ทำไมไม่ควรเมตตาคนที่ตายไปแล้ว.
จากข้อความใน mp3 ชุดเมตตา ท่านหมายความว่าอย่างไร การอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตายมิใช่ด้วยเมตตาหรือคะ
ควรทราบหลักของการเจริญเมตตาที่เจริญขึ้นจนถึงระดับอัปนาฌาน ว่าเมตตานั้นต้องมีสัตว์ บุคคลเป็นอารมณ์ เมื่อบุคคลนั้นตายไปแล้ว เช่น นาย ก. เมื่อนาย ก. ตายไปแล้ว ก็เท่ากับไม่มีนาย ก. ในโลกนี้ การเจริญเมตตาแก่นาย ก. จึงไม่ถูก เพราะไม่มีนาย ก. เป็นอารมณ์ของเมตตา
ส่วนการทำบุญอุทิศให้แก่ผู้ตาย ต่างจากการเจริญเมตตาฌานคือ เมื่อบุคคลระลึกถึงคุณของบุพพการีที่ท่านล่วงลับไปแล้ว จึงกระทำกุศล แล้วอุทิศส่วนบุญให้ท่านอนุโมทนา การกระทำดังกล่าวเป็นกุศลขั้นทาน (ปัตติทาน) แต่ขณะจิตประกอบด้วยเมตตาได้ แต่ไม่ใช่เมตตาภาวนาในระดับอัปปนาฌาน ฉะนั้น การเจริญเมตตาแก่คนที่ตายไปแล้ว จึงไม่สามารถเจริญให้ถึงอัปปนาได้ ท่านจึงกล่าวว่าไม่ควรเจริญแก่คนที่ตายไปแล้ว
วิสุทธิมรรคแปล ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 154
ส่วนในคนที่ทำกาลกิริยาแล้ว เจริญไปก็ไม่ถึงอัปปนา ไม่ถึงอุปจารได้เลย มีเรื่องเล่าว่า ภิกษุหนุ่มรูปใดรูปหนึ่งทำเมตตาภาวนาถึงอาจารย์ เมตตาของเราหาดำเนินไปไม่ เธอจึงไปหาพระมหาเถระ (รูปหนึ่ง) เรียนว่า "ท่านผู้เจริญ การเข้าเมตตาฌานของข้าพเจ้าคล่องแคล่วทีเดียว แต่ (เวลานี้) ข้าพเจ้าไม่อาจเข้าเมตตาฌานนั้นได้ เหตุอะไรเล่าหนอ" พระเถระแนะว่า "เธอจงหานิมิตดูเถิด * อาวุโส" ภิกษุนั้นหา (นิมิต) ดูไปจึงรู้ความที่อาจารย์ถึงมรณภาพแล้วก็ทำเมตตาถึงผู้อื่นต่อไป จึงยังสมาบัติให้แน่วแน่ได้ เพราะเหตุนั้นไม่ควรเจริญไปในคนที่ทำกาลกิริยาแล้วเลยทีเดียว
การเจริญเมตตา ต้องเจริญกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น เพราะเมตตาต้องมีสัตว์บุคคลเป็นอารมณ์ เมตตา คือ ความรู้สึกหวังดีเป็นมิตรเกื้อกูลช่วยเหลือด้วยความจริงใจ แต่คนที่ล่วงลับไปแล้ว ไม่สามารถเป็นอารมณ์ได้ นอกจากเราจะทำกุศลแล้วอุทิศไปให้แต่ไม่ใช่เมตตาค่ะ เป็นการให้ส่วนบุญส่วนกุศลกับคนที่จากโลกนี้ไปแล้ว เพราะฉะนั้นสมจริงดังคำพุทธพจน์ว่า ไม่ควรเศร้าโศกถึงคนตาย ควรเอ็นดูสงเคราะห์ ช่วยเหลือเมตตา คนที่ยังมีชีวิตอยู่ค่ะ