พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ท่านผู้มีอายุ เราไม่พักอยู่ ไม่เพียรอยู่ ข้ามโอฆะได้แล้ว
คำถามจากคุณนิธินาถ ศิริเวช
สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ เลขที่ 4760
เนื้อความที่ว่า “พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ท่านผู้มีอายุ เราไม่พักอยู่ ไม่เพียรอยู่ ข้ามโอฆะได้แล้ว ฯ”
ขอความกรุณาให้ความกระจ่างในเนื้อความนี้ด้วยค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ไม่พัก ไม่เพียร มีความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ตามปกติ ที่เราเข้าใจ การพัก ก็คือการไม่ทำอะไร หยุดกิจการงาน เพียร คือ การทำกิจการงานอย่างใด อย่างหนึ่ง ชื่อว่าเพียร ไม่พัก ก็คือ การทำกิจการงานต่างๆ ไม่หยุดในขณะนั้น และ ไม่เพียร ก็คือ การพัก ที่ไม่ทำกิจการงานในขณะนั้น นี่ก็เป็นการสมมติของชาวโลกที่เข้าใจคำว่า พักเพียร ไม่พัก ไม่เพียร โดยมีตัวตน สัตว์บุคคลอยู่ในนั้น แต่แท้ที่จริงไม่มีสัตว์ บุคคลมีแต่ธรรม เพราะฉะนั้น ก็เป็น จิต เจตสิก ที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่เท่านั้น ดังนั้นคำว่าไม่พัก ไม่เพัยร การพัก และ การเพียร จึงไม่พ้นจากการทำหน้าที่ของ จิต เจตสิก นั่นเองครับ ที่พัก หรือ ที่เพียร ไม่พัก ไม่เพียรซึ่ง คำว่า ไม่พัก ไม่เพียร เป็นหนทางการอบรบปัญญาเพื่อดับกิเลส จึงเรียกว่าไม่พัก ไม่เพียร แต่ ขณะที่พัก และ ขณะใดที่เพียร ไม่ใช่หนทางการดับกิเลสเพราะ มีเรา มีสัตว์ บุคคลด้วยความยึดถือในขณะนั้น เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดง ขณะที่พัก ไว้ หลายนัยดังนี้ ครับ
พัก อยู่ด้วยอำนาจกิเลส คือ ขณะใดที่กิเลสเกิดขึ้น ขณะนั้น กำลังพัก ที่จะไม่ไปสู่ฝั่ง เพราะเปรียบสัตว์โลก เหมือนอยู่ในโอฆะ ห้วงน้ำมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เมื่อฝั่ง คือ พระนิพพาน ที่ดับกิเลสมีอยู่ แต่ว่า เกิดกิเลสขึ้นมาในจิตใจในขณะใด ไม่ว่าจะเป็นกิเลสประเภทใด กิเลสที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ทางที่จะไปสู่หนทางการดับกิเลส พราะฉะนั้นเมื่อกิเลส เกิดขึ้น ชื่อว่า พักอยู่ คือ จมลงในมหาสมุทรของความไม่รู้ ไม่ได้ว่ายข้ามไป เพื่อจะไปถึงฝั่ง และ ขณะที่เพียรอยู่ ด้วยความจงใจ ตั้งใจ ที่เป็นเจตนาเจตสิก ที่เกิดขึ้น ในการทำกุศล อกุศลกรรม อันเป็นไปในวัฏฏะ อันทำให้วนเวียนอยยู่ในมหาสมุทร ไม่ไปถึงฝั่งก็ชื่อลอย อยู่ในมหาสมุทรนั้น ไม่ก้าวข้าม ว่ายไปถึงฝั่ง ครับ เพราะ เจตนาเจตสิก ที่เป็นในกุศล อกุศล ที่เรียกว่า อภิสังขาร เป็นปัจจัยให้เกิดในภพ เป็นปัจจัยให้เกิดร่ำไป ไม่มีที่สิ้นสุด ครับ สมดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ตามที่ได้อธิบาย ใน นัยของคำว่า พัก และ เพียรว่าคืออย่างไร ครับ
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑- หน้าที่ 37
จริงอยู่ ว่าด้วยอำนาจกิเลส เมื่อบุคคลพักอยู่ ชื่อว่า ย่อมจม.ว่าด้วยอำนาจอภิสังขาร เมื่อบุคคลเพียร ชื่อว่า ย่อมลอย
และ อีกนัยหนึ่ง ของคำว่า พักอยู่ และ เพียรอยู่ ซึ่งไม่ใช่หนทางการดับกิเลสก็แสดงลึกลงไปถึงกิเลสที่ประณีตลงไปอีก คือ ขณะใดที่โลภะเกิดขึ้น ขณะที่ยินดี พอใจในสิ่งใด สิ่งหนึ่ง ขณะนั้น ไม่ใช่หนทางการดับกิเลส เพราะเป็นกิเลสที่เกิดขึ้น ก็พักอยู่ในสังสารวัฏฏ์ด้วยความติดข้องที่เกิดขึ้นในขณะนั้น และขณะที่เพียรอยู่ ที่เป็นความเพียรผิด ที่ทำให้ลอยไปในสังสาวัฏฏ์ในห้วงน้ำแห่งความไม่รู้ คือ ขณะที่เกิดความเห็นผิดเกิดขึ้นในจิตใจ สำคัญว่ามีเรา มีสัตว์ บุคคล มีเราที่จะทำได้ เมื่อคิดว่ามีเรา ก็คิดว่าบังคับได้ เช่น บังคับ สติ จะใช้สติ เป็นต้น ก็เพียรด้วยความเป็นเรา ด้วยความเห็นผิด ก็ชื่อว่า ลอยไปในความไม่รู้ อันเป็นความเพียรที่ไม่ถูกต้อง ก็ชื่อว่า เพียรอยู่ ครับ สมดังพระพุทธพจน์ที่ว่า
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 37
อีกอย่างหนึ่ง ว่าด้วยอำนาจแห่งตัณหา เมื่อบุคคลพักอยู่ ชื่อว่า ย่อมจม. ว่าด้วยอำนาจแห่งทิฏฐิ เมื่อบุคคลเพียร ชื่อว่า ย่อมลอย.
และ การพัก อีกนัยหนึ่ง ที่แสดงถึง กิเลสที่ละเอียดลึกลงไปอีก คือ ขณะที่พักคือ ขณะที่เกิดความเห็นผิดว่าเที่ยง ยั่งยืน ตายแล้วเกิด เป็นต้น แต่ไม่เข้าใจว่าเป็นธรรมที่เกิดขึ้น ไม่ใช่สัตว์ บุคคลเกิดขึ้น ขณะนั้น พักอยู่ พักด้วย ทิฏฐิ ความเห็นผิด ว่าเที่ยง ยั่งยืน และ ขณะใดที่เห็นผิดว่า ตายแล้วไม่เกิด ขาดสูญ ขณะนั้นก็ชื่อว่า ลอย คือ เพียรอยู่ เป็นความเพียรที่เกิดกับควาเห็นผิด ซึ่งการพัก และการเพียรทั้งสองอย่างนี้ ก็ไม่สามารถไปถึงฝั่ง คือ การดับกิเลสได้ ครับ
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 37
ว่าด้วยอำนาจแห่งทิฏฐิ เมื่อบุคคลเพียร ชื่อว่า ย่อมลอย. อีกอย่างหนึ่งว่าด้วยสัสสตทิฏฐิ เมื่อบุคคลพักอยู่ ชื่อว่า ย่อมจม. ว่าด้วยอุจเฉททิฏฐิเมื่อบุคคลเพียรชื่อว่า ย่อมลอย
จะเห็นถึงความละเอียด ความละเอียดของอะไร เป็นความละเอียดของกิเลสที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะพัก จะเพียร แม้ไม่ทำ ไม่อบรมปัญญา อยู่เฉยๆ แต่ อยู่ด้วยจิตเป็นอกุศลก็เป็นการพักในขณะนั้น และ แม้จะมีการทำ พยายามที่จะทำ อบบรมปัญญาแต่ไม่เข้าใจหนทางที่ถูกต้อง แต่ มีเรา ที่จะทำสติ ทำปัญญาให้เกิด ไปนั่งปฏิบัติ เป็นต้น ก็เป็นเราด้วยความเห็นผิด ก็เป็นขณะที่เพียรอยู่ ก็เป็นทางผิดอีกเช่นกัน
ดังนั้น การไม่พัก ไม่เพียร คือ หนทางการดับกิเลสที่ถูกต้อง การไม่พัก ไม่เพียรไม่ได้หมายความให้ทำอะไร และ ไม่ให้ทำอะไร เพราะ ไม่มีตัวตนที่จะให้ทำ หรือจะไม่ให้ทำ แต่เป็นการเกิดขึ้นของสภาพธรรมที่จะไม่พัก ไม่เพียร คือ ไม่พัก ไปในอำนาจของกิเลส คือ ไม่เกิดกิเลสในขณะนั้น และ ขณะนั้น ไม่เพียรด้วยความเป็นเราที่จะทำ พยายามด้วยอกุศล จึงกล่าวได้ว่า การไม่พัก ไม่พียร ที่ถูกต้องคือ ขณะที่สติและปัญญาเกิดรู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนั้นว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใชเรา ขณะนั้น ชื่อว่า ไม่พัก ไม่เพียร ที่เป็นขณะที่สติปัฏฐานเกิด เพราะขณะที่รู้ความจริงว่าเป็นธรรม ไม่พัก อยู่ในสังสารวัฏฏ์ เพราะกำลังว่ายข้ามมหาสมุทรของความไม่รู้เพื่อไปสู่ ฝั่ง คือ การดับกิเลสทีละน้อย และ ขณะนั้น ก็ ไม่พยายามเพียรด้วยความเห็นผิด เพราะกำลังรู้ความจริงของสัจจธรรมในขณะนั้น ครับ ขณะที่ไม่ฟังพระธรรม แต่ ขณะที่ปัญญารู้ความจริง ขณะนั้นชื่อว่าไม่พัก ไม่เพียรแต่ ถ้าฟังพระธรรม เพื่ออยากจะรู้ มากๆ ขณะนั้น ก็เพียรด้วยความเป็นเรา ก็ไม่ใช่หนทางการดับกิเลส ธรรมเป็นไปตามเหตุปัจจัย โดยมาก ก็พักอยู่ด้วยอกุศล คือเกิดกิเลส เป็นธรรมดา จะฟัง หรือ ไม่ฟังก็ตามแต่ควรเข้าใจถึงการจะรู้ความจริงถึงการไม่พัก ไม่เพียรได้ ก็ด้วยการอบรมเหตุ คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมใช้ชีวิตเป็นปกติ ปัญญาที่ค่อยๆ เกิดขึ้น ก็จะเห็นประโยชน์ของการฟัง ศึกษาพระธรรมและ การเจริญทุกๆ ประการ ที่เป็นบารมี อันจะเป็นธรรมที่จะทำให้ถึง ฝั่ง คือ การดับกิเลส ครับ
ขอเชิญอ่านเรื่องนี้ ในการสนทนากับ ท่าน อ.สุจินต์ ครับ
ส. ห้วงน้ำใหญ่คือกิเลส วันนี้ข้ามบ้างไหม มีโอฆะ มีห้วงน้ำใหญ่หรือเปล่า ตั้งแต่ลืมตามา ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
ธิ. ไม่พัก ไม่เพียร จะข้ามโอฆะได้หรือ
ส. ขณะที่เข้าใจ ไม่พัก ไม่เพียร พัก คือ ไม่ฟัง ไม่เข้าใจ สนุกสนานทั้งวัน เดือน ปี แล้วก็จากโลกนี้ไป พักไม่สามารถจะเข้าใจได้ แต่ถ้ามีความเห็นผิดเพียรอยากจะถึงนิพพาน เพียรเป็นตัวตนที่จะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งขณะนั้นก็ไม่ใช่หนทาง
เพราะฉะนั้น คำนี้จริงๆ ลึกซึ้งมาก ไม่พัก ไม่เพียร คือไม่ได้หลงอยู่ในความไม่รู้และความติดข้อง พักอยู่สบายๆ เวลาที่ได้ยินคำว่า “ไม่ต้องทำอะไร” คนก็บอกว่า นี่ไงบอกว่าไม่ต้องทำอะไร ก็ไม่ต้องทำ ก็คือพัก นั่นคือไม่ได้เข้าใจคำที่ได้ยินเลย คิดเองหมด ได้ยินคำอะไรก็คิดเอง แต่ธรรมะต้องศึกษาแต่ละคำที่ได้กล่าว แม้แต่มีผู้ที่กล่าวหาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยถ้อยคำต่างๆ พระองค์ก็ใช้คำนั้นอธิบายให้เขาเข้าใจว่า พระองค์ไม่ได้เป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า เวลาได้ยินได้ฟังคำอะไร ไม่ใช่ไปคิดเองว่า หมายความว่าอย่างนี้ แต่ต้องรู้ว่า คำนั้นหมายความว่าอะไร ไม่พัก คือ รู้ว่าจะมีชีวิตอย่างนี้โดยไม่รู้สภาพธรรมะที่กำลังปรากฏให้รู้ คิดดู ไม่ใช่ไม่มีอะไรจะให้รู้ให้เข้าใจ มีสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นสิ่งที่ควรรู้ ควรเข้าใจ แล้วจะพักไม่รู้ ไม่เข้าใจ ก็ลองคิดเอง มีสิ่งที่ปรากฏให้รู้ให้เข้าใจ แต่ก็ไม่รู้ บางคนก็ไม่อยากจะรู้ด้วย
ธิ. แล้วเพียรล่ะคะ
ส. ถ้าเข้าใจผิด ได้ยินแค่คำนี้ เพียรเลย เราเพียร เพราะบอกให้เพียร ก็ไม่ใช่เราที่เพียร เพียรต้องด้วยความเห็นถูกต้อง เพียรที่จะมีความเห็นที่ถูกต้องในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ฟังเลย เพียรอย่างไรที่จะมีความเห็นถูกต้องในสิ่งที่ปรากฏ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ก็ต้องตามลำดับขั้น ถ้ารู้จริงๆ โดยนัยของสภาพธรรมะที่เป็นอภิธรรมะที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ก็จะรู้ว่า สภาพเพียรมีจริง เป็นเจตสิก ไม่ใช่จิต ภาษาบาลีจะใช้คำว่า “วิริยเจตสิก” เกิดกับจิตใดบ้าง จากการที่ทรงตรัสรู้ ไม่ใช่เราอยากจะเพียร แล้วเป็นเราเพียร โดยที่ว่าขณะนั้นเพียรเกิดแล้ว จิตนั้นๆ ก็ไม่รู้ว่าเพียร นี่ก็เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยการศึกษาจริงๆ เพื่อเข้าใจ ไม่ใช่ศึกษาเพื่อชื่อว่าศึกษา แต่ไม่เข้าใจ อย่างนั้นไม่ใช่ผู้ศึกษาแน่นอน
ธิ. หมายถึงไม่ได้พักด้วยอกุศล และไม่เพียรด้วยอกุศล
ส. ถูกต้อง
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
โอฆะ เป็นกิเลสดุจห้วงน้ำใหญ่ ที่ท่วมทับหมู่สัตว์อยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังพัดพาให้ไปเกิดในภพน้อยภพใหญ่ ไม่ให้ถึงฝั่งคือพระนิพพาน ไม่ให้ถึงการดับกิเลสได้อย่างเด็ดขาด โดยสภาพธรรมของกิเลสที่เป็นดุจห้วงน้ำใหญ่ นั้น ไม่พ้นไปจากโลภะความติดข้องยินดี พอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งมีเป็นปกติในชีวิตประจำวัน รวมถึงความยินดีในภพ ความยินดีในขันธ์ด้วย นอกจากนั้นก็ยังมีทิฏฐิ ซึ่งเป็นความเห็นผิด และอวิชชา ความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง
การศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ที่ขาดไม่ได้เลยนั้น คือ จะต้องเป็นผู้มีความละเอียด รอบคอบ และที่สำคัญ ต้องมีความเข้าใจในอรรถที่พระองค์ทรงมุ่งหมายในแต่ละแห่งๆ ด้วย อย่างในที่นี้ พระองค์ทรงแสดงว่า ไม่พัก ไม่เพียร จึงข้ามโอฆะได้นั้น หมายถึง ไม่พักอยู่ด้วยอกุศล ไม่พักอยู่ด้วยความติดข้องยินดีพอใจ อีกทั้งไม่เพียร ด้วยการประพฤติปฏิบัติที่ผิด ไม่เพียรด้วยความเห็นผิด (เพราะการเพียรไปในทางที่ผิด ไม่เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญา) หรือแม้แต่ความเพียรที่เป็นไปในกุศลที่ยังเป็นไปในวัฏฏะ ก็ไม่ทำให้ออกไปจากวัฏฏะได้ เป็นต้น เมื่อไม่เพียรไปด้วยความเห็นผิด เป็นต้น อย่างนี้ จึงข้ามโอฆะได้ ไม่เป็นผู้จม ไม่เป็นผู้ลอยอีกต่อไป เพราะการจม และการลอย แสดงถึงความเป็นผู้ยังข้ามห้วงน้ำคือกิเลสยังไม่ได้ บุคคลผู้ที่จะข้ามกิเลสดุจห้วงน้ำใหญ่ได้อย่างเด็ดขาดนั้น ต้องถึงความเป็นพระอรหันต์ ดังนั้น จึงไม่มีทางอื่นที่จะทำให้เป็นผู้หมดจดจากกิเลส ไม่จมลงอยู่ในกิเลสดุจห้วงน้ำใหญ่อีกต่อไป นอกจากการอบรมเจริญปัญญา เพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะนอกจากปัญญาแล้ว ไม่มีสิ่งอื่นใดที่จะมาดับกิเลสได้เลย
เพราะฉะนั้น จึงควรที่จะเป็นผู้เห็นประโยชน์สูงสุดของปัญญา ซึ่งต้องเริ่มอบรมเจริญจากการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ในชีวิตประจำวัน สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...