๗. สัตตปุตตขาทิกเปตวัตถุ ว่าด้วยนางเปรตเปลือยกายมีกลิ่นเหม็น
[เล่มที่ 49] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 70
๗. สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุ
ว่าด้วยนางเปรตเปลือยกายมีกลิ่นเหม็น
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 49]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 70
๗. สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุ
ว่าด้วยนางเปรตเปลือยกายมีกลิ่นเหม็น
พระเถระถามหญิงเปรตตนหนึ่งว่า
[๙๒] ท่านเปลือยกายมีผิวพรรณเลวทราม มีกลิ่นเหม็นเน่าฟุ้งไป หมู่แมลงวันพากันตอมเกลื่อนกล่น ท่านเป็นใครหนอนายืนอยู่ที่นี่.
หญิงเปรตนั้นตอบว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันเป็นเปรต ถึงทุคติ เกิดในยมโลก เพราะทำกรรมอันลามกจึงต้องจากโลกนั้นไปสู่เปตโลก เวลาเช้าตลอดบุตร ๗ คน เวลาเย็นอีก ๗ คน แล้วกินบุตรเหล่านั้นหมดทั้ง ๑๔ คนนั้น ก็ยังไม่อาจบรรเทาความหิวของดิฉันได้ หัวใจของดิฉันเร่าร้อนอยู่เป็นนิจ เพราะความหิว ดิฉันเป็นดุจถูกเผาด้วยไฟในที่อันร้อนยิ่ง ไม่ได้ประสบความเย็นเลย.
พระเถระถามว่า
ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกาย วาจา ใจ หรือท่านกินเนื้อบุตร เพราะวิบากแห่งกรรมอะไร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 71
หญิงเปรตนั้นตอบว่า
เมื่อก่อนดิฉันมีบุตร ๒ คน บุตร ๒ คนนั้นกำลังหนุ่มแน่น ดิฉันเป็นผู้เข้าถึงกำลังคือบุตร (ถือตัวว่ามีบุตร) จึงได้ดูหมิ่นสามีของตน ภายหลังสามีของดิฉันโกรธ จึงได้หาภรรยามาใหม่ ก็ภรรยาใหม่นั้นมีครรภ์ ดิฉันคิดชั่วต่อเขา มีใจ ประทุษร้าย ได้ทำให้ครรภ์ตกไป ภรรยาใหม่มีครรภ์ ๓ เดือนเท่านั้น ตกเป็นโลหิตเน่า มารดาของเขาโกรธดิฉัน แล้วเชิญพวกญาติมาประชุมซักถาม ให้ดิฉันทำการสบถและขู่เข็ญดิฉันให้กลัว ดิฉันได้กล่าวคำสบถและมุสาวาทอย่างแรง ว่า ถ้าดิฉันทำชั่วอย่างนี้ ขอให้ดิฉันกินเนื้อบุตรเถิด ดิฉันมีกายเปื้อนหนองและโลหิต กินเนื้อบุตรทั้งหลาย เพราะวิบากแห่งกรรมคือการทำครรภ์ให้ตกไป และมุสาวาททั้งสองนั้น.
จบ สัตตปุตตขาทิกเปติวัตถุที่ ๗
อรรถกถาสัตตปุตตขาทกเปติวัตถุที่ ๗
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภนางเปรตผู้กินบุตร ๗ คน จึงตรัสคำนี้มีคำเริ่มต้นว่า นคฺคา ทุพฺพณฺณรูปาสิ ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 72
ได้ยินว่า อุบาสกคนหนึ่งในหมู่บ้านตำบลหนึ่งไม่ไกลกรุงสาวัตถี ได้มีบุตร ๒ คน ตั้งอยู่ในปฐมวัย สมบูรณ์ด้วยรูปโฉม ประกอบด้วยศีลและอาจาระ. มารดาของบุตรทั้ง ๒ นั้นคิดว่า เราเป็นผู้มีบุตร จึงดูหมิ่นสามีด้วยกำลังแห่งบุตร. สามีนั้นถูกภรรยาดูหมิ่น มีใจเบื่อหน่าย จึงนำหญิงอื่นมาครอง. ไม่นานนัก หญิงนั้นก็ตั้งครรภ์. ลำดับนั้น ภรรยาหลวงเป็นหญิงมีความริษยาเป็นปกติ เอาอามิสไปล่อหมอคนหนึ่ง ให้หมอนั้นทำครรภ์ของหญิงนั้นซึ่งตั้งมา ๓ เดือนให้ตก. ลำดับนั้น หญิงนั้นอันพวกญาติและพี่น้องชายถามว่า เธอทำครรภ์ของนางนี้ให้ตกไปหรือ จึงกล่าวมุสาว่า ไม่ได้ทำให้ตกไป คนเหล่านั้นไม่เชื่อจึงกล่าวว่า เธอจงสบถ แล้วได้กระทำสบถว่า ขอให้ดิฉันคลอดบุตรทั้งเช้า ทั้งเย็น ครั้งละ ๗ คน แล้วเคี้ยวกินเนื้อบุตร ขอให้ดิฉันมีกลิ่นเหม็น และแมลงวันจับกลุ่มอยู่เป็นนิจ.
ครั้นต่อมา นางทำกาละแล้วบังเกิดในกำเนินเปรต ด้วยวิบากของการทำครรภ์ให้ตกไปและพูดมุสานั้นนั่นแล จึงเคี้ยวกินเนื้อบุตร โดยนัยดังกล่าวแล้ว เที่ยวไปในที่ไม่ไกลบ้านนั้นนั่นเอง. ก็สมัยนั้น พระเถระหลายรูปออกพรรษาในหมู่บ้าน มายังกรุงสาวัตถีเพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พักแรมในส่วนหนึ่งไม่ไกลบ้านนั้น. ลำดับ นั้น นางเปรตนั้นแสดงตนแก่พระเถระเหล่านั้น. พระมหาเถระถามเธอด้วยคาถาว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 73
เธอเปลือยกายมีผิวพรรณขี้เหร่ มีตัวเน่าส่งกลิ่นฟุ้ง แมลงวันจับกลุ่ม เธอเป็นใครหนอมายืนอยู่ในที่นี้.
หญิงเปรตถูกพระเถระถามจึงได้ให้คำตอบด้วย ๓ คาถาว่า
ท่านผู้เจริญ ดิฉันเป็นเปรตถึงทุคติเกิดในยมโลก เพราะทำกรรมชั่ว จึงต้องจากโลกนี้ไปยังเปตโลก เวลาเช้าคลอดบุตร ๗ คน เวลาเย็นอีก ๗ คน. แล้วเคี้ยวกินบุตรเหล่านั้นหมด ทั้ง ๑๔ คนนั้นก็ยังไม่อาจบรรเทาความหิวของดิฉันได้ หัวใจของดิฉันเร่าร้อนหม่นไหม้อยู่เป็นนิตย์ เพราะความหิว ดิฉันเป็นดุจถูกไฟเผาอยู่กลางแดด ไม่ได้ประสบความเย็นเลย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิพฺพุตึ ได้แก่ ระงับทุกข์อันเกิดแต่ความหิวกระหาย. บทว่า นาชิคจฺฉามิ แปลว่า ไม่ได้รับ. ด้วยบทว่า อคฺคิทฑฺฒาว อาตเป นี้ มีวาจาประกอบความว่า เราเป็นเสมือนถูกไฟไหม้กลางแดดที่ร้อนจัด ย่อมไม่ได้รับความเย็น.
พระมหาเถระได้ฟังดังนั้น เมื่อจะถามถึงกรรมที่นางเปรตนั้นกระทำ จึงกล่าวคาถาว่า :-
เธอทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกาย วาจา ใจ หรือ เธอกินเนื้อบุตร เพราะวิบากแห่งกรรมอะไร?
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 74
ลำดับนั้น นางเปรตเมื่อจะบอกถึงการที่ตนเกิดในเปตโลก และเหตุที่เคี้ยวกินเนื้อบุตร จึงได้กล่าวคาถานี้ว่า :-
เมื่อก่อนดิฉันมีบุตร ๒ คน บุตร ๒ คนนั้น กำลังหนุ่มแน่น ดิฉันอาศัยกำลังคือบุตร จึงได้ดูหมิ่นสามีของตน ภายหลังสามีของดิฉันโกรธ จึงได้หาภริยามาใหม่ และภริยาใหม่นั้นมีครรภ์ ดิฉันคิดชั่วต่อเขา มีจิตคิดประทุษร้าย ได้ทำให้ครรภ์ตกไป ภริยาคนใหม่มีครรภ์ ๓ เดือนเท่านั้นตกเป็นโลหิตเน่า มารดาของเขาโกรธแล้วเชิญพวกญาติของดิฉันมาประชุมกัน ซักถามให้ดิฉันทำการสบถ และขู่เข็ญดิฉันให้กลัว ดิฉันได้กล่าวคำสบถและมุสาวาทอย่างแรงว่า ถ้าดิฉันทำความชั่วอย่างนี้ ขอให้ดิฉันกินเนื้อบุตรเถิด ดิฉันมีกายเปื้อนหนองและเลือด กินเนื้อบุตรทั้งหลาย เพราะวิบากแห่งกรรม คือการทำครรภ์ให้ตกไปและมุสาวาททั้ง ๒ นั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุตฺตพลูเปตา ได้แก่ อาศัยกำลังคือบุตร คือ ได้กำลังด้วยอำนาจบุตร. บทว่า อติมญฺิสํ แปลว่า ดูหมิ่นเกินไป. บทว่า ปูติโลหิตโก ปติ ได้แก่ ครรภ์ไหลออกเป็นโลหิตเน่า. คำที่เหลือทั้งหมดเป็นเสมือนคำที่เป็นลำดับมานั่นเอง.