ขั้นปฎิบัติ? ฟังธรรมเช่นไร ถึงจะเป็นการฟังเพื่อการปฎิบัติ
ฟังธรรมจาก MP3 มาหลายปี ก็พอเข้าใจ โดยเฉพาะ ถ้าเป็นวันหยุด จะอยู่กับตัวเองค่อนข้างมาก คือ เช้าๆ ก็จะออกกำลังกายที่สวนหลวง และกลับถึงบ้านก็จะเปิด MP3 ฟัง และอ่านหนังสือที่ชอบ ขณะที่ฟังธรรมก็เข้าใจ จิตสงบ ไม่รู้สึกจิตใจวุ่นวายหงุดหงิด เป็นชีวิตที่ค่อนข้างชอบ พอเช้าวันจันทร์ ก็จะเกิดอาการแบบอะไรกระทบก็กระเทือนทันที รู้สึกไม่ไหวเหมือนกัน ราวกับว่า สิ่งที่ฟังธรรมมานั้นไม่ได้ซึมลึกถึงจิตใจเลย มีแต่คิดถึงอกุศลของคนอื่น โดยคิดว่าตัวเองคือ ต้นแบบของความถูกต้อง ซึ่งมันไม่ใช่เลย ซึ่งในร้านหนังสือ จะมีหนังสือประเภท How to ค่อนข้างมาก ก็ซื้ออ่าน มีหมด แต่ก็ได้สติตอนอ่าน พออยู่ในชีวิตประจำวัน ก็เหมือนเดิม ฟังธรรมเช่นไร ถึงจะเป็นการฟังเพื่อการปฎิบัติ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ฟังธรรมเช่นไร ถึงจะเป็นการฟังเพื่อการปฎิบัติ
ฟังเพื่อเข้าใจในสิ่งที่ฟังเท่านั้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น โดยต้องรู้ก่อนว่า ปัญญามีหลายระดับ กิเลสก็มีหลายระดับ ปัญญาขั้นการฟัง ไม่สามารถทำอะไรกิเลสได้เลย เพียงแต่เริ่มมีความเห็นถูกขึ้น ทีละเล็กละน้อย โดยเริ่มจาก ปัญญาขั้นการฟังว่าทุกอย่างเป็นธรรม แม้อกุศลก็เป็นธรรม กิเลสมีเหตุปัจจัยก็เกิดเป็นธรรมะเพราะเรามีปัญญาเพียงขั้นการฟัง แต่ปัญญาขั้นการฟังนี่แหละ จะเป็นเหตุปัจจัยให้ปัญญาขั้นปฏิบัติเกิดขึ้น ดังนั้น จึงควรเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรมดา กิเลสเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
เพราะฉะนั้น ฟังธรรมเพื่อเข้าใจความจริงว่าเป็นธรรม นี่แหละจะเป็นไปเพื่อการปฏิบัติคือ สติเกิดระลึกสภาพธัมมะที่มีจริงว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา (สติปัฏฐาน) และก็จะทำให้รู้ความจริงว่า ปัญญาขั้นการฟังทำอะไรกิเลสไม่ได้ แต่ฟังให้เข้าใจว่า เป็นธรรมแม้กิเลสที่เกิดขึ้นครับ
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
เราสะสมอวิชชามานานนับไม่ได้ เพราะฉะนั้นปัญญาขั้นฟัง เพียงละความไม่รู้ แต่ไม่สามารถละกิเลสได้ ต้องเป็นปัญญาที่เกิดจากการอบรมสติปัฏฐาน จึงจะค่อยๆ ละคลายความเป็นตัวตนเป็นเราไปทีละเล็กทีละน้อย เหมือนจับด้ามมีด จับครั้งแรกก็ยังไม่สึกต้องใช้เวลานาน การเจริญสติปัฏฐานก็เช่นกัน
สิ่งใดจะเกิดก็มาจากเหตุปัจจัย เราสะสมกิเลสด้านต่างๆ โลภ โกรธ หลง มานานหลายภพชาติจนปัจจุบัน จะให้ไม่ให้เกิดก็เป็นไปไม่ได้ เพราะมีเหตุ มีเชื้อที่จะให้เกิดอยู่แล้วด้วยความเคยชิน เมื่อประสบอารมณ์แบบนั้น ก็จะแสดงออกมาอีกเรื่อยๆ อย่างนี้เรื่อยไป จนกว่าสติปัญญาจะมากขึ้นและรับมือทันกับอารมณ์นั้นๆ ต้องใช้เวลาครับ ขอให้ฟังและคิดให้บ่อยๆ คิดอย่างแยบคายหลังฟัง ให้เข้าใจถูกให้ได้แล้วจะค่อยๆ ละไปเองครับอารมณ์ต่างๆ ที่ปรากฎ เช่น ความโกรธ จะอยู่ได้นานแค่ใหน ก็อยู่ที่สติมากขึ้นปัญญามากขึ้นเร็วขึ้น และทันบ่อยๆ ครับ ก็จะค่อยๆ ละคลายได้เร็วเองครับ ครั้งแรกอาจจะช้า (สติ) ขอให้พิจารณาให้เห็นจริงว่าสภาพจิตต่างๆ จะเกิดย่อมมีเหตุให้เกิด ไม่ใช่เราที่เกิดแต่เป็นสภาพธรรมต่างที่เกิด ทั้งดี ชั่ว ชอบไม่ชอบ ถูกใจ ไม่ถูกใจ ก็ไม่ต้องยินดี ติดข้องด้วยโลภะ และปฏิเสธไปด้วยโทสะ ทุกขณะจิตมีทั้งความสุขความทุกข์ เป็นแต่ลักษณะต่างๆ ที่อาศัยเหตุเกิดขึ้นครับ ไม่ใช่เราเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ นี้แหละครับคือกองทุกข์ คือกองแห่งการเกิดดับ ไม่มีช่องว่าง ให้ความสุขที่แท้จริงเลย สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรครับ นอกจากทุกข์ หรือที่เรียกว่าความว่างเปล่ามีแล้วก็ไม่มี ไม่คงที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ และไม่ได้เป็นใคร เป็นแต่สภาพที่ปรากฎให้รู้แล้วก็หายไป เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามแต่เหตุที่จะให้เกิดผลนั้นๆ เรื่อยไป จนบัดนี้ก็เป็นอย่างนี้ และต่อไปก็จะเป็นไปตามเหตุ ถ้าเหตุยังไม่หมดผลอันนั้นก็ยังไม่หมด เหล่านี้จึงเป็นกองแห่งทุกข์ที่แท้จริง อีกอย่างเราทุกข์เพราะเราเข้าใจว่าสภาพต่างๆ นั้นเป็นเรา เราจึงทุกข์ไปตามสภาพนั้นๆ ถ้าทุกข์น้อยเราก็ถือว่าสุข แต่นั่นไม่ใช่สุขที่แท้จริงเป็นแต่เพียงทุกข์ที่ลดลงบรรเทาลงเท่านั้น และยังจะทวีทุกข์ต่อไปอีก ถ้าเราไม่ถือมั่นว่าเป็นเราที่ทุกข์ เป็นแต่สภาพธรรมที่ทุกข์ไปตามกฎธรรมดา เราก็จะบรรเทาทุกข์ไปได้ไม่มากก็น้อย ตามแต่กำลังสติปัญญาของเราครับ ขอให้ประสบสุขครับ
อนุโมทนา
ถ้ายังมีเราฟังธรรมอยู่เมื่อไรปัญหาต่างๆ ก็ไม่สามารถแก้ได้ ปัญหาเกิดเพราะมีเรา มีตัวตนฟังธรรม เมื่อไม่มีเราเมื่อไรมีธรรม ฟังธรรมมื่อไรปัญหาต่างๆ ก็ไม่มีฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจว่าไม่มีเราและคนอื่น ก็ไม่มีความติดข้อง (โลภะ) จะตามเราตลอดหลอกเราให้มีความหวังว่าจะเป็นคนดี และคนอื่นก็จะต้องดีด้วย เมื่อไม่ได้ตามที่หวังก็เกิดโทสะเป็นธรรมดา จะเป็นคนดีไม่ได้ตราบเท่าที่ยังมีเรา