๙. มหาเปสการเปตวัตถุ ว่าด้วยเปรตกินมูตรคูถเพราะด่าสามี
[เล่มที่ 49] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 84
๙. มหาเปสการเปติวัตถุ
ว่าด้วยเปรตกินมูตรคูถเพราะด่าสามี
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 49]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 84
๙. มหาเปสการเปติวัตถุ
ว่าด้วยเปรตกินมูตรคูณเพราะด่าสามี
ภิกษุรูปหนึ่งถามเทพบุตรตนหนึ่งว่า :-
[๙๔] หญิงเปรตนี้กินคูถ มูตร โลหิต และหนอง นี้เป็นวิบากแห่งกรรมอะไร หญิงเปรตนี้ เมื่อก่อนได้ทำกรรมอะไรไว้จึงมีเลือดและหนองเป็นภักษาเป็นนิจ ผ้าทั้งหลายอันใหม่และงาม อ่อนนุ่ม บริสุทธิ์ มีขนอ่อน อันท่านให้แล้วแก่หญิง เปรตนี้ ย่อมกลายเป็นเหล็กไป เมื่อก่อนหญิงเปรตนี้ได้ทำกรรมอะไรไว้หนอ.
เทพบุตรนั้นตอบว่า :-
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เมื่อก่อนหญิงเปรตนี้เป็นภรรยาของข้าพเจ้า มีความตระหนี่เหนียวแน่น ไม่ให้ทาน นางได้ด่าและบริภาษข้าพเจ้าผู้กำลังให้ทานแก่สมณพราหมณ์ทั้งหลายว่า จงกินคูถ มูตร เลือด และหนองอันไม่สะอาดตลอดกาลทุกเมื่อ คูถ มูตร เลือด และหนองจงเป็นอาหารของท่านในปรโลก แผ่นเหล็กจงเป็นผ้าของท่าน นางมาเกิดในที่นี้จึงกินแต่คูถและมูตร เป็นต้นตลอดกาลนาน เพราะประพฤติชั่วเช่นนี้.
จบ มหาเปสการเปติวัตถุที่ ๙
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 85
อรรถกถามหาเปสการเปติวัตถุที่ ๙
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภนางเปรตผู้เป็นช่างหูกคนหนึ่ง จึงตรัสคำนี้มีคำเริ่มต้นว่า คูถญฺจ มุตฺตํ รุธิรญฺจ ปุพฺพํ ดังนี้.
ได้ยินว่า ภิกษุประมาณ ๑๒ รูป เรียนพระกรรมฐานในสำนักพระศาสดา พิจารณาถึงสถานที่อันเหมาะสมแก่การอยู่ เมื่อจวนจะเข้าพรรษาเห็นราวป่าอันน่ารื่นรมย์ สมบูรณ์ด้วยร่มเงาและน้ำแห่งหนึ่ง ละโคจรคามไม่ไกลนัก ไม่ใกล้นักแต่ราวป่านั้น จึงอยู่ในที่นั้นราตรีหนึ่ง รุ่งขึ้นจึงเที่ยวไปบิณฑบาตยังบ้าน. ช่างหูก ๑๑ คนอาศัยอยู่ในบ้านนั้น เห็นเหล่าภิกษุนั้นๆ เกิดความโสมนัส จึงนำมายังเรือนของตนๆ เลี้ยงดูด้วยอาหารอันประณีต แล้วเรียนว่า ไปไหนกันขอรับ. ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า เราจักไปในที่ที่เรามีความสบาย. พวกช่างหูกพากันกล่าวว่า ท่านขอรับ ถ้าเมื่อเป็นเช่นนั้น ขอพระคุณเจ้าจงอยู่ที่นี้แหละ ดังนี้แล้ว จึงขอร้องให้อยู่จำพรรษา. ภิกษุทั้งหลายก็รับคำ. อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายได้พากันสร้างกระท่อมในป่าในที่นั้นแล้วมอบถวายแก่ภิกษุเหล่านั้น. ภิกษุทั้งหลายจำพรรษาในที่นั้นแล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 86
บรรดาช่างหูกเหล่านั้น ช่างหูกผู้เป็นหัวหน้าอุปัฏฐากภิกษุ ๒ รูป ด้วยปัจจัย ๔ โดยเคารพ นอกนั้นได้อุปัฏฐากภิกษุคนละรูป. ภรรยาของช่างหูกผู้เป็นหัวหน้าไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความตระหนี่ ไม่อุปัฏฐากภิกษุทั้งหลายโดยเคารพ. ช่างหูกผู้เป็นหัวหน้าเห็นดังนั้น จึงนำน้องสาวของภรรยานั้นนั่นแลมาแล้วมอบความเป็นใหญ่ในเรือนของตน. น้องสาวนั้นเป็นผู้มีศรัทธา มีความเลื่อมใส ปรนนิบัติภิกษุทั้งหลายโดยเคารพ ช่างหูกทั้งหมดนั้นได้ถวายผ้าสาฎกแก่ภิกษุผู้อยู่จำพรรษารูปละผืน. ในบรรดาภรรยานั้น ภรรยาของช่างหูกผู้เป็นหัวหน้า ผู้มีความ ตระหนี่ มีจิตคิดประทุษร้าย ด่าบริภาษสามีของตนว่า ทานคือข้าวและน้ำที่ท่านให้แก่สมณะศากยบุตรนั้น จงบังเกิดเป็นคูถ มูตร เป็นหนอง และโลหิตแก่ท่านในปรโลก และผ้าสาฎกจงเป็นแผ่นเหล็กลุกโพลง
สมัยต่อมา บรรดาคนเหล่านั้น ช่างหูกผู้เป็นหัวหน้าทำกาละแล้วบังเกิดเป็นรุกขเทวดาถึงพร้อมด้วยอานุภาพในดงไฟไหม้ แต่ภรรยาผู้ตระหนี่ของเขา ทำกาละแล้วบังเกิดเป็นนางเปรต ในที่ไม่ไกลแต่ที่อยู่ของรุกขเทวดานั้นนั่นเอง นางเป็นคนเปลือย รูปร่างขี้เหร่ ถูกความหิวกระหายครอบงำ ไปยังสำนักของภุมมเทพนั้นแล้วกล่าวว่า นาย ฉันไม่มีผ้า ถูกความหิวและความกระหายครอบงำอย่างเหลือเกินเที่ยวไป ท่านจงให้ผ้า ข้าว และน้ำแก่ฉันเถิด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 87
ภุมมเทพจึงน้อมข้าวและน้ำอันเป็นทิพย์อย่างยิ่งเข้าไปให้นางเปรตนั้น กลายเป็นคูถและมูตร หนอง ละโลหิต ผ้าสาฎกที่ให้ไป พอนางนุ่งห่มก็กลายเป็นแผ่นเหล็กลุกโชน นางเสวยทุกข์อย่างมหันต์ ทิ้งผ้านั้นคร่ำครวญเที่ยวไป.
ก็สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งออกพรรษาแล้ว เดินไปเพื่อจะเฝ้าพระศาสดา ดำเนินไปถึงดงไฟไหม้ พร้อมกับหมู่เกวียนหมู่ใหญ่. ในราตรีพวกหมู่เกวียนเดินทางไป เวลากลางวันเห็นประเทศแห่งหนึ่งสมบูรณ์ด้วยร่มเงาอันสนิทและน้ำในป่า จึงปลดเกวียนแล้วพักอยู่ครู่หนึ่ง. ฝ่ายภิกษุหลีกไปหน่อยหนึ่ง เพราะใคร่ต่อความวิเวก ปูสังฆาฏิลงที่โคนไม้อันปิดบังด้วยพงป่า มีร่มเงาสนิทต้นหนึ่งแล้วนอน มีร่างกายอ่อนเพลียเพราะเหน็ดเหนื่อยในการเดินทางตอนกลางคืน จึงหลับไป. หมู่เกวียนครั้นพักแล้วก็เดินทางต่อไป ภิกษุนั้นยังไม่ตื่น ครั้นเวลาเย็น เธอลุกขึ้นไม่เห็นพวกเกวียนเหล่านั้น จึงเดินผิดทางไปสายหนึ่ง ถึงที่อยู่ของเทวดานั้นโดยลำดับ. ลำดับนั้น เทพบุตรนั้นเห็นภิกษุนั้นแล้ว แปลงเป็นรูปคนเข้าไปหา กระทำปฏิสันถาร นิมนต์ให้เข้าไปยังวิมานของตน ถวายเภสัชมียาทาเท้าเป็นต้น แล้วเข้าไปนั่งใกล้. ก็สมัยนั้น นางเปรตมากล่าวว่า นาย ท่านจงให้ข้าว น้ำ และผ้าสาฎกแก่ฉันเถิด. เทพบุตร นั้นได้ให้ของเหล่านั้นแก่นางเปรตนั้น ก็ของเหล่านั้น พอนางเปรตรับ ก็กลายเป็นคูถ มูตร หนอง เลือด และแผ่นเหล็ก อันลุกโชน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 88
ทีเดียว. ภิกษุนั้นเห็นดังนั้น เกิดความสลดใจ จึงสอบถามเทพบุตรนั้นด้วย ๒ คาถาว่า
หญิงเปรตนี้กินคูถ มูตร เลือด และหนอง นี้เป็นวิบากของกรรมอะไร หญิงเปรตนี้ เมื่อก่อนได้กระทำกรรมอะไรไว้ จึงมีเลือดและหนองเป็นภักษาเป็นนิตย์. ผ้าใหม่สวยงามอ่อนนุ่ม บริสุทธิ์ มีขนอ่อนอันท่านให้แก่หญิงเปรตนี้ ย่อมกลายเป็นเหล็กไป เมื่อก่อนหญิงเปรตนี้ได้กระทำกรรมอะไรไว้หนอ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กิสฺส อยํ วิปาโก ความว่า นี้เป็นวิบากแห่งกรรมอะไร ที่หญิงเปรตเสวยอยู่ในบัดนี้. บทว่า อยํ นุ กึ กมฺมมกาสิ นารี ความว่า เมื่อก่อนหญิงนี้ได้กระทำกรรมอะไรไว้หนอ. บทว่า ยา สพฺพทา โลหิตปุพฺพภกฺขา ความว่า หญิงนี้ย่อมกินคือบริโภคเลือดและหนองเท่านั้นตลอดกาลทีเดียว. บทว่า นวานิ แปลว่า ใหม่ คือ ปรากฏในขณะนั้นเอง. บทว่า สุภานิ แปลว่า งาม คือ น่าดู. บทว่า มุทูนิ แปลว่า มีสัมผัสสบาย. บทว่า สุทฺธานิ. แปลว่า มีวรรณะบริสุทธิ์. บทว่า โลมสานิ แปลว่า มีขนอ่อน คือมีสัมผัสสบาย, อธิบายว่า ดี. บทว่า ทินฺนานิ มิสฺสา กิตกา ภวนฺติ ความว่า เป็นเช่นกับหนามที่เรียงราย คือ เป็นเช่น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 89
กับแผ่นโลหะ อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะว่า กีฏกา ภวนฺติ ดังนี้ก็มี อธิบายว่า มีสีเหมือนตัวสัตว์กัดกิน.
เทพบุตรนั้นถูกภิกษุนั้นถามอย่างนี้ เมื่อจะประกาศกรรมที่นางเปรตทำในชาติก่อน จึงกล่าว ๒ คาถาว่า :-
ท่านผู้เจริญ เมื่อก่อนหญิงเปรตนี้ได้เป็นภรรยาของข้าพเจ้า ไม่ให้ทาน มีความตระหนี่เหนียวแน่น นางได้ด่าและบริภาษข้าพเจ้าผู้กำลังให้ทานแก่สมณะพราหมณ์ทั้งหลายว่า จงกินคูถ มูตร เลือด และหนองอันไม่สะอาดตลอดกาลทุกเมื่อ คูถ มูตร เลือด และหนองนั้นจงเป็นอาหารของท่านในปรโลก แผ่นเหล็กจง เป็นผ้าของท่าน นางมาเกิดในที่นี้ กินแต่คูถและมูตร เป็นต้นตลอดกาลนาน เพราะประพฤติชั่วเช่นนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อทายิกา ได้แก่ มีปกติไม่ให้ทาน แม้อะไรๆ แก่ใครๆ. บทว่า มจฺฉรินี กทริยา ความว่า ชื่อว่ามีความตระหนี่ เพราะชั้นแรกมีมลทิน คือความตระหนี่เป็นสภาวะ และชื่อว่ามีความตระหนี่เหนียวแน่น เพราะมีการเสพคุ้นบ่อยๆ ซึ่งความตระหนี่นั้น. มีวาจาประกอบความว่า นางได้เป็นผู้มีความตระหนี่ ด้วยความตระหนี่เหนียวแน่นนั้น. บัดนี้เทพบุตรเมื่อจะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 90
แสดงความที่นางเป็นผู้มีความตระหนี่นั้นนั่นแล จึงกล่าวคำมีอาทิว่า สามํ ททนฺตํ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตาทิสํ ได้แก่ ประพฤติวจีทุจริต เป็นต้นตามที่กล่าวแล้วเห็นปานนั้น. บทว่า อิธาคตา ได้แก่ มายังเปตโลกนี้ คือเข้าถึงอัตภาพแห่งเปรต. บทว่า จิรรตฺตาย ขาทติ ได้แก่ เคี้ยวกินแต่คูถเท่านั้นตลอดกาลนาน. จริงอยู่ นางด่าโดยอาการใดผลก็เกิดโดยอาการนั้นเหมือนกัน นางด่าเจาะจงผู้ใด จากผู้นั้นไปก็ตกลงเบื้องบนตัวเหมือนอสนีบาตตกลงในที่สุด คือกระหม่อมในแผ่นดิน.
เทวบุตรนั้น ครั้นแสดงกรรมที่นางเปรตกระทำไว้ในชาติก่อนอย่างนี้แล้ว จึงได้กล่าวกะภิกษุนั้นอีกว่า ท่านขอรับ ก็อุบายอะไรๆ ที่จะทำให้นางเปรตนี้พ้นจากเปตโลกมีอยู่หรือ. และเมื่อภิกษุนั้นกล่าวว่ามีอยู่ จึงกล่าวว่า จงแสดงเถิด ขอรับ. ภิกษุกล่าวว่า ถ้าท่านถวายทานแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าและแก่พระอริยสงฆ์ หรือแก่ภิกษุรูปเดียวเท่านั้น แล้วอุทิศให้หางเปรตนี้ ทั้งนางเปรตนี้ได้อนุโมทนาทานนั้น ด้วยอาการอย่างนี้ นางก็จะพ้นจากความทุกข์นี้ไปได้. เทพบุตรได้ฟังดังนั้น จึงได้ถวายข้าวและน้ำอันประณีตแก่ภิกษุนั้น แล้วให้ทักษิณานั้นอุทิศแก่นางเปรตนั้น. ทันใดนั้นเองนางเปรตนั้นมีใจอิ่มเอิบ มีอินทรีย์กระปรี้กระเปร่า ได้เป็นผู้อิ่มด้วยอาหารอันเป็นทิพย์ เทพบุตรนั้นได้ถวายคู่ผ้าทิพย์ในมือของภิกษุนั้นอุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วและอุทิศทักษิณานั้นแก่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 91
นางเปรต ก็ในขณะนั้นนั่นเอง นางนุ่งผ้าทิพย์ประดับเครื่องประดับอันเป็นทิพย์ พรั่งพร้อมด้วยสิ่งที่น่าปรารถนาทั้งปวง ได้เป็นผู้มีส่วนเปรียบด้วยนางเทพอัปสร. และภิกษุนั้นก็ได้ถึงกรุงสาวัตถี ในวันนั้นเองด้วยฤทธิ์ของเทพบุตรนั้น เข้าไปยังพระเชตวันแล้ว เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้ว ได้ถวายคู่ผ้าสาฎกนั้นแล้ว กราบทูลเรื่องนั้น. แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำเรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุ แสดงธรรมแก่บริษัทผู้ประชุมกันอยู่พร้อมแล้ว เทศนานั้นได้มีประโยชน์แก่มหาชนแล.
จบ อรรถกถามหาเปสการเปติวัตถุที่ ๙