด็จไป ๔๕ โยชน์ เพื่อโปรดปุกกุสาติพราหมณ์. ได้เสด็จไป ๑๒๐ โยชน์ เพื่อโปรดพระเจ้ามหากัปปิยนะ, ได้เสด็จไปทางไกลประมาณ ๗๐๐ โยชน์ เพื่อโปรดธนิยะ นี้ชื่อว่า ตุริตจาริกา เสด็จโดยรีบด่วน. การเสด็จไปเพื่ออนุเคราะห์โลกด้วยการเที่ยวไปบิณฑบาตตามลำดับบ้าน นิคม นคร ชื่อว่า อตุริตจาริกา เสด็จโดยไม่รีบด่วน อตุริตจาริกานี้ท่านประสงค์เอาในที่นี้ ด้วยเหตุนี้จึงกล่าว จาริกํ จรมาโน.
บทว่า มหตา ใหญ่ คือ ใหญ่โดยจำนวนและใหญ่โดยคุณ. บทว่า ภิกฺขุ สงฺเฆน คือ หมู่สมณะ. บทว่า อฑฺฒเตรเสหิ ๑๒ ครึ่ง ท่านอธิบายว่ากับภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป. บทว่า เยน ฯเปฯ ตทวสริ เสด็จถึงนิคมของชาวอังคุตตราปะ ชื่อว่า อาปณะ นิคมนั้นได้ชื่อว่าอาปณะเพราะมีตลาดมาก. ได้ยินว่า ที่นิคมนั้นมีตลาดใหญ่จ่ายของกันถึงสองหมื่นตลาด. ผู้คนได้เดินทางมารวมกันที่นิคมแห่งรัฐของชาวอังคุตตราปะทั่วทุกทิศ ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้เสด็จถึงนิคมนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 528
บทว่า เกณิโย ชฏิโล ชฎิลมีชื่อว่า เกณิยะ. คำว่า ชฏิโล ความว่าเป็นดาบส เล่ากันมาว่า เกณิยชฎิลนั้นเป็นพราหมณ์มหาศาล แต่เพื่อรักษาทรัพย์ จึงถือบรรพชาเป็นดาบส ถวายเครื่องบรรณาการแด่พระราชา จับจองภาคพื้น สร้างอาศรมอาศัยอยู่ ณ ที่นั้น มีผู้อาศัยอยู่ด้วยหนึ่งพันตระกูล. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า แม้ที่อาศรมของเกณิยชฎิลนั้นมีต้นตาลอยู่ต้นหนึ่ง หล่นผลเป็นทองคำ ผลหนึ่งทุกๆ วัน. เกณิยชฎิลนั้น เวลากลางวันนุ่งห่มผ้ากาสาวะและสวมชฎาเวลากลางคืน เอิบอิ่มเพียบพร้อมบำเรอด้วยกามคุณห้าตามสบาย. บทว่า สกฺยปุตฺโต แสดงถึงตระกูลชั้นสูง. บทว่า สกฺยกุลา ปพฺพชิโต ทรงผนวชจากศากยตระกูล แสดงถึงการบวชด้วยศรัทธา. ท่านอธิบายไว้ว่า เป็นผู้มิได้ถูกความเสื่อมไรๆ ครอบงำ ละตระกูลนั้นทั้งที่ไม่เสื่อมออกทรงผนวชด้วย ศรัทธา. บทว่า ตํ โข ปน เป็นทุติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งอิตถัมภูตะ (ฉัฏฐีวิภัตติ) ได้ความเป็น ตสฺส โข ปน โภโต โคตมสฺส ของพระโคดมผู้เจริญนั้นแล. บทว่า กลฺยาโณ งาม คือประกอบด้วยคุณอันเป็นความงาม. ท่านอธิบายว่า ประเสริฐที่สุด. บทว่า กิตฺติสทฺโท กิตติศัพท์ คือ ชื่อเสียงหรือประกาศยกย่อง. ก็ในบทมีอาทิว่า อิติปิ โส ภควา นี้ โยชนาแก้ไว้เพียงเท่านี้. ท่านอธิบายว่า ด้วยเหตุนี้ๆ ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์แม้ด้วยเหตุนี้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้ด้วยเหตุนี้ ฯลฯ เป็นผู้มีโชคแม้ด้วยเหตุนี้ ดังนี้.
พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า อรหํ ดังนี้ พึงทราบว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์เป็นอรหันต์ด้วยเหตุเหล่านี้ก่อนคือ เพราะเป็นผู้ไกลจากกิเลส เพราะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 529
เป็นผู้กำจัดข้าศึกคือกิเลส และหักซี่กำคือกิเลส เพราะเป็นผู้ควรแก่ปัจจัยเป็นต้น เพราะไม่มีความลับในการทำบาป. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นผู้ไกลจากกิเลสทั้งปวง เพราะกำจัดกิเลสพร้อมด้วยวาสนา ด้วยมรรค เพราะฉะนั้น จึงเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้ไกล. อนึ่ง พระองค์กำจัดข้าศึก คือกิเลสเสียได้ด้วยมรรค เพราะฉะนั้น จึงทรงพระนามว่า อรหํ เพราะทรงกำ จัดข้าศึกเสียได้. อนึ่ง คุมคืออวิชชา ภวตัณหา ซี่ล้อคืออภิสังขารมีบุญเป็นต้น กงคือชราและมรณะ เสียบด้วยเพลาอันสำเร็จด้วยสมุทัยคืออาสวะประกอบเข้าไปในรถคือภพ ๓ มีสงสารเป็นล้อแล่นไปในกาลอันไม่มีเบื้องต้น พระองค์ดำรงอยู่บนปฐพีคือศีล ด้วยพระบาทคือความเพียร ณ โพธิมณฑล ทรงถือขวานคือญาณอันกระทำให้สิ้นกรรม ด้วยพระหัตถ์คือศรัทธาแล้วทรงกำจัดซี่กำ ทั้งปวงเสียได้ เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงพระนามว่า อรหํ เพราะกำจัดซี่กำเสียได้ อนึ่ง เพราะพระองค์เป็นทักขิไณยบุคคลผู้เลิศ จึงสมควรรับปัจจัยมีจีวรเป็นต้น และเครื่องสักการะและความเคารพเป็นต้น เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงพระนามว่า อรหํ เพราะเป็นผู้ควรแก่ปัจจัยเป็นต้น. อนึ่ง พระองค์ไม่ทรงทำความชั่วไม่ว่าในที่ไหนๆ เหมือนคนพาลสำคัญตนว่าเป็นบัณฑิต บางพวก ในโลกย่อมทำบาปในที่ลับ เพราะเกรงจะไม่มีใครสรรเสริญ เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงพระนามว่า อรหํ เพราะไม่มีความลับในการทำบาป.
อนึ่ง ในบทว่า อรหํ นี้ มีคาถาดังนี้
อารกตฺตา หตตฺตา จ กิเลสารีน โส มุนิ หตสงฺสารจกฺกาโร ปจฺจยาทีน จารโห น รโห กโรติ ปาปานิ อรหํ เตน ปวุจฺจติ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 530
พระมุนีนั้น เพราะเป็นผู้ไกลจากกิเลสและเพราะเป็นผู้กำจัดข้าศึก คือ กิเลสเสียได้ เป็นผู้กำจัดซี่วงล้อคือสังสารจักรเสียได้และเป็นผู้ควรแก่ปัจจัยเป็นต้น ไม่ทำบาปในที่ลับ ด้วยเหตุนั้น บัณฑิตจึงขนานพระนามว่า อรหํ.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สมฺมาสมพุทฺโธ เพราะตรัสรู้สัจธรรมโดยชอบ และด้วยพระองค์เอง. ทรงพระนามว่า วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน เพราะประกอบด้วยวิชชาอันบริสุทธิ์สมบูรณ์และด้วยจรณะอันสูงสุด. ทรงพระนามว่า สุคโต เพราะเสด็จไปดี เพราะเสด็จไปสู่ฐานะอันดี เพราะเสด็จไปด้วยดี และเพราะตรัสรู้โดยชอบ. ทรงพระนามว่า โลกวิทู เพราะทรงรู้โลกด้วยประการทั้งปวง. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงรู้สังขาร โลกอันมีขันธ์และอายตนะเป็นต้น โดยประการทั้งปวง คือ โดยสภาวะ โดยสมุทัย โดยนิโรธ โดยอุบายแห่งนิโรธ. ทรงรู้สังขารโลกแม้โดยประการทั้งปวงอย่างนี้ คือ
โลกหนึ่ง ได้แก่ สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงอยู่ได้ด้วยอาหาร.
โลกสอง คือ นามและรูป.
โลกสาม คือ เวทนาสาม.
โลกสี่ คือ อาหารสี่.
โลกห้า คือ อุปาทานขันธ์ห้า.
โลกหก คือ อายตนะภายในหก.
โลกเจ็ด คือ วิญญาณฐิติเจ็ด.
โลกแปด คือ โลกธรรมแปด.
โลกเก้า คือ สัตตาวาสเก้า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 531
โลกสิบ คือ อายตนะสิบ.
โลกสิบสอง คือ อายตนะสิบสอง.
โลกสิบแปด คือ ธาตุสิบแปด.
ทรงรู้สัตว์โลกแม้โดยประการทั้งปวง คือ ทรงรู้อัธยาศัยของสัตว์ทั้งหลาย ทรงรู้กิเลสอันนอนเนื่องอยู่ในสันดานของสัตว์ทั้งหลาย ทรงรู้จริต ทรงรู้อารมณ์ ทรงรู้สัตว์มีธุลีคือกิเลสน้อย สัตว์มีธุลีคือกิเลสมาก สัตว์มีอินทรีย์กล้า สัตว์มีอินทรีย์อ่อน สัตว์มีอาการดี สัตว์มีอาการชั่ว สัตว์ให้รู้ได้ง่าย สัตว์ให้รู้ได้ยาก สัตว์เป็นภัพพะ (ควรตรัสรู้ได้) สัตว์เป็นอภัพพะ (ไม่ควรตรัสรู้). อนึ่ง จักรวาลหนึ่งโดยยาวและโดยกว้าง หนึ่งล้านสองแสนสามพันสี่ร้อยห้าสิบโยชน์ แต่โดยรอบสามล้านหกแสนหนึ่งหมื่นสามร้อยห้าสิบโยชน์.
ในบทว่า โลกวิทู นั้นพึงทราบต่อไปนี้
แผ่นดินนี้นับด้วยความหนาสองแสนสี่หมื่นโยชน์ (ตั้งอยู่บนน้ำ) น้ำตั้งอยู่บนลม ด้วยความหนาสี่แสนแปดหมื่นโยชน์ ลมอุ้มขึ้นสู่ท้องฟ้ามีความหนาเก้าแสนหกหมื่น นี้คือสัณฐานของโลก.
เมื่อโลกสัณฐานอย่างนี้ พึงทราบต่อไปว่า
ภูเขาสิเนรุสูงสุดในบรรดาภูเขา หยั่งลึกลงไปในมหาสมุทร แปดหมื่นสี่พันโยชน์ สูงขึ้นไปก็เท่านั้นเหมือนกัน แต่นั้นภูเขาใหญ่อันเป็นทิพย์ อันวิจิตรด้วยแก้วนานาชนิด จมลงในมหาสมุทรและผุดขึ้นตามลำดับโดยประมาณครึ่งหนึ่งๆ คือ ภูเขา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 532
ยุคันธระ อิสินธระ กรวิกะ สุทัสสนะ เนมินธระ วินตกะ อัสสกัณณะ
ภูเขาทั้ง ๗ นี้ ล้วนมีหินขนาดใหญ่ อยู่โดยรอบภูเขาสิเนรุ เป็นที่อยู่ของมหาราช เทวดาและยักษ์สิงสถิตอยู่
ภูเขาหิมพานต์สูงห้าร้อยโยชน์ โดยยาว และโดยกว้างสามพันโยชน์ ประดับด้วยยอดแปดหมื่นสี่พันยอด ภูเขาย่อมด้วยต้นไม้ ๓๕ โยชน์โดยรอบ ต้นไม้และกิ่งไม้ยาว ๕๐ โยชน์ กว้าง ๑๐๐ โยชน์ ต้นไม้รอบๆ มี ลำต้นขนาด ๓ โยชน์บ้าง ๕ โยชน์บ้าง โตโดยรอบลำต้นตลอดปลายกิ่ง ๕๐ โยชน์ แผ่ออกไป ๑๐๐ โยชน์ สูงขึ้นไปก็เท่านั้นเหมือนกัน ต้นไม้นั้นชื่อว่า ต้นชมพู ด้วยอานุภาพของต้นชมพูจึงเรียก ชมพูทวีป ต้นชมพูหยั่งลงในห้วงน้ำใหญ่ สองหมื่นแปดพันโยชน์ สูงขึ้นก็เท่านั้นเหมือนกัน ศิลาจักรวาลที่ผุดขึ้นตั้งล้อมภูเขาทั้งหมด สำเร็จเป็นจักรวาล.
ในบทว่า โลกวิทู นั้นพึงทราบวินิฉัยต่อไป จันทมณฑล ๔๙ โยชน์ สุริยมณฑล ๕๐ โยชน์ ดาวดึงสพิภพหนึ่งหมื่นโยชน์ อสุรภพ อเวจีมหานรก และชมพูทวีปก็เหมือนกัน อมรโคยาน ทวีปเจ็ดพันโยชน์ ปุพวิเทหทวีปก็เหมือนกัน อุตรกุรุทวีปแปดพันโยชน์ มหาทวีปหนึ่งๆ ในที่นี้มีทวีปน้อย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 533
ห้าร้อยๆ เป็นบริวาร. ทั้งหมดนั้นเป็นจักรวาล เป็นโลกธาตุหนึ่ง ในระหว่างจักรวาล เป็นโลกันตริยนรก.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้โอกาสโลกด้วยประการทั้งปวงว่า จักรวาลไม่มีที่สุด โลกธาตุไม่มีที่สุด ทรงรู้ด้วยพุทธญาณไม่มีที่สุด. พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นโลกวิทู เพราะทรงรู้โลกด้วยประการทั้งปวง ด้วยประการฉะนี้.
ทรงพระนามว่า อนุตฺตโร เพราะไม่มีไครๆ ประเสริฐกว่า ด้วยคุณของพระองค์.
ทรงพระนามว่า ปุริสทมฺมสารถิ เพราะยังบุรุษที่พอฝึกได้ให้แล่นไป โดยอุบายแนะนำอันแนบเนียน.
ทรงพระนามว่า สตฺถา เพราะทรงพร่ำสอน และทรงให้ไตร่ตรองตามควรด้วยทิฏฐธัมมิกประโยชน์ สัมปรายิกประโยชน์ และปรมัตถประโยชน์. การถือกำเนิดเป็นเทวดาและมนุษย์ด้วยกำหนดอย่างอุกฤษฎ์ และด้วยการกำหนดถึงบุคคลที่สมควร แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงพร่ำสอนคนสัตว์ทั้งหลายมีนาคเป็นต้นด้วยประโยชน์เป็นโลกิยะ. ชื่อว่าผู้ที่ควรแนะนำได้ยังมีอยู่
ทรงพระนามว่า พุทฺโธ เพราะตรัสรู้ทุกอย่างด้วยชื่ออันมีในที่สุดแห่งวิโมกข์. ก็เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ภาคฺยวา ภคฺควา ยุตฺโต ภเคหิ จ วิภตฺตวา ภตฺตวา วนฺตคมโน ภเวสุ ภควา ตโต
เป็นผู้มีโชค เป็นผู้ทำลายกิเลส เป็นผู้ประกอบด้วยโชคทั้งหลาย เป็นผู้แจก เป็นผู้จำแนก เป็นผู้คายการไปในภพทั้งหลาย ฉะนั้น จึงทรงพระนามว่า ภควา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 534
นี้เป็นความสังเขปในบทนี้. ส่วนโดยพิสดารท่านกล่าวบทเหล่านี้ไว้ในวิสุทธิมรรคแล้ว.
บทว่า โส อิมํ โลกํ คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงทำโลกนี้. บัดนี้ควรชี้แจงข้อที่ควรกล่าว. บททั้งหลายว่า สเทวกํ เป็นต้นมีนัยดังได้กล่าวแล้ว ในกสิภารทวาชสูตรและอาฬวกสูตรเป็นต้น. บทว่า สยํ แปลว่า เอง คือ ควรแนะนำผู้อื่น. บทว่า อภิญฺา ได้แก่ด้วยพระปัญญาอันยิ่ง. บทว่า สจฺฉิกตฺวา คือทำให้ประจักษ์. บทว่า ปเวเทติ คือ ให้รู้ ให้แจ้ง ให้ชัด.
บทว่า โส ธมฺมํ เทเสติ ฯเปฯ ปริโยสานกลฺยาณํ พระองค์ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงอาศัยความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย ทรงละความสุข เกิดแต่วิเวกแล้วทรงแสดงธรรม. เมื่อทรงแสดงธรรมนั้นน้อยก็ตาม มากก็ตาม ทรงแสดงมีประการงามในเบื้องต้นเป็นอาทิ. ทรงแสดงอย่างไร เพราะแม้คาถาหนึ่งก็ทำความเจริญได้โดยรอบ งามในเบื้องต้นด้วยบทที่หนึ่งของธรรม งามในท่ามกลางด้วยบทที่สอง งามในที่สุดด้วยบทสุดท้าย.
พระสูตรที่มีอนุสนธิเป็นอันเดียวกัน งามในเบื้องต้น ด้วยนิทาน งามในที่สุดด้วยบทสรุป งามในท่ามกลางด้วยบทที่เหลือ.
พระสูตรที่มีอนุสนธิต่างกัน งามในเบื้องต้นด้วยอนุสนธิต้น งามในที่สุดด้วยบทสุดท้าย งามในท่ามกลางด้วยบทที่เหลือ.
ศาสนธรรมทั้งสิ้นงามในเบื้องต้นด้วยศีลอันเป็นประโยชน์ของตน งามในท่ามกลางด้วยสมถะ วิปัสสนา มรรค และผล งามในที่สุดด้วยนิพพาน.
อีกอย่างหนึ่ง งามในเบื้องต้นด้วยศีลและสมาธิ งามในท่ามกลางด้วยวิปัสสนาและมรรค งามในที่สุดด้วยผลและนิพพาน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 535
อีกอย่างหนึ่ง งามในเบื้องต้น เพราะการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า งามในท่ามกลาง เพราะพระธรรมเป็นธรรมที่ดี งามในที่สุด เพราะการปฏิบัติชอบของพระสงฆ์
อีกอย่างหนึ่ง งามในเบื้องต้น ด้วยการตรัสรู้ยิ่ง เพราะฟังธรรมนั้นแล้วเห็นจริง เพราะผู้ปฏิบัติพึงบรรลุได้ งามในท่ามกลางด้วยการตรัสรู้ของพระปัจเจกพุทธเจ้า งามในที่สุดด้วยการตรัสรู้ของพระสาวก.
อนึ่ง เมื่อฟังธรรมนั้น ย่อมนำมาซึ่งความงามด้วยการฟัง เพราะข่มนิวรณ์เป็นต้นได้ เพราะฉะนั้น จึงงามในเบื้องต้น เมื่อปฏิบัติย่อมนำมาซึ่งความงามในการปฏิบัติ เพราะนำมาซึ่งความสุขอันเกิดแต่สมถะและวิปัสสนา เพราะฉะนั้น จึงงามในท่ามกลาง อนึ่งครั้นปฏิบัติอย่างนั้น แล้วเมื่อสำเร็จผลแห่งการปฏิบัติ ย่อมนำมาซึ่งความงามด้วยผลแห่งการปฏิบัติ เพราะนำมาซึ่งความเป็นผู้คงที่ เพราะฉะนั้น จึงงามในที่สุด.
อนึ่ง งามในเบื้องต้น เพราะเป็นแดนเกิดแห่งที่พึ่ง งามในท่ามกลาง เพราะบริสุทธิ์ด้วยประโยชน์ งามในที่สุดเพราะบริสุทธิ์ด้วยกิจ เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงธรรมน้อยก็ตามมากก็ตาม ย่อมทรงแสดงธรรมมีลักษณะอันงามในเบื้องต้นเป็นต้น.
พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ ดังต่อไปนี้
เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงธรรมนี้ ย่อมประกาศศาสนพรหมจรรย์และมรรคพรหมจรรย์ทรงแสดงโดยนัยต่างๆ ชื่อว่าพร้อมทั้งอรรถ เพราะสมบูรณ์ด้วยอรรถตามความเกิดอย่างไร ชื่อว่าพร้อมทั้งพยัญชนะ เพราะความสมบูรณ์ด้วยพยัญชนะ ชื่อว่าพร้อมทั้งอรรถเพราะประกอบเสมอด้วยความคล้ายกัน การประกาศ การขยายความ การจำแนก การทำให้ง่าย การ บัญญัติและบทแห่งอรรถ ชื่อว่า พร้อมทั้งพยัญชนะ เพราะสมบูรณ์ด้วยอักขระ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 536
บท พยัญชนะ อาการ ภาษาและการแนะนำ ชื่อว่า พร้อมทั้งอรรถ เพราะลึกซึ้งด้วยอรรถ และลึกซึ้งด้วยปฏิเวธ ชื่อว่า พร้อมทั้งพยัญชนะ เพราะลึกซึ้งด้วยธรรม ลึกซึ้งด้วยการแสดง ชื่อว่า พร้อมทั้งอรรถ เพราะเป็นวิสัยแห่งการแตกฉานด้วยอรรถและปฏิภาณ ชื่อว่าพร้อมทั้งพยัญชนะ เพราะเป็นวิสัยแห่งการแตกฉานด้วยธรรมและภาษา ชื่อว่าพร้อมทั้งอรรถ เพราะยังชนผู้พิจารณาให้เลื่อมใส โดยรู้สึกว่าเป็นบัณฑิต พร้อมทั้งพยัญชนะ เพราะยังโลกิยชนให้เลื่อมใส โดยความเป็นสิ่งควรเธอได้ ชื่อว่าพร้อมทั้งอรรถ เพราะประสงค์ความลึกซึ้ง ชื่อว่าพร้อมทั้งพยัญชนะ เพราะเป็นบทง่าย ชื่อว่าบริบูรณ์สิ้นเชิง เพราะบริบูรณ์ทั้งสิ้นโดยที่ไม่มีสิ่งควรนำเข้าไป ชื่อว่าบริสุทธิ์ เพราะไม่มีโทษโดยที่ไม่มีสิ่งควรนำออกไป ชื่อว่า พรหมจรรย์ เพราะเป็นธรรมอันผู้เป็นพรหมคือผู้ประเสริฐควรประพฤติ และเพราะความที่ธรรมเหล่านั้น เป็นสิ่งควรประพฤติ เพราะกำหนดเอาสิกขา ๓ ฉะนั้นเกณิยชฎิลจึงกล่าวว่า สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ ฯเปฯ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสสิ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ดังนี้.
อีกประการหนึ่ง เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงธรรม พร้อมด้วยเหตุและพร้อมด้วยเรื่องที่เกิดขึ้น จึงทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น เมื่อจะทรงแสดงธรรมงามในท่ามกลางโดยสมควรแก่เวไนยชนทั้งหลายและโดยประกอบด้วยเหตุและอุทาหรณ์ เพราะไม่ให้ความวิปริต และเมื่อจะทรงแสดงธรรมงามในที่สุดโดยให้ผู้ฟังได้ศรัทธาและโดยสรุป จึงทรงประกาศพรหมจรรย์. ท่านกล่าวธรรมนั้น ชื่อว่า พร้อมทั้งอรรถ เพราะฉลาดในอธิคมตามลำดับ ชื่อว่า พร้อมทั้งพยัญชนะ เพราะฉลาดในอาคมแห่งปริยัติ ชื่อว่าบริบูรณ์สิ้นเชิง เพราะประกอบด้วยธรรมขันธ์ ๕ มีศีลเป็นต้น ชื่อว่าบริสุทธิ์ เพราะไม่มีอุปกิเลส และเพราะไม่เพ่งถึงโลกามิสอันเป็นไปเพื่อความข้ามพ้น ชื่อว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 537
พรหมจรรย์ เพราะเป็นสิ่งควรประพฤติของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสาวกทั้งหลาย ที่ชื่อว่า เป็นพรหม ด้วยอรรถว่าเป็นผู้ประเสริฐ ฉะนั้น เกณิยชฎิลจึงกล่าวว่า โส ธมฺมํ เทเสติ ฯเปฯ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสติ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลางงามในที่สุด ฯลฯ ทรงประกาศพรหมจรรย์ ดังนี้.
บทว่า สาธุ โข ปน คือ เป็นความดีแล. อธิบายว่า นำประโยชน์ นำความสุขมาให้.
บทว่า ธมฺมิยา กถาย ด้วยธรรมีกถา ได้แก่ อันประกอบด้วยอานิสงส์ของน้ำปานะ. ด้วยว่าในตอนเย็นเกณิยชฎิลนี้ได้กล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมา เป็นผู้มีแต่มือเปล่าๆ จะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ละอายคิดว่า น้ำปานะย่อมสมควรแก่ท่านผู้เว้นการบริโภคในเวลาวิกาล ดังนี้ จึงให้หาบน้ำพุทราที่ปรุงอย่างดีด้วยคาน ๕๐๐ หาบ แล้วใป. ดังที่ท่านกล่าวไว้ในเภสัชชขันธกะว่า ครั้งนั้นแล เกณิยชฎิลได้เกิดปริวิตกว่า เราควรนำเข้าไปถวายแด่พระสมณโคดม ดีหรือหนอ. ทั้งหมดพึงทราบดังต่อไปนี้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงเกณิยชฎิลให้เห็นจริงถึงอานิสงส์ของการถวายน้ำปานะ. ด้วยกถาประกอบด้วยอานิสงส์ของการถวายน้ำปานะอันสมควรในขณะนั้น เหมือนทรงชี้แจงเจ้าศากยะทั้งหลายด้วยกถาประกอบด้วย อานิสงส์ของการถวายที่พักในเสขสูตร ทรงชี้แจงกุลบุตร ๓ คนด้วยกถาประกอบด้วยรสแห่งสามัคคีในโคสิงคสาลวนสูตร ทรงชี้แจงภิกษุทั้งหลายผู้มีชาติภูมิเดียวกัน ด้วยกถาประกอบด้วยกถาวัตถุ ๑๐ ในรถวินีตสูตรฉะนั้น ทรงให้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 538
เกณิยชฎิลขวนขวายสมาทานเพื่อทำบุญเห็นปานนั้นต่อไป ทรงให้เกณิยชฎิลเกิดอุตสาหะอาจหาญยิ่งขึ้น ทรงสรรเสริญให้เกณิยชฎิลร่าเริงด้วยผลวิเศษอันจะมีในภพนี้และภพหน้า. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ธมฺมิยา กถาย สมฺปหํเสสิ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้เกณิยชฎิลร่าเริงด้วยธรรมีกถาดังนี้.
เกณิยชฎิลเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างยิ่ง จึงกราบทูลนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปฏิเสธเขาถึง ๓ ครั้งแล้วจึงรับนิมนต์. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า อถ โข เกณิโย ชฏิโล ฯเปฯ อธิวาเสสิ ภควา ตุณฺหีภาเวน ครั้งนั้นแล เกณิยชฎิลทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์ด้วยดุษณีภาพ. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปฏิเสธเพื่ออะไร. เพราะวิงวอนบ่อย.ๆ เกณิยชฎิลจักมีความเจริญด้วยบุญและจักตระเตรียมให้มากยิ่งขึ้น ของที่เตรียมไว้สำหรับภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป ก็จะถึงแก่ภิกษุ ๑,๕๕๐ รูป. หากจะถามว่า ภิกษุอีก ๓๐๐ รูปมาจากไหน. ตอบว่า ก็เมื่อเกณิยชฎิล ยังไม่ได้เตรียมอาหารนั่นแหละ เสลพราหมณ์พร้อมด้วยมาณพ ๓๐๐ คน จักบวช พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นเหตุนั้นจึงตรัสอย่างนี้.
บทว่า มิตฺตามจฺเจ ได้แก่ มิตรและกรรมกร. บทว่า าติสาโลหิเต ได้แก่ บุตรธิดาเป็นต้นถือกำเนิดเดียวกันมีเลือดเสมอกันและเผ่าพันธุ์ที่เหลือ. บทว่า เยน คือเพราะเหตุใด. บทว่า เม แปลว่า ของข้าพเจ้า. บทว่า กายเวยฺยาวฏิกํ คือขวนขวายด้วยกาย. บทว่า มณฺฑลมาลํ ปฏิยาเทติ เกณิยชฎิลตกแต่งโรงปะรำเอง คือ ตกแต่งมณฑปดาดเพดานชาว.
บทว่า ติณฺณํ เวทานํ ได้แก่ อิรุพเพท ยชุพเพท สามเวท. รวมคัมภีร์นิฆัณฑุศาสตร์ และคัมภีร์เกฏุภศาสตร์เป็นสนิฆัณฑุเกฎุภศาสตร์. บทว่า นิฆณฺฑุ คือคัมภีร์บอกคำต่างกันแต่ความหมายเหมือนกันของต้นไม้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 539
เป็นต้นชื่อว่านิฆัณฑุ. บทว่า เกฏุภํ คือความเหมือนและความกำหนดคำกิริยา เป็นคัมภีร์เพื่อช่วยกวีทั้งหลาย. พร้อมกับประเภทอักษรแห่งประเภท เป็นไปกับอักขระ. บทว่า อกฺขรปฺปเภโท ได้แก่การศึกษาและภาษา. บทว่า อิติหาสปญฺจมานํ ชื่อว่า อิติหาสปญฺจมา เพราะทำอาถรรพนเวทเป็นที่ ๔ แล้วมีอิติหาสอันเป็นคำเก่าประกอบด้วยคำเช่นนี้ว่า อิติห อาส อิติห อาส เป็นที่ ๕. ประเภทอักษรเหล่านั้นมีอิติหาสเป็นที่ ๕. เสลพราหมณ์เป็นผู้เข้าใจบท เข้าใจไวยากรณ์เพราะเรียนและรู้บทและไวยากรณ์อันนอกเหนือจากบทนั้น. เสลพราหมณ์ชื่อว่าเป็นผู้ชำนาญในคัมภีร์โลกายตะและตำราทำนายมหาปุริสลักษณะ เพราะเป็นผู้เรียนจบครบบริบูรณ์ในคัมภีร์โลกายตะและคัมภีร์วิตัณฑวาทศาสตร์ และคัมภีร์มหาปุริสลักษณศาสตร์ ๑๒,๐๐๐ อันเป็นคัมภีร์หลักของคัมภีร์มหาปุริสลักษณะ ท่านอธิบายว่า ไม่มีเสื่อม. ผู้ใดไม่สามารถทรงจำคัมภีร์เหล่านั้นได้โดยอรรถและโดยคันถะ ผู้นั้นชื่อว่าเสื่อม.
วิหารที่มีระเบียงเป็นทางเดินชื่อว่าชังฆาวิหาร. ท่านอธิบายว่า ทางที่เที่ยวไปไม่ไกลเพื่อเหยียดแข้ง เพื่อบรรเทาความเมื่อยอันเกิดแต่นั่งนานเป็นต้น. บทว่า อนุจงฺกมมาโน ได้แก่ เดินไป. บทว่า อนุวิจรมาโน ได้แก่ เดินเที่ยวไปข้างโน้นข้างนี้. บทว่า เกณิยสฺส ชฏิลสฺส อสฺสโม ได้แก่ อาศรมอันเป็นที่อยู่ของเกณิยชฎิล.
บทว่า อาวาโห ได้แก่ นำหญิงสาวมา. บทว่า วิวาโห ได้แก่ ให้หญิงสาวไป. บทว่า มหายญฺโ ได้แก่ การบูชาใหญ่. บทว่า มาคโธ ได้แก่ ผู้เป็นใหญ่ของชาวมคธ. ชื่อเสนิยะ เพราะประกอบด้วยเสนาหมู่ใหญ่. บทว่า พิมฺพิ คือทองคำ. เพระฉะนั้น ชื่อว่าพิมพิสาร เพราะมีวรรณะเช่นกับทองคำแท่ง. บทว่า โส เม นิมนฺติโต ความว่า ข้าพเจ้านิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้ามา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 540
ลำดับนั้น พราหมณ์ได้ยินเสียงว่า พุทธะ เพราะความที่ตนสร้างสมบุญมาก่อน จึงเหมือนรดด้วยน้ำอมฤต มีความประหลาดใจกล่าวว่า เกณิยะผู้เจริญ ท่านกล่าวว่า พุทฺโธ หรือ. เกณิยะบอกตามความจริง กล่าวว่า ท่านเสละผู้เจริญ ข้าพเจ้ากล่าวว่า พุทฺโธ เพื่อให้แน่นอน เสละ ได้ถามย้ำอีก. เกณิยะก็บอกอย่างนั้น.
ลำดับนั้น เสลพราหมณ์เมื่อจะแสดงความที่เสียงว่าพุทธะหาได้ยากแม้ตลอดแสนกัปจึงกล่าวว่า แม้เสียงประกาศว่า พุทฺโธ นี้แลก็หาได้ยากในโลก.
ลำดับนั้น พราหมณ์ได้ยินเสียงว่าพุทธะจึงคิดใคร่จะทดลองดูว่า ท่านผู้นั้นเป็นพุทธะจริง หรือเป็นพุทธะเพียงชื่อเท่านั้น จึงได้กล่าวว่า อาคตานิ โข ปน ฯเปฯ วิวฏจฺฉโท ความว่า พระมหาบุรุษผู้ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการมาในมนต์ของพวกเรา ฯลฯ ถ้าเสด็จออกบวชเป็นบรรพชิตจะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้วในโลก.
บทว่า มนฺเตสุ คือในเวททั้งหลาย. เทวดาชั้นสุทธาวาสได้ข่าวว่าพระตถาคตจักทรงอุบัติจึงรีบแปลงเพศเป็นพราหมณ์ ใส่พระลักษณะเข้าไปแล้วบอกเวททั้งหลาย ด้วยคิดว่า บรรดาสัตว์ผู้มีศักดิ์ใหญ่จักรู้จักพระตถาคต โดยดูตามพระลักษณะนั้น. ด้วยเหตุนั้นมหาปุริสลักษณะจึงมาในเวททั้งหลายก่อน แต่ครั้นพระตถาคตเสด็จปรินิพพานแล้ว เวททั้งหลายก็หายไปโดยลำดับเดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว บทว่า มหาปุริสสฺส ได้แก่ บุรุษผู้ใหญ่ด้วยคุณมีความตั้งใจ การสมาทาน และญาณเป็นต้น. บทว่า เทฺวว คติโย ได้แก่ ความสำเร็จสองอย่างนั้นเอง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 541
อนึ่ง คติ ศัพท์นี้ย่อมเป็นไปในประเภทของภพในเประโยคมีอาทิว่า ปญฺจ ปนิมา โข สารีปุตฺต คติโย ดูก่อนสารีบุตรๆ ก็คติเหล่านี้แลมี ๕, เป็นไปในที่เป็นที่อยู่ในประโยคมีอาทิว่า คติ มิคานํ ปวนํ ป่าใหญ่เป็นที่อยู่ของเนื้อทั้งหลาย, เป็นไปในปัญญาในประโยคมีอาทิว่า เอวํ อธิมตฺตคติมนฺ โต มีปัญญายิ่งอย่างนี้, เป็นไปในความบริสุทธิ์ในประโยคมีอาทิว่า คติคตํ ถึงความบริสุทธิ์. แต่ในที่นี้พึงทราบว่าเป็นไปในความสำเร็จ. ผู้ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะถึงจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิก็จริง แต่ไม่เป็นพระพุทธเจ้า แต่ชนทั้งหลายก็เรียกกันไปว่าอย่างนั้นอย่างนี้แหละ โดยสามัญสำนึก เพราะฉะนั้น จึงกล่าวว่า เยหิ สมนฺนาคตสฺส ผู้ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ. บทว่า สเจ อคารํ อชฺฌาวสติ คือ ถ้าอยู่ครองเรือน. บทว่า ราชา โหติ จกฺกวตฺตี จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ความว่า ชื่อว่า ราชา เพราะยังชาวโลกให้ยินดีด้วยอัจฉริยธรรมและด้วยสังคหวัตถุ ชื่อว่า จักรพรรดิ เพราะยังจักรรัตนะให้หมุนไป ย่อมหมุนไปด้วยจักรอันเป็นสมบัติ ๔ อย่าง และยังผู้อื่นให้หมุนไปด้วยจักรสมบัติเหล่านั้น มีการหมุนไปแห่งจักรคืออิริยาบถเพื่อประโยชน์ผู้อื่น. ในสองบทนี้ บทว่า ราชา เป็นชื่อ บทว่า จกฺกวตตี เป็นวิเสสนะ. ชื่อ ธมฺมิโก เพราะประพฤติโดยธรรม. อธิบายว่า เป็นไปด้วยความรู้ ด้วยความเสมอ. ชื่อ ธมฺมราชา เพราะได้ราชสมบัติโดยธรรมแล้วเป็นพระราชา. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อ ธมฺมิโก เพราะบำเพ็ญธรรมเพื่อประโยชน์ผู้อื่น. ชื่อ ธมฺมราชา เพราะบำเพ็ญเพื่อประโยชน์ตน. ชื่อว่า จาตุรนฺโต เพราะเป็นใหญ่ในแผ่นดินมีมหาสมุทร ๔ เป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 542
ขอบเขต. อธิบายว่า เป็นใหญ่ในแผ่นดินมีสมุทร ๔ เป็นที่สุด และมีทวีป ๔ เป็นเครื่องประดับ. ชื่อว่า วิชิตาวี เพราะทรงชนะข้าศึกมีความโกรธเป็นต้น ในภายในและพระราชาทั้งหมดในภายนอก. บทว่า ชนปทตฺถาวริยปฺปตฺโต มีราชอาณาจักรมั่นคง คือถึงความเจริญ ความมั่นคงในชนบทอันใครๆ ไม่สามารถทำให้หวั่นไหวได้. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ชนปทตฺถาวริยปตฺโต เพราะ ชนบทถึงความมั่นคงในความเจริญนั้น ไม่มีการขวนขวายยินดีในการงานของตน ไม่หวั่นไหว ไม่สั่นสะเทือนบ้าง. บทว่า เสยฺยถีทํ เป็นนิบาต. ความว่า รัตนะ ๗ มีอะไรบ้าง. รัตนะ ๗ เหล่านี้คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ แก้วมณี ๑ นางแก้ว ๑ คหบดีแก้ว ๑ ปริณายกแก้ว ๑ ทั้งหมดท่านกล่าวไว้แล้วในอรรถกถารัตนสูตร.
ในรัตนะเหล่านั้น พระเจ้าจักรพรรดิทรงชนะแว่นแคว้นด้วยจักรแก้ว ทรงเที่ยวไปตามสบายในแว่นแคว้นด้วยช้างแก้วและม้าแก้ว ทรงรักษาแว่นแคว้นด้วยปริณายกแก้ว เสวยสุขอันเป็นเครื่องอุปโภคบริโภคด้วยแก้วที่เหลือ. พระเจ้าจักรพรรดินั้นทรงใช้ความสามารถในทางเข้มแข็งด้วยจักรแก้วที่หนึ่ง ทรงใช้ความสามารถในการปกครองด้วยช้างแก้วม้าแก้วและคหบดีแก้ว ทรงใช้ ความสามารถในทางความคิดต่อเนื่องด้วยปริณายกแก้วเป็นอันครบบริบูรณ์ด้วยดี. ผลของการใช้ความสามารถ ๓ อย่าง ด้วยนางแก้วและแก้วมณี. พระเจ้าจักรพรรดินั้นเสวยโภคสุขด้วยนางแก้วและแก้วมณี เสวยอิสริยสุขด้วยแก้วที่เหลือ. อนึ่ง พึงทราบโดยความต่างกัน แก้ว ๓ อย่างอันต้นของพระเจ้าจักรพรรดินั้น สำเร็จได้ด้วยอานุภาพแห่งกรรมที่ให้เกิดกุศลมูลคืออโทสะ แก้วอันกลางสำเร็จ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 543
ด้วยอานุภาพแห่งกรรมที่ให้เกิดกุศลมูลคืออโลภะ แก้วอันสุดท้ายอันหนึ่งสำเร็จด้วยอานุภาพแห่งกรรมที่ให้เกิดกุศลมูลคืออโมหะ.
บทว่า ปโรสหสฺสํ คือมีมากกว่าพัน. บทว่า สูรา ล้วนกล้าหาญ คือไม่ขลาด. บทว่า วีรงฺครูปา มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ คือ มีกายคล้ายเทพบุตร. อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวไว้อย่างนี้. แต่ความจริงในบทนี้มีดังนี้ บทว่า วีระ ท่านกล่าวว่ากล้าที่สุด องค์ของผู้กล้าชื่อว่า วีรังคะ ท่านอธิบายว่า เหตุแห่งความกล้าชื่อว่า วีริยะ. ชื่อ วีรงฺครูปา เพราะมีรูปทรงสมเป็นผู้กล้า อธิบายว่า ดุจมีสรีระสำเร็จด้วยความกล้า. บทว่า ปรเสนปฺปมทฺทินา สามารถย่ำยีกองทัพของข้าศึกได้ อธิบายว่า หากข้าศึกประจัญหน้ากันสามารถย่ำยีข้าศึกนั้นได้. บทว่า ธมฺเมน คือโดยธรรม ได้แก่ศีลห้า มีอาทิว่า ปาโณ น หนฺตพฺโพ ไม่ควรฆ่าสัตว์.
พึงทราบวินิจฉัยในบทน ว่า อรหํ โหติ สมฺมาสมฺพุทฺโธ โลเก วิวฏจฺฉโท จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้วในโลก. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าชื่อว่า วิวฏจฺฉโท ผู้มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้ว เพราะเมื่อโลกมืดมนด้วยกิเลส ถูกหลังคาคือกิเลสอันได้แก่ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ อวิชชา และทุจริต ทั้ง ๗ อย่างปกปิดไว้ เป็นผู้เปิดหลังคาคือกิเลสนั้น ทำให้มีแสงสว่างตั้งอยู่โดยรอบ. พึงทราบว่าท่านกล่าวว่า วิวฏจฺฉทา เพราะเป็นผู้ควรบูชาโดยนัยแรก เพราะเหตุแห่งความเป็นผู้ควรบูชาโดยนัยที่สอง เพราะเหตุแห่งความเป็นพระพุทธะโดยนัยที่สามว่า สมฺมาสมฺพุทฺโธ ดังนี้. อีกอย่างหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อว่า วิวฏจฺฉโท
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 544
เพราะเปิดและไม่ปิด. ท่านอธิบายว่า เว้นจากการหมุนเวียนและเว้นจากการปิด. ด้วยเหตุนั้น จึงทรงพระนามว่า อรหํ เพราะไม่มีการหมุนเวียน และ สมฺมา สมฺพุทฺโธ เพราะไม่มีการปกปิด. เป็นอันท่านอธิบายเหตุทั้งสอง แห่งสองบทข้างต้นนั้นเอง. อนึ่ง ในบทนี้ความสำเร็จครั้งก่อนย่อมมีได้ด้วยเวสารัชชธรรมที่สอง ความสำเร็จครั้งที่สองย่อมมีได้ด้วยเวสารัชชธรรมที่หนึ่ง ความสำเร็จ ครั้งที่สามย่อมมีได้ด้วยเวสารัชชธรรมที่สามและที่สี่. อนึ่ง พึงทราบว่าธรรมจักษุสำเร็จก่อน พุทธจักษุสำเร็จครั้งที่สอง สมันตจักษุสำเร็จครั้งที่สาม. บัดนี้ เสลพราหมณ์ประสงค์จะไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงกล่าวว่า กหํ ปน โภ เกณิย ฯเปฯ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ท่านเกณิยะผู้เจริญ ก็บัดนี้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เจริญพระองค์นั้นประทับอยู่ที่ไหน.
พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า เอวํ วุตฺเต เมื่อเสลพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว. บทว่า เยเนสา คือพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่โดยทิศภาคนั้น. บทว่า นีลวนราชี ได้แก่ ทิวไม้มีสีเขียว. นัยว่าป่านั้นคล้ายแนวเมฆพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ป่านั้น เกณิยชฎิลเมื่อจะชี้ป่านั้นจึงกล่าวว่า เยเนสา โภ เสล นีลวนราชี ท่านเสละผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ทิวไม้สีเขียวนั้น. ในบทว่า เยเนสา นั้น มีปาฐะที่เหลือในบทนี้ว่า โส วิหรติ พระองค์ประทับอยู่ ณ ที่นั้น. บทว่า เยน เป็นตติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ.
บทว่า ปเท ปทํ คือค่อยๆ เดินตามกันมา. ห้ามการเดินเร็วด้วยบทนั้น. บทว่า ทุราสทา หิ ให้ยินดีได้ยาก เสลพราหมณ์กล่าวถึงเหตุว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 545
เพราะท่านผู้เจริญเหล่านั้นให้ยินดีได้ยาก ฉะนั้น ท่านผู้เจริญทั้งหลายจงมาอย่างนี้. หากจะถามว่า เพราะเหตุไร จึงให้ยินดีได้ยาก. เพราะเที่ยวไปผู้เดียวเหมือนราชสีห์. จริงอยู่ ท่านผู้เจริญทั้งหลายเหล่านั้นเที่ยวไปผู้เดียว เพราะใคร่ความสงัด เหมือนราชสีห์เที่ยวไปผู้เดียว เพราะไม่ต้องการเพื่อน. เสลพราหมณ์ให้มาณพเหล่านั้นศึกษามารยาทด้วยบทมีอาทิว่า ยทา จาหํ. ในบทเหล่านั้น บทว่า มา โอปาเตถ คืออย่าสอด อธิบายว่า อย่าพูดสอด. บทว่า อาคเมตุ คือ จงรอ อธิบายว่า จงนิ่งอยู่ก่อนจนกว่าจะพูดจบ.
บทว่า สมนฺเวสิ คือแสวงหา. บทว่า เยภุยฺเยน คือได้เห็นส่วนมาก มิได้เห็นเป็นส่วนน้อย. แต่นั้นเสลพราหมณ์เมื่อจะแสดงมหาปุริสลักษณะที่ไม่เห็น จึงกล่าวว่า เปตฺวา เทฺว เว้นอยู่ ๒ ประการ. บทว่า กงฺขติ คือ เกิดสงสัยว่าจะพึงเห็นได้อย่างไรหนอ. บทว่า วิจิกิจฺฉติ เคลือบแคลง คือ ยากที่จะค้นหา จึงไม่สามารถจะเห็นได้. บทว่า นาธิมุจฺจติ ไม่เชื่อ คือ เพราะความเคลือบแคลงนั้นจึงไม่เชื่อ. บทว่า น สมฺปสีทติ ไม่เลื่อมใส คือ ไม่เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระองค์มีลักษณะบริบูรณ์แล้ว. ความสงสัยอย่างอ่อนท่านกล่าวด้วยบทว่า กงฺขา ความสงสัย สงสัยอย่างกลางท่านใช้บทว่า วิจิกิจฺฉา ความเคลือบแคลง สงสัยอย่างแรงท่านใช้บทว่า อนธิมุจฺจนตา ความไม่น้อมใจเธอ คือความที่จิตมืดมนด้วยธรรม ๓ อย่างนั้นเพราะไม่เลื่อมใส. บทว่า โกโสหิเต ได้แก่ เร้นอยู่ในฝัก. บทว่า วตฺถคุยฺเห ได้แก่ องคชาต. จริงอยู่ พระองคชาตของพระผู้มีพระภาคเจ้า เร้นอยู่ในฝักเหมือนของช้าง มีสีเหมือนทองคำ เหมือนเม็ดในปทุม.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 546
เสลพราหมณ์ไม่เห็นองคชาตนั้น เพราะปกปิดอยู่ในผ้า และไม่สังเกตเห็นว่าพระชิวหาใหญ่ เพราะอยู่ภายในพระโอษฐ์ จึงสงสัยเคลือบแคลงในพระลักษณะทั้งสองเหล่านั้น.
บทว่า ตถารูํป คือมีรูปอย่างไร ในบทนี้เราควรกล่าวอย่างไร. ท่านอธิบายว่า พระนาคเสนเถระถูกพระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ทุกฺกรํ ภนฺเต นาคเสน ภควตา กตํ ข้าแต่พระนาคเสนผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำสิ่งที่ทำได้ยาก. พระนาคเสนถามว่า ทำยากอย่างไร มหาบพิตร. พระเจ้ามิลินท์ตรัสว่า ท่านพระนาคเสนผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงโอกาสที่จะทำความละอายด้วยมหาชนแก่พรหมายุพราหมณ์ แก่อันเตวาสิกอุตตร. พราหมณ์ แก่พราหมณ์ ๑๖ คน ผู้เป็นอันเตวาสิกของพาวรีพราหมณ์ และแก่มาณพ ๓๐๐ คน ผู้เป็นอันเตวาสิกของเสลพราหมณ์. พระนาคเสนถวายพระพรว่า มหาบพิตร พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงแสดงพระคุยหะ พระองค์ทรงแสดงพระฉายา มหาบพิตร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบันดาลด้วยพระฤทธิ์ ทรงแสดงผ้านุ่ง ผ้ารัดกาย ผ้าห่ม เพียงรูปเงา. พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า เมื่อเห็นพระฉายา ก็เป็นอันเห็นแล้วมิใช่หรือท่านผู้เจริญ. พระนาคเสนถวายพระพรว่า มหาบพิตร ข้อนั้นยกไว้ สัตว์ผู้จะตรัสรู้เพราะเห็นหทัยรูปพึงดำรงอยู่ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะทรงนำเนื้อพระหทัยออกแสดง. พระเจ้ามิลินท์ตรัสว่าข้าแต่พระนาคเสนผู้เจริญ พระคุณเจ้าฉลาดมาก.
บทว่า นินฺนาเมตฺวา คือนำออกแล้ว. ในบทนี้พึงทราบว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศถึงความที่พระชิวหายาวโดยสอดเข้าช่องพระกรรณ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 547
ทั้งสอง ความที่พระชิวหาบางโดยสอดเข้าช่องพระนาสิกทั้งสอง, ความที่พระชิวหาหนาโดยปิดพระนลาต.
บทว่า อาจริยปาจริยานํ ได้แก่ อาจารย์ทั้งหลายและอาจารย์ของอาจารย์ทั้งหลาย. บทว่า สเกวณฺเณ ได้แก่ คุณของตน.
ลำดับนั้นแล เสลพราหมณ์ได้ชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้า เฉพาะพระพักตร์ด้วยคาถาอันสมควรว่า
ปริปุณฺณกาโย สุรุจิ สุชาโต จารุทสฺสโน สุวณฺณวณฺโณสิ ภควา สุสุกฺกทาโฒสิ วิริยวา นรสฺส หิ สุชาตสฺส เย ภวนฺติ วิยญฺชนา สพฺเพ เต ตว กายสฺมึ มหาปุริสลกฺขณา.
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์มีพระกายบริบูรณ์ สวยงาม ประสูติดีแล้ว มีพระเนตรงาม มีพระฉวีวรรณดุจทองคำ มีพระเขี้ยวขาวดี มีความเพียร อวัยวะใหญ่น้อยเหล่าใด มีแก่คนผู้เกิดดีแล้ว อวัยวะใหญ่น้อยเหล่านั้นทั้งหมด ในพระกายของพระองค์ เป็นมหาปุริสลักษณะ.
บทว่า ปริปุณฺณกาโย ได้แก่ มีพระสรีระบริบูรณ์ เพราะเต็มด้วยพระลักษณะทั้งหลาย และเพราะอวัยวะน้อยใหญ่ไม่เลว. บทว่า สุรุจิ ได้แก่ มีพระรัศมีแห่งพระสรีระงาม. บทว่า สุชาโต ได้แก่ ทรงบังเกิดดีแล้วด้วย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 548
สมบัติคือสูงและกว้าง และด้วยสมบัติคือสัณฐาน. บทว่า จารุทสฺสโน ได้แก่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่า จารุทสฺสโน เพราะดูงามไม่ทำให้ผู้ดูแม้ดูตั้งนานก็ไม่อิ่ม ไม่น่าเกลียด น่ารื่นรมย์. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า บทว่า จารุทสฺสโน คือมีพระเนตรงาม. บทว่า สุวณฺณวณฺโณ คือมีพระฉวีคล้ายทองคำ. บทว่า อสิ แปลว่า มี. บทนี้พึงประกอบเข้ากับบททุกบท. บทว่า สุสุกฺกทาโฒสิ คือพระเขี้ยวขาวด้วยดี. จริงอยู่ พระรัศมีสีขาวอย่างยิ่ง ซ่านออกจากพระเขี้ยวทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้าดุจแสงจันทร์. ด้วยเหตุนั้น เสลพราหมณ์จึงกล่าวว่า สุสุกฺกทาโฒสิ. บทว่า มหาปุริสลกฺขณา ความว่า เสลพราหมณ์กล่าวสรุปพยัญชนะที่กล่าวไว้ก่อนแล้ว โดยระหว่างบท. บัดนี้ เสลพราหมณ์สรรเสริญพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยพระลักษณะที่ตนชอบอย่างยิ่ง ในบรรดาพระลักษณะเหล่านั้นกล่าวคำเป็นต้นว่า ปสนฺนเนตฺโต มีพระเนตรแจ่มใส.
จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าชื่อว่า ปสนฺนเนตฺโต มีพระเนตรแจ่มใส เพราะสมบูรณ์ด้วยประสาททั้ง ๕ ชนิด, ชื่อว่า สุมุโข มีพระพักตร์งาม เพราะมีพระพักตร์คล้ายมณฑลพระจันทร์เต็มดวง. ชื่อว่า พฺรหา มีพระกายใหญ่ เพราะสมบูรณ์ด้วยความสูงและความกว้าง, ชื่อว่า อุชุ มีพระกายตรง เพราะมีพระกายตรงดุจกายพรหม, ชื่อว่า ปตาปวา มีรัศมีรุ่งเรือง เพราะมีความรุ่งโรจน์. อนึ่ง ในบทนี้แม้คำใดท่านกล่าวไว้ก่อนแล้ว คำนั้นท่านก็กล่าวซ้ำอีก เพราะเป็นคำสรรเสริญโดยปริยายนี้ว่า มชฺเฌ สมณสงฺฆสฺส ในท่ามกลางหมู่สมณะ เพราะท่านผู้เป็นเช่นนี้ย่อมรุ่งเรือง ด้วยประการฉะนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 549
แม้ในคาถาที่นอกเหนือไปก็มีนัยนี้. บทว่า อุตฺตมวณฺณิโน คือ เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวรรณะอันอุดม. บทว่า ชมฺพุสณฺฑสฺส คือชมพูทวีป เสลพราหมณ์เมื่อจะกล่าวพรรณนาความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ให้ปรากฏ. อีกอย่างหนึ่ง พระเจ้าจักรพรรดิย่อมเป็นใหญ่ในทวีปทั้งสี่. บทว่า ขตฺติยา คือเป็นกษัตริย์โดยชาติ. บทว่า โภชา คือ มีโภคสมบัติ. บทว่า ราชาโน คือ พระราชาพระองค์ใดพระองค์หนึ่งครองราชสมบัติ. บทว่า อนุยนฺตา ได้แก่ เสวกผู้ตามเสด็จ. บทว่า ราชาภิราชา คือเป็นพระราชาที่พระราชาบูชา ประสงค์เอาพระเจ้าจักรพรรดิ. บทว่า มนุชินฺโท คือเป็น ใหญ่ในมนุษย์ เป็นใหญ่อย่างยิ่ง.
เมื่อเสลพราหมณ์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงยังความปรารถนานี้ของเสลพราหมณ์ให้เต็มว่า ผู้ใดเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้นั้นเมื่อเขากล่าวถึงคุณของตนย่อมทำตนให้ปรากฏ จึงตรัสว่า ราชาหมสฺมิ เราเป็นราชา ดังนี้.
ในบทนั้นมีอธิบายดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนเสลพราหมณ์ ท่านย่อมขออันใดไว้ ท่านควรเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เพราะเหตุนั้น ท่านจงเป็นผู้มีความขวนขวายน้อยในข้อนี้ เราเป็นพระราชา เมื่อความเป็นพระราชา มีอยู่พระราชาองค์อื่นแม้มีอยู่ย่อมปกครอง ๑๐๐ โยชน์ ๒๐๐ โยชน์ ๓๐๐ โยชน์ ๔๐๐ โยชน์ ๕๐๐ โยชน์ หรือ ๑,๐๐๐ โยชน์ แม้เป็นจักรพรรดิปกครองทวีปใหญ่ มีทวีป ๔ เป็นเขตแดน ฉันใด เราไม่มีขอบเขตกำหนดไว้อย่างนั้น เราเป็นธรรมราชาชั้นเยี่ยมปกครองโลกธาตุทั้งหลาย นับไม่ถ้วนโดยขวางตั้งแต่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 550
ภวัคคพรหมถึงอเวจีเป็นที่สุด เราเป็นผู้เลิศกว่าสัตว์ประเภทไม่มีเท้าและสัตว์สองเท้าเป็นต้น ไม่มีใครเปรียบกับเราได้ด้วยศีล ฯลฯ หรือวิมุตติญาณทัสสนะ เราเป็นธรรมราชาชั้นเยี่ยมอย่างนี้ ยังจักรให้เป็นไปโดยธรรม คือโพธิปักขิยธรรมอันมีสติปัฏฐานสี่เป็นต้นอย่างยอดทีเดียว เรายังอาณาจักรให้เป็นไป โดยนัยมีอาทิว่า พวกท่านจงละสิ่งนี้ จงเข้าถึงสิ่งนี้ดังนี้ หรือยังธรรมจักรให้เป็นไปโดยปริยัติธรรมมีอาทิว่า อิทํ โข ปน ภิกฺขเว ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกข์นี้แลเป็นอริยสัจ ดังนี้. บทว่า จกฺกํ อปฺปฏิวตฺติยํ ความว่า เรายังจักรที่สมณะก็ดี พราหมณ์ก็ดี เทวดาก็ดี มารก็ดี พรหมก็ดี ใครๆ ก็ดี ในโลกให้เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปโดยธรรม.
เสลพราหมณ์เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำพระองค์ให้แจ่มแจ้งอย่างนี้แล้ว จึงเกิดปีติโสมนัส เพื่อทำให้มั่นยิ่งขึ้นจึงกล่าวคาถาที่สองว่า สมฺพุทฺโธ ปฏิชานาสิ พระองค์ทรงปฏิญานว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า โก นุ เสนาปติ เสลพราหมณ์ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใครเป็นเสนาบดี ยังธรรมจักรที่เป็นไปแล้ว โดยธรรมของพระธรรมราชาให้เป็นไปตามได้. สมัยนั้นท่านพระสารีบุตรนั่งอยู่ ณ ข้าง เบื้องขวาของพระผู้มีพระภาคเจ้างดงามด้วยสิริดุจก้อนทอง. พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงกะเสลพราหมณ์จึงตรัสคาถาว่า มยา ปวตฺติตํ ยังธรรมจักร อันเราให้เป็นไปแล้ว.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อนุชาโต ตถาคตํ พระสารีบุตรผู้เกิดตามตถาคต ความว่า พระสารีบุตรผู้เกิดตาม เพราะเหตุตถาคต คือเกิดเพราะตถาคตเป็นเหตุ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 551
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงพยากรณ์ปัญหาว่า โก นุ เสนาปติ ใครหนอเป็นเสนาบดีอย่างนี้แล้ว มีพระประสงค์จะทำให้เสลพราหมณ์ที่กล่าวว่า สมฺพุทฺโธ ปฏิชานาสิ พระองค์ปฏิญาณว่าเป็นสัมพุทธะให้หมดสงสัยในข้อนั้น เพื่อให้รู้ว่าเรามิได้ปฏิฆาณเพียงข้อปฏิญาณเท่านั้น แม้เราก็ปฏิญาณ ว่าเป็นพุทธะด้วยเหตุนี้ จึงตรัสคาถาว่า อภิญฺเยฺยํ เราได้รู้ยิ่งแล้ว.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อภิญฺเยฺยํ ได้แก่ วิชชาและวิมุตติอันเป็นมรรคสัจ และสมุทยสัจ ที่ควรเจริญและควรละ ในข้อนี้เป็นอันท่านอธิบายไว้อย่างนี้ว่า แม้นิโรธสัจและทุกขสัจอันเป็นผลแห่งมรรคสัจและสมุทยสัจเหล่านั้น เป็นอันท่านกล่าวจากความสำเร็จแห่งผล ด้วยคำพูดอันเป็นเหตุ เพราะธรรมที่ควรทำให้แจ้งเราได้ทำให้แจ้งแล้ว ธรรมที่ควรรู้เราทำให้รู้แล้ว. เมื่อจะทรงแสดงการยังสัจจะ ๔ ให้เกิด ผลของการเจริญสัจจะ ๔ วิชชาและวิมุตติ จึงทรงประกาศความเป็นพุทธะด้วยเหตุที่กล่าวแล้วว่า เราตรัสรู้ธรรมที่ควรตรัสรู้แล้วจึงเป็นพุทธะ ดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงทำพระองค์ให้ปรากฏโดยตรงอย่างนี้แล้ว เมื่อจะยังพราหมณ์ให้รีบขวนขวาย เพื่อข้ามพ้นความสงสัยในพระองค์จึง ตรัสคาถาที่สามว่า วินยสฺส ท่านจงกำจัดเสีย.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สลฺลกตฺโต เป็นศัลยแพทย์ คือ ผ่าตัดลูกศร ที่เสียบสัตว์มีลูกศรคือราคะเป็นต้นออกได้. บทว่า พฺรหฺมภูโต คือเป็นผู้ประเสริฐ. บทว่า อติตุโล ไม่มีผู้เปรียบ คือ ล่วงเลยการชั่ง ล่วงเลยการเปรียบ. อธิบายว่า เปรียบไม่ได้เลย. บทว่า มารเสนปฺปมทฺทโน ย่ำยีมาร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 552
และเสนามารเสียได้ คือย่ำยีมารและเสนามาร กล่าวคือบริษัทของมารที่ท่าน กล่าวไว้อย่างนี้ว่า ปเร จ อวชานติ ดูหมิ่นผู้อื่น มีอาทิว่า กามา เต ปมา เสนา กามเป็นเสนาที่หนึ่งของท่าน. บทว่า สพฺพามิตฺเต ได้แก่ ข้าศึกทั้งหมดมีขันธมาร กิเลสมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร และเทวบุตรมาร เป็นต้น. บทว่า วสีกตฺวา คือให้เป็นไปในอำนาจของตน. บทว่า อกุโตภโย คือไม่มีภัยแต่ไหนๆ.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ทันใดนั้นเอง เสลพราหมณ์ เกิดความเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้ามุ่งจะบวช จึงกล่าวคาถาที่สามว่า อิมํ โภนฺโต ท่านผู้เจริญทั้งหลายจงฟังคำนี้ เหมือนอย่างเสลพราหมณ์ได้รับการสั่งสอนโดยชอบ เพราะถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยถึงความเป็นผู้แก่กล้า.
ในบทเหล่านั้นบทว่า กณฺหาภิชาติโก คือเกิดในตระกูลต่ำมีตระกูลคนจัณฑาลเป็นต้น. แต่นั้นบรรดามาณพแม้เหล่านั้นก็มุ่งจะบวชเหมือนกัน จึงกล่าวคาถาว่า เอวํ เจ รุจฺจติ โภโต ถ้าท่านผู้เจริญทั้งหลายชอบใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนอย่างกุลบุตรทั้งหลายที่สร้างสมบุญมากับเสลพราหมณ์นั้น. ลำดับนั้น เสลพราหมณ์ดีใจในพวกมาณพเหล่านั้น เมื่อจะแสดงกะมาณพเหล่านั้นจึงกล่าวคาถาว่า ปพฺพชํ ยาจมาโน พฺราหฺมณ ข้าแต่พราหมณ์ ข้าพเจ้าขอบรรพชา.
แต่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะเสลพราหมณ์ได้เป็นหัวหน้าคณะ บุรุษ ๓๐๐ คนเหล่านั้น ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตระในอดีต ให้สร้างบริเวณกับบุรุษเหล่านั้นแล้วทำบุญมีทานเป็นต้น เสวยเทว-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 553
สมบัติและมนุษย์สมบัติโดยลำดับ ในภพสุดท้ายเกิดเป็นอาจารย์ของบุรุษเหล่านั้น และกรรมของพวกเขานั้นแก่กล้า เพราะแก่กล้าด้วยวิมุตติและมีอุปนิสัยแห่งความเป็นเอหิภิกขุ ฉะนั้น พระองค์จึงให้เขาทั้งหมดเหล่านั้นบรรพชาด้วย เอหิภิกขุบรรพชา ตรัสคาถาว่า สวากฺขาตํ พรหมจรรย์เรากล่าวดีแล้ว.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สนฺทิฏฺิกํ ผู้บรรลุพึงเห็นเอง คือประจักษ์เอง. บทว่า อกาลิกํ ไม่ประกอบด้วยกาล คือ จากผลอันเกิดขึ้นในลำดับมรรค มิใช่ผลอันจะพึงบรรลุในระหว่างกาล. บทว่า ยถา คือนิมิตอันใด. จริงอยู่ บรรพชามีมรรคพรหมจรรย์เป็นนิมิต ย่อมไม่เปล่าประโยชน์แก่ผู้ศึกษา ในสิกขา ๓ ผู้ไม่ประมาท เว้นการอยู่ปราศจากสติ. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า สฺวากิขาตํ ฯเปฯ สิกฺขโต พรหมจรรย์เรากล่าวดีแล้ว ผู้บรรลุพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล เป็นที่ออกบวชอันไม่เปล่าประโยชน์ของบุคคล ผู้ไม่ประมาทศึกษาอยู่. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า เอถ ภิกฺขโว ดูก่อน ภิกษุทั้งหลายพวกเธอ จงเป็นภิกษุมาเถิด. ภิกษุทั้งหมดเหล่านั้นทรงบาตรและจีวรมาทางอากาศถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระสังคีติกาจารย์กล่าวว่า อลตฺถ โข เสโล พฺราหฺมโณ ฯเปฯ อุปสมฺปทํ เสลพราหมณ์พร้อมกับบริษัทได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ หมายถึง ความเป็นเอหิภิกขุของท่านเหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า ภุตฺตาวึ เสวยเสร็จแล้ว. บทว่า โอนีตปตฺตปาณึ คือชักพระหัตถ์จากบาตรแล้ว. ท่านอธิบายว่า นำพระหัตถ์ออกแล้ว. ในบทนั้น พึงเห็นปาฐะที่ขาดไปว่า อุปคนฺตฺวา เข้าไปใกล้แล้ว ไม่ควรใช้ว่า ภควนฺตํ เอกมนฺตํ นิสีทิ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 554
บทว่า อคฺคิหุตํ มุขา ยัญทั้งหลายมีการบูชาไฟเป็นประมุข พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงอนุโมทนาด้วยความอนุเคราะห์เกณิยะ จึงตรัสอย่างนี้.
ในบทนั้น พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อคฺคิหุตํ มุขา ยญฺา ยัญทั้งหลายมีการบูชาไฟเป็นประมุข เพราะพวกพราหมณ์ไม่มีการบูชานอกจากบูชาไฟ. อธิบายว่า การบูชาไฟประเสริฐที่สุด คือการบูชาไฟเป็นประมุข พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า สาวิตฺติ ฉนฺทโส มุขํ ฉันท์ทั้งหลาย มีสาวิตติฉันท์เป็นประมุข เพราะอันผู้สาธยายพระเวททั้งหลายต้องสาธยายก่อน พระราชาท่านกล่าวว่า เป็นประมุข เพราะประเสริฐที่สุดกว่ามนุษย์ทั้งหลาย. สาครท่านกล่าวว่า เป็นประมุข เพราะเป็นที่รองรับและเป็นที่อาศัยของแม่น้ำทั้งหลาย. ท่านกล่าวว่า พระจันทร์เป็นประมุขของนักษัตรทั้งหลาย เพราะเป็นเครื่องปรากฏว่า วันนี้ดาวกัตติกา วันนี้ดาวโรหิณีเพราะอาศัยพระจันทร์ขึ้น. ท่านกล่าวว่า อาทิจฺโจ ตปตํ มุขํ พระอาทิตย์เป็นประมุขของความร้อน เพราะพระอาทิตย์สูงกว่าความร้อนทั้งหลาย. ท่านกล่าวว่า สงฺโฆ เว ยชตํ มุขํ พระสงฆ์แลเป็นประมุขของผู้มุ่งบุญทั้งหลาย หมายถึงพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขในสมัยนั้นด้วยความวิเศษ เพราะพระสงฆ์เป็นทักขิไณยบุคคลผู้เลิศ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระสงฆ์เป็นประมุขแห่งความเจริญของบุญ.
บทว่า ยนฺตํ สรณํ ท่านเสลภิกษุกราบทูลถึงการพยากรณ์อื่น. บทนั้นมีอธิบายดังนี้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีจักษุ ด้วยจักษุ ๕ เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายถึงพระองค์เป็นที่พึ่งในวันที่ ๘ นับแต่วันนี้ (คือถึงสรณะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้า 555
ได้เพียง ๘ วัน) ฉะนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายจึงฝึกฝนตนด้วยความฝึกฝนอย่างยิ่ง ในศาสนาของพระองค์ ๗ ราตรี น่าอัศจรรย์อานุภาพแห่งสรณะของพระองค์.
ต่อจากนั้น เสลภิกษุสรรเสริญพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาสองคาถา แล้วขอถวายบังคมด้วยคาถาที่สามว่า
ภิกฺขโว ติสตา อิเม ติฏฺนฺติ ปญฺชลีกตา ปาเท วีร ปสาเรติ นาคา วนฺทนฺตุ สตฺถุโน.
ภิกษุ ๓๐๐ รูปเหล่านี้ ยืนประนมอัญชลีอยู่ ข้าแต่พระวีรเจ้า ขอทรงเหยียดพระบาทยุคลเถิด ท่านผู้ประเสริฐทั้งหลาย ขอถวายบังคมพระบาทยุคลของพระศาสดา.
จบอรรถกถาเสลสูตรที่ ๗ แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย
ชื่อปรมัตถโชติกา