๑๐. ปฐมภิกษาทายิกาวิมาน ว่าด้วยภิกษุทายิกาวิมาน
[เล่มที่ 48] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 210
๑. อิตถิวิมานวัตถุ
จิตตลดาวรรคที่ ๒
๑๐. ปฐมภิกษาทายิกาวิมาน
ว่าด้วยภิกษุทายิกาวิมาน
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 48]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 210
๑๐. ปฐมภิกษาทายิกาวิมาน
ว่าด้วยภิกษุทายิกาวิมาน
[๒๗] พระมหาโมคคัลลานเถระถามเทพธิดานั้น ด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
ดูก่อนเทพธิดา ท่านเป็นผู้มีวรรณะงาม มีรัศมีส่องสว่างไสวไปทุกทิศ เหมือนดาวประกายพรึก เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีวรรณะงามเช่นนี้ ฯลฯ และรัศมีของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
เทพธิดานั้นถูกพระโมคคัลลานเถระถามแล้วดีใจ จึงได้พยากรณ์ปัญหาแห่งกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า
ในชาติก่อนครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ดีฉันอยู่ในหมู่มนุษย์ในมนุษยโลก ได้พบพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากกิเลสธุลีผ่องใสไม่ขุ่นมัว ก็เลื่อมใส ได้ถวายภิกษาแด่ พระองค์ด้วยมือของดีฉันเอง เพราะบุญอันนั้น ดิฉันจึงมีวรรณะเช่นนี้ ฯลฯ และรัศมีของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
จบปฐมภิกษาทายิกาวิมาน
อรรถกถาปฐมภิกษาทายิกาวิมาน
ปฐมภิกษาทายิกาวิมาน มีคาถาว่า อภิกฺกนฺเตน วณฺเณน ดังนี้ เป็นต้น. ปฐมภิกษาทายิกาวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร?
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 211
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน กรุงสาวัตถี. สมัยนั้น หญิงคนหนึ่ง อยู่ในอุตตรนธุรานคร จะสิ้นอายุ ควรเกิดในอบายภูมิ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากมหากรุณาสมาบัติเวลาใกล้รุ่ง ทรงตรวจดูโลก ทรงเห็นหญิงนั้นควรเกิดในอบายภูมิ มีพระทัยอันพระมหากรุณาเตือนแล้ว มีพุทธประสงค์จะให้นางดำรงอยู่ในสุคติภูมิ จึงเสด็จไปมธุรานครพระองค์เดียวหามีเพื่อนไม่ ครั้นเสด็จถึงแล้ว ในเวลาเช้าทรงนุ่งแล้วถือบาตรและจีวรเสด็จไปบิณฑบาตนอกพระนคร. สมัยนั้น หญิงนั้นจัดแจงอาหารไว้ในเรือนเสร็จแล้ว เก็บงำไว้ในที่ส่วนหนึ่ง ถือหม้อน้ำไปท่าน้ำ ก็เอาหม้อน้ำตักน้ำ กำลังไปเรือนของตน ก็พบพระศาสดาระหว่างทาง ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทรงได้บิณฑบาตแล้วหรือเจ้าค่ะ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ก็คงจักได้ ก็ทราบว่าพระองค์ยังไม่ได้บิณฑบาต วางหม้อน้ำเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักถวายบิณฑบาต โปรดทรงรับเถิดเจ้าค่ะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับโดยดุษณีภาพ. หญิงนั้นทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับแล้ว เดินล่วงหน้าไปก่อน ปูลาด อาสนะเหนือที่แห้งและเกลี้ยงเกลา ยืนคอยดูพระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปยังเรือนประทับนั่งบนอาสนะที่ปูถวาย. ดังนั้น นางได้อาราธนาให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยเสร็จแล้ว ทรงชักพระหัตถ์ออกจากบาตร ทรงทำอนุโมทนาแก่นาง แล้วก็เสด็จหลีกไป. นางฟังอนุโมทนา รู้สึกปีติและโสมนัสมิใช่น้อย ไม่ย่อมละปีติมีพระพุทธคุณเป็นอารมณ์ ยืนนมัสการอยู่จนพระพุทธเจ้าเสด็จลับสายตาไป.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 212
ล่วงไปได้ ๒ - ๓ วัน นางก็ทำกาละตายไปบังเกิดในภพดาวดึงส์ มีเทพอัปสรประมาณพันหนึ่งเป็นบริวาร. ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระถามเทพธิดานั้นด้วยคาถาว่า
ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงาม ฯลฯ เหมือนดาวประกายพรึก เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีวรรณะเช่นนี้ ฯลฯ และรัศมีของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
เทพธิดานั้นถูกพระโมคคัลลานเถระถามแล้วดีใจ ก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างไรว่า
ในชาติก่อน ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ดีฉันอยู่ในหมู่มนุษย์ในมนุษยโลก ได้พบพระพุทธเจ้าผู้ปราศจากกิเลสธุลีผ่องใสไม่ขุ่นมัว ดีฉันเลื่อมใส ก็ถวายภิกษาแด่พระองค์ด้วยมือของตนเอง เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมีวรรณะเช่นนี้ ฯลฯ และรัศมีของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
คำที่เหลือทั้งหมดมีเนื้อความง่ายทั้งนั้น เพราะมีนัยอันกล่าวมาแล้วในหนหลัง.
จบอรรถกถาปฐมภิกษาทายิกาวิมาน