ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๓๔
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
* * ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๓๔ * *
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นธรรมทานที่ให้ชีวิตที่เริ่มเปลี่ยนจากความไม่รู้เป็นความเข้าใจสิ่งที่มีตามความเป็นจริงตามกำลังของปัญญาที่มีโอกาสได้ฟังธรรมแล้วก็ได้ไตร่ตรองธรรม เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ใครไม่เปลี่ยนบ้างหลังจากที่ได้ฟังธรรม มากน้อยแค่ไหนแล้วแต่กำลังของปัญญา
~ ถ้าเป็นผู้ที่หวังดีจริงๆ จะเป็นผู้ที่กล่าวคำที่ถูกต้องเพื่อให้เขาเข้าใจถูก เขาจะโกรธ เขาจะเกลียด เขาจะไม่ชอบ ไม่เห็นสำคัญเลย เขาไม่สามารถที่จะลบล้างความหวังดีของเราได้
~ ช่วยเขาให้พ้นจากความเข้าใจผิดทั้งชาติตามที่ได้สะสมความเข้าใจผิดมาแล้ว ไม่เคยได้เข้าใจถูกเลย แล้วเป็นประโยชน์มหาศาลไหม เพราะเหตุว่า ไม่ใช่แค่ชาตินี้ชาติเดียว ถ้ามีความเข้าใจถูกต้อง ก็จะไม่ผิดต่อๆ ไป แต่ถ้ามีความเข้าใจผิดแต่ละชาติมาแล้ว และก็ยังมีความเข้าใจผิดต่อไปอีก ชาติหน้าก็ต้องผิดต่อไป
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้คนที่ได้ฟังมีความเข้าใจที่ถูกต้อง โดยพระมหากรุณา เพราะรู้ว่าสัตว์โลก ไม่มีทางที่จะเข้าใจความจริงในขณะนี้ได้เลย ถ้าไม่ได้ยินคำที่พระองค์ตรัสถึงสิ่งที่มีจริงจนกระทั่งเขาได้เข้าใจ
~ การสนทนาธรรมแต่ละครั้ง ประโยชน์อยู่ที่ความเข้าใจจริงๆ เพราะเหตุว่าทุกคำที่เราได้ฟังเป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วเมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปี เพราะฉะนั้น ทุกคนก็รู้ว่าใครเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่อย่างที่เราคิดว่าเป็นอย่างธรรมดาๆ แต่ว่าจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด เป็นศาสดาของโลก ทั้งมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก เพราะฉะนั้น คำของพระองค์ ต้องลึกซึ้ง ตรัสด้วยพระปัญญาคุณ แต่คนที่ฟังมีปัญญาพอที่จะเข้าใจคำนั้นจริงๆ หรือเปล่า? เพราะฉะนั้น ประมาทไม่ได้เลย ทุกคำเป็นคำที่มีค่า
~ ประโยชน์ที่ได้รับจากการฟังพระธรรม คือ การไตร่ตรองของผู้ฟังเอง ซึ่งจะต้องไตร่ตรองด้วยตนเอง จะมาขอยืม หรือ ขอ หรือซื้อความเข้าใจจากใครไม่ได้เลยทั้งสิ้น นอกจากอาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
~ แต่ละคำ ขอให้เริ่มเป็นความเข้าใจจริงๆ ถ้าไม่เข้าใจคำหนึ่ง จะไม่มีทางเข้าใจคำอื่นต่อไปได้เลย ทุกคำต้องเริ่มตั้งแต่ต้น ทีละคำ เพราะฉะนั้น คงจะไม่รีบร้อนไปไหน เพราะทุกคนก็ทราบว่ากิเลสมาก แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง กว่าจะดับกิเลสได้ ก็ต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไหร่ แล้วเรากว่าจะเข้าใจคำของพระองค์และรู้คุณค่าและสะสมความเข้าใจจนกว่าจะสามารถรู้จักพระองค์ ก็ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนาน
~ ขณะนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน? พระองค์ทรงดับขันธปรินิพพานแล้ว แต่คำของพระองค์ทุกคำ เป็นศาสดาแทนพระองค์ เพราะฉะนั้น จะรู้จักพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต่อเมื่อได้ฟังและเข้าใจ ต้องเป็นความเข้าใจของเราเอง ถ้าไม่เข้าใจ ความไม่เข้าใจก็ปิดกั้นคำของพระองค์ เพราะขาดการไตร่ตรอง ขาดความเป็นผู้ตรงต่อความจริง ซึ่งความจริงมีอยู่ทุกขณะ ฟังแล้วเข้าใจได้ ต้องเริ่มเข้าใจจนสามารถประจักษ์แจ้งความจริงของแต่ละคำ ซึ่งกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ ทุกกาลสมัย ไม่ว่าที่ไหน แม้ในขณะนี้
~ การฟังธรรม ต้องเป็นผู้ตรง ไม่ใช่เพื่อลาภ เพื่อยศ เพื่อสักการะ เพื่อชื่อเสียงใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่เพื่อความเข้าใจ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจได้เลย ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ ผู้ฟังธรรม ต้องเป็นผู้ที่ตรง จริงใจ เพื่อเข้าใจ เพราะฉะนั้น เวลาที่ผ่านไปแต่ละขณะ ประโยชน์คือเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ดีแล้วแต่ละคำ
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ เป็นพระธัมมเทสนา ประกาศ แสดงความจริงของธรรม เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหมดที่ได้ตรัสไว้แล้วก็เป็นพระธรรม เพราะกล่าวถึงธรรม คือ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ซึ่งลึกซึ้งมาก เพราะแม้ว่าจะได้ฟังนานเท่าไหร่ ก็ไม่พอ จนกว่าจะรู้ความจริงตรงตามที่ได้ฟัง
~ ถ้าขาดการศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ก็ต้องผิด การที่จะแก้สิ่งที่ผิดด้วยความไม่รู้ต่อไป ผิดต่อไปแน่นอน แต่การที่จะแก้สิ่งต่างๆ ที่เป็นปัญหา ไม่ว่าจะปัญหาเรื่องใดทั้งสิ้น ปัญหาเล็กปัญหาใหญ่อย่างไรก็ตาม จะแก้ได้ก็ด้วยความรู้
~ ใครกำลังจะตายบ้าง? ลองคิด ทุกคนหรือเปล่า? ตายเดี๋ยวนี้ก็ได้จริงไหม? เพราะฉะนั้น ทุกคนก็กำลังจะตาย จนกว่าจะถึงขณะซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย แม้ความตายก็ต้องเป็นในขณะนั้นที่มีปัจจัยถึงพร้อมที่จะพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ จะเป็นบุคคลนี้อีกต่อไปไม่ได้เลยในสังสารวัฏฏ์
~ ต้องอาศัยความเข้าใจซึ่งเกิดจากการฟังพระธรรมแล้วก็ไตร่ตรองจนเป็นความเข้าใจ เมื่อมีความเข้าใจพระธรรม ก็จะรู้ว่า ไม่มีอะไรที่จะมีค่าเท่ากับความเข้าใจพระธรรม ตลอดชีวิต จะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ว่าสิ่งอื่นไม่สามารถที่จะนำไปได้เลย นอกจากกุศลและอกุศลติดตามไป
~ แม้กุศลเล็กน้อยขณะนั้นเกิดแล้ว อกุศล ไม่เกิด ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เห็นประโยชน์ของกุศลธรรม จึงไม่ประมาทแม้กุศลเพียงเล็กน้อย ไม่ว่าจะทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ แต่ถ้าไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ขณะนั้น ไม่ใช่เรา
~ เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะจากโลกนี้ไป อะไรก็ไม่สามารถจะติดตามไปได้เลย ทรัพย์สมบัติหรือว่าร่างกาย ก็ไปไม่ได้ แต่ว่า ความเข้าใจถูกความเห็นถูก ที่ค่อยๆ สะสม โดยความไม่ประมาท จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น
~ ความดีในฐานะของภิกษุ คือ ต้องศึกษาธรรม ต้องขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ไม่มีชีวิตเหมือนอย่างคฤหัสถ์ จะมาร้องเพลง ก็ไม่ได้ แอบร้องก็ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าไม่มีใครเห็นก็ร้องได้ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ขัดเกลาคือขัดเกลา มั่นคงคือมั่นคง ตรงคือตรง เพราะฉะนั้น เมื่อชาวบ้านเขาสละสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้แก่ภิกษุ นั้น แล้วภิกษุนั้นควรจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าทำชั่ว ไม่ใช่ผิดพระธรรมวินัย เพราะเขาไม่ได้ถวายให้คนชั่ว เขาไม่ได้ให้กับโจร แต่เขาให้กับผู้ที่จะขัดเกลากิเลสในเพศของพระภิกษุ เพราะฉะนั้น พระภิกษุนั้นจะต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย และศึกษาธรรม เข้าใจธรรมด้วย จนกว่าจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม นั่นคือ การทำความดีในเพราะการขอ (ทำความดีให้สมกับที่ได้รับการทะนุบำรุงดูแลจากคฤหัสถ์ด้วยการถวายสิ่งของที่เหมาะควรแก่เพศบรรพชิต)
~ ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ให้เป็นอย่างอื่นได้เลย ให้เป็นอย่างอื่น ให้เป็นอย่างนั้น ให้เป็นอย่างนี้ด้วย ก็ไม่ได้ ธรรมต้องเป็นธรรมประการเดียว กุศลธรรมเป็นกุศลธรรม อกุศลธรรมเป็นอกุศลธรรม ไม่ว่าจะเกิดกับใคร ที่ไหน ทั้งหมด ก็คือ เป็นธรรม
~ ทุกคนที่ยังโกรธอยู่ คิดอย่างไร ยังจะเป็นผู้ว่ายาก คือว่า อยากจะโกรธต่อไปอีก หรือว่าเป็นผู้น้อมไปที่จะไม่โกรธ เพราะเหตุว่าจะไม่โกรธทันที เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แต่แม้กระนั้น พระธรรมที่ได้ฟังก็ทำให้จิตอ่อนโยน แล้วก็มีศรัทธาที่จะน้อมไปที่จะประพฤติปฏิบัติตาม ที่ใช้คำว่า “น้อมประพฤติปฏิบัติตาม” เพราะเหตุว่าทุกคนยังปฏิบัติตามทันทีไม่ได้ตรงตามที่ได้เข้าใจ เช่นเข้าใจว่า โลภะไม่ดี โทสะไม่ดี โมหะไม่ดี แต่ว่าใครจะละโลภะ โทสะ โมหะ ได้ในเมื่อปัญญายังไม่ได้เจริญขึ้นถึงขั้นที่จะละได้
~ ทุกคนฟังพระธรรม เพื่อเข้าใจในเหตุในผล อกุศลเป็นอกุศล เป็นโทษ กุศลเป็นกุศล ไม่เป็นโทษ ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้วก็น้อมไปที่จะละอกุศล และเจริญกุศลยิ่งขึ้น ไม่ใช่ยังเป็นผู้ที่แข็งกระด้าง ว่ายาก ไม่ว่าพระธรรมจะว่าอย่างไร แต่ใจยังต้องการที่จะเป็นอกุศลต่อไปอีก ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วก็ไม่ได้รับประโยชน์จากการฟังพระธรรม
~ ต้องคิดถึงประโยชน์ เรื่องของวาจาทั้งหมด ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องจริง ก็จะต้องคิดด้วยว่า เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ ถ้าเป็นประโยชน์ คือ เพื่อให้กุศลจิตเกิด ให้มีความเข้าใจถูก ให้พ้นจากอกุศลซึ่งจะติดตามมาอีกมากมาย ก็ควรที่จะพูด
* * ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่หัวข้อด้านล่างนี้ครับ * *
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๕๓๓
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ประโยชน์ที่ได้รับจากการฟังพระธรรม คือ การไตร่ตรองของผู้ฟังเอง ซึ่งจะต้องไตร่ตรองด้วยตนเอง จะมาขอยืม หรือ ขอ หรือซื้อความเข้าใจจากใครไม่ได้เลยทั้งสิ้น นอกจากอาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบอนุโมทนาค่ะ
คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ เป็นพระธัมมเทสนา ประกาศ แสดงความจริงของธรรม เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหมดที่ได้ตรัสไว้แล้วก็เป็นพระธรรม เพราะกล่าวถึงธรรม คือ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ซึ่งลึกซึ้งมาก เพราะแม้ว่าจะได้ฟังนานเท่าไหร่ ก็ไม่พอ จนกว่าจะรู้ความจริงตรงตามที่ได้ฟัง
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ