จิตของเราเปิดเผยออกมาให้รู้ความจริงแท้ของจิตใจได้ ไม่ใช่ดูแต่การกระทำอย่างเดียวเท่านั้น
คำถามจากคุณกชพร หาอุปละ
จากที่ได้อ่านข้อความนี้
"เอาชื่อทุกคนออกก็เหลือแต่สภาพธรรม
ท่าน อ.สุจินต์...เวลาเราสุข ก็รู้ว่าความรู้สึกเป็นยังไง เวลาคนอื่นเป็นสุขก็สุขอย่างนั้นแหละ เวลาเราโกรธ ความรู้สึกเป็นยังไง คนอื่นโกรธก็รู้สึกอย่างนั้นแหละ ความรัก ความชังของทุกคนก็เหมือนกันหมด ถ้าเอาชื่อของทุกคนออกหมด ก็มีแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นธาตุชนิดหนึ่งๆ จิตก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง เราเรียนเรื่องธาตุหลายอย่าง ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม แต่จิตเป็นธาตุพิเศษซึ่งเป็นธาตุรู้ และเป็นธาตุที่วิจิตรเหลือเกิน ความคิดของคนแตกแขนงไปไม่มีวันจบ เพราะจิตเป็นธาตุที่ช่างรู้ช่างคิด จึงไม่ใช่ว่าเรารู้จักของเราดี จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมมากขึ้นและพิจารณาจนจิตของเราเปิดเผยออกมาให้รู้ความจริงแท้ของจิตใจได้ ไม่ใช่ดูแต่การกระทำอย่างเดียวเท่านั้น"
ขอความเข้าใจเพิ่มเติมในประโยคที่ว่า
"จิตของเราเปิดเผยออกมาให้รู้ความจริงแท้ของจิตใจได้ ไม่ใช่ดูแต่การกระทำอย่างเดียวเท่านั้น"
ขอบพระคุณค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จากประโยคที่ว่า "จิตของเราเปิดเผยออกมาให้รู้ความจริงแท้ของจิตใจได้ ไม่ใช่ดูแต่การกระทำอย่างเดียวเท่านั้น"
ซึ่งก่อหน้านั้นจะมีคำว่า จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมมากขึ้นและพิจารณาจนจิตของเราเปิดเผยออกมาให้รู้ความจริงแท้ของจิตใจได้ ไม่ใช่ดูแต่การกระทำอย่างเดียวเท่านั้น"
ซึ่ง จิต เป็นธาตุรู้ ขณะนี้ มีจิต แต่ก็ไม่รู้ เห็นก็เป็นจิต โลกนี้ปรากฎได้ เพราะมีจิต เพราะรู้สิ่งที่ปรากฎทางตา หู ..ใจ เป็นต้น ทำให้มีการเห็น ได้ยิน ซึ่งการเห็นและการได้ยินก็เป็นจิต เป็นธาตุรู้ แต่เพราะความไม่รู้ ก็ไม่เคยรู้เลยว่าเป็นจิตที่เห็น ไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงธรรม จึงสำคัญผิดว่า เป็นเราเห็น เป็นเราได้ยิน เป็นต้น รวมถึง จิตอื่นๆ ก็ไม่เคยรู้ว่าเป็นจิต เป็นเราที่คิด แท้ที่จริง คือ เป็นธาตุรู้ เป็นแต่จิตที่รู้ เพราะฉะนั้น ธาตุรู้ คือ จิตยังไม่เปิดเผยความจริงให้รู้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมที่เป็นธาตุรู้เท่านั้นที่กำลังมีในขณะนี้ แล้วจิตจะเปิดเผยความจริงแท้ของจิตได้ว่าเป็นแต่เพียงธาตุรู้ได้อย่างไร ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรมในทางที่ถูกต้อง ที่เริ่มจากปัญญาขั้นการฟังเบื้องต้นว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา แต่ละหนึ่ง ซึ่งขั้นการฟังเพิ่งเข้าใจ ยังไม่รู้ตัวจริงของจิต ของธาตุรู้ จิตก็ยังไม่เปิดเผยตัวจริง เพราะเพียงดูการกระทำอย่างเดียว ก็คือ การดูการกระทำ คือ การเห็นสิ่งที่ปรากฎทางตา แล้วเห็นเป็นบุคคลนั้น บุคคลนี้ ทำอะไรอยู่ ก็คิดว่ามีคนนั้นคนนี้ ที่กำลังโกรธ กำลังคิด เดาความคิดของทั้งตนเองและผู้อื่น การกระทำภายนอก เป็นต้น จึงเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฎทางตา เท่านั้น การเห็น เห็นเพียงสี ไม่สามารถเห็นนาม คือ จิต ไม่สามารถเห็นธาตุรู้ได้ จึงดูการกระทำภายนอกแล้วจะรู้ความจริงของจิตไม่ได้ และอะไรหละที่จะเปิดเผยธาตุรู้ เปิดเผยตัวจริงของจิต คือ ด้วยปัญญา ความเข้าใจถูก คือ ปัญญาขั้นสติปัฏฐานที่รู้ตรงลักษณะของธาตุรู้ คือ ขณะที่จิตที่กำลังเกิด สติระลึกรู้ลักษณะเห็นที่กำลังเกิด ไม่ใช่เราเห็น ขณะนั้น มีแต่ลักษณะของธาตุรู้ คือ จิตที่กำลังปรากฎเท่านั้น จึงเริ่มเปิดเผยตัวจริงของจิตด้วยปัญญานั่นเองครับ ซึ่งต้องเป็นปัญญาระดับสูง แต่ค่อยๆ อบรมขั้นการฟังไปทีละน้อย ธรรมก็จะปรุงแต่งจนกว่าจะรู้ตัวจริง เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น หนทางนี้ จึงเป็นจิรกาลภาวนา อบรมปัญญาอย่างยาวนานนับชาติไม่ถ้วนเพราะปัญญาเป็นสิ่งที่เติบโตช้าและสะสมอวิชชา ความไม่รู้มามากนั่นเอง ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกขณะไม่เคยขาดจิตเลย จิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที จิต เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ความเป็นจริงของจิต ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น จิตหลากหลาย แตกต่างกันไปตามเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย บ้าง หลากหลาย โดยอารมณ์ บ้าง เป็นต้น ซึ่งเป็นธรรมที่มีจริง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ตัวตน ก่อนการฟังพระธรรม ก็มีการกล่าวคำว่า จิต แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร แต่เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้ว ก็เริ่มรู้ว่า เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่่กระทบสัมผัสกาย เป็นต้น นี้แหละคือจิต ไม่ใช่ใครเลย จึงต้องอาศัยการฟังพระธรรม เท่านั้น ที่จะทำให้ได้ค่อยๆ เริ่มเข้าใจว่า จิต เป็น ธรรม ไม่ใช่เรา ทุกขณะ เป็นจิต มีให้ศึกษาอยู่ตลอดจริงๆ ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ....