๙. อังกุรเปตวัตถุ ว่าด้วยบุญสําเร็จที่ฝ่ามือ
[เล่มที่ 49] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 235
อุพพรีวรรคที่ ๒
๙. อังกุรเปตวัตถุ
ว่าด้วยบุญสําเร็จที่ฝ่ามือ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 49]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 235
๙. อังกุรเปตวัตถุ
ว่าด้วยบุญสำเร็จที่ฝ่ามือ
พราหมณ์พ่อค้าคนหนึ่ง เห็นของทิพย์ออกจากมือรุกขเทวดา จึงเกิดความโลภขึ้น ได้บอกแก่อังกุรพาณิชว่า :-
[๑๐๖] เราทั้งหลายเที่ยวหาทรัพย์ ไปสู่แคว้นกัมโพชเพื่อประโยชน์สิ่งใด เทพบุตรนี้เป็นผู้ให้สิ่งที่เราอยากได้นั้น พวกเราจักนำเทพบุตรนี้ไป หรือจักจับเทพบุตรนี้ ข่มขี่เอาด้วยการวิงวอน หรืออุ้มใส่ยานรีบนำไปสู่ทวารกะนครโดยเร็ว.
อังกุรพาณิชเมื่อจะห้ามพราหมณ์พ่อค้านั้น จึงได้กล่าวคาถาความว่า :-
บุคคลอาศัยนั่งนอนที่ร่มเงาของต้นไม้ใด ไม่ควรหักรานกิ่งของต้นไม้นั้น เพราะการประทุษร้ายมิตร เป็นความเลวทราม.
พราหมณ์พ่อค้ากล่าวว่า :-
บุคคลอาศัยนั่งนอนที่ร่มเงาของต้นไม้ใด พึงตัดแม้ลำต้นของต้นไม้นั้นได้ ถ้ามีความต้องการเช่นนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 236
อังกุรพาณิชกล่าวว่า :-
บุคคลอาศัยนั่งนอนที่ร่มเงาของต้นไม้ใด ไม่พึงทำลายแม้ใบของต้นไม้นั้น เพราะการประทุษร้ายต่อมิตร เป็นความเลวทราม.
พราหมณ์พ่อค้ากล่าวว่า :-
บุคคลอาศัยนั่งนอนที่ร่มเงาของต้นไม้ใด พึงถอนต้นไม้นั้นพร้อมทั้งรากได้ ถ้าพึงประสงค์เช่นนั้น.
อังกุรพาณิชกล่าวว่า :-
ก็บุรุษพึงพักอยู่ในเรือนของบุคคลใด ตลอดราตรีหนึ่ง หรือพึงได้ข้าวน้ำในที่ใด ไม่ควรคิดชั่วต่อบุคคลนั้นแม้ด้วยใจ ความเป็นผู้กตัญญู สัปบุรุษสรรเสริญ บุคคลพึงพักอาศัยในเรือนของบุคคลใดแม้เพียงคืนหนึ่ง พึงได้รับบำรุงด้วยข้าว และน้ำ ก็ไม่พึงคิดชั่วต่อบุคคลนั้นแม้ด้วยใจ บุคคลผู้มีมืออันไม่เบียดเบียน ย่อมแผดเผาบุคคลผู้ประทุษร้ายมิตร ผู้ใดทำความดีไว้ในก่อน ภายหลังเบียดเบียนด้วยความชั่ว ผู้นั้นชื่อว่าเป็นคนอกตัญญู ย่อมไม่พบเห็นความเจริญทั้งหลาย
ผู้ใดประทุษร้ายต่อนระผู้ไม่ประทุษร้าย ผู้เป็นบุรุษบริสุทธิ์ไม่มีกิเลสเครื่องยียวน บาป
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 237
ย่อมกลับมาถึงผู้นั้นซึ่งเป็นคนพาลแน่แท้ เหมือนธุลีละเอียดที่บุคคลซัดไปทวนลมฉะนั้น.
เมื่อรุกขเทวดาได้ฟังดังนั้นแล้ว เกิดความโกรธต่อพราหมณ์นั้น จึงกล่าวว่า :-
ไม่เคยมีเทวดาหรือมนุษย์หรืออิสรชนคนใด จะมาข่มเหงเราได้โดยง่าย เราเป็นเทพเจ้าผู้มีมหิทธิฤทธิ์อย่างยอดเยี่ยม เป็นผู้ไปได้ไกลสมบูรณ์ด้วยรัศมีและกำลัง.
อังกุรพาณิชจึงถามรุกขเทวดานั้นว่า :-
ฝ่ามือของท่านมีสีดังทองคำทั่วไป ทรงไว้ซึ่งวัตถุที่บุคคลอื่นปรารถนาด้วยนิ้วทั้ง ๕ เป็นที่ไหลออกแห่งวัตถุมีรสอร่อย วัตถุมีรสต่างๆ ย่อมไหลออกจากฝ่ามือของท่าน ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ท่านเป็นท้าวสักกะ.
รุกขเทวดาตอบว่า :-
เราไม่ใช่เทพเจ้า ไม่ใช่คนธรรพ์ ไม่ใช่ท้าวสักกปุรินททะ ดูก่อนอังกุระ ท่านจงทราบว่าเราเป็นเปรต จุติจากโรรุวนครมาอยู่ที่ต้นไทรนี้.
อังกุรพาณิชถามว่า :-
เมื่อก่อนท่านอยู่ในโรรุวนคร ท่านมีปกติอย่างไร มีความประพฤติอย่างไร ผลบุญสำเร็จที่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 238
ฝ่ามือของท่าน เพราะพรหมจรรย์อะไร.
รุกขเทวดาตอบว่า :-
เมื่อก่อน เราเป็นช่างหูกอยู่ในโรรุวนคร เป็นคนกำพร้าเลี้ยงชีพโดยความลำบากนัก เราไม่มีอะไรจะให้ทาน เรือนของเราอยู่ใกล้เรือนของอสัยหเศรษฐี ซึ่งเป็นคนมีศรัทธา เป็นทานาธิบดี มีบุญอันทำแล้ว เป็นผู้ละอายต่อบาป พวก ยาจกวณิพกมีนามแลโคตรต่างๆ กัน ไปที่บ้านของเรานั้น พากันถามถึงเรือนของอสัยหเศรษฐีกะเราว่า ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย พวกเราจะไปทางไหน ทานเขาให้ที่ไหน เราถูกพวกยาจกวณิพกถามแล้ว ได้ยกมือเบื้องขวาชี้ บอกเรือนของอสัยหเศรษฐีแก่ยาจกวณิพกเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลายจงไปทางนี้ ความเจริญจักมีแก่ท่านทั้งหลาย ทานเขาให้อยู่ที่นั่น เพราะเหตุนั้น ฝ่ามือของเราจึงให้สิ่งที่น่าปรารถนา เป็นที่ไหลออกแห่งวัตถุมีรสอร่อย ผลบุญย่อมสำเร็จที่ฝ่ามือของเราเพราะพรหมจรรย์นั้น.
อังกุรพาณิชถามว่า :-
ได้ยินว่า ท่านไม่ได้ให้ทานแก่ใครๆ ด้วยทั้งสองของตน เป็นแต่เพียงอนุโมทนาทาน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 239
ของคนอื่น ยกมือชี้บอกทางให้ เพราะเหตุนั้นฝ่ามือของท่านจึงให้สิ่งที่น่าใคร่ เป็นที่ไหลออกแห่งวัตถุมีรสอร่อย ผลบุญย่อมสำเร็จที่ฝ่ามือของท่านเพราะพรหมจรรย์นั้น ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อสัยหเศรษฐีผู้เลื่อมใสได้ให้ทานด้วยมือทั้งสองของตน ละร่างกายมนุษย์แล้วไปทางทิศไหนหนอ.
รุกขเทวดาตอบว่า :-
เราไม่รู้ทางไปหรือทางมาของอสัยหเศรษฐี ผู้เป็นเจ้าของแห่งทาน ผู้มีรัศมีซ่านออกจากตน แต่เราได้ฟังมาในสำนักของท้าวเวสวัณว่า อสัยหเศรษฐีถึงความเป็นสหายแห่งท้าวสักกะ.
อังกุรพาณิชกล่าวว่า :-
บุคคลควรทำความดีแท้ ควรให้ทานตามสมควร ใครได้เห็นฝ่ามืออันให้สิ่งที่น่าใคร่แล้ว จักไม่ทำบุญเล่า เราไปจากที่นี้ถึงทวารกะนครแล้ว จักรีบให้ทานอันจักนำความสุขมาให้เราแน่แท้ เราจักให้ข้าว น้ำ ผ้า เสนาสนะ บ่อน้ำ สระน้ำ และสะพานในที่เดินยากเป็นทาน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 240
อังกุรพาณิชถามว่า :-
เพราะเหตุไรนิ้วมือของท่านจึงงอหงิก ปากของท่านจึงเบี้ยว และนัยน์ตาทะเล้นออก ท่านได้ทำบาปกรรมอะไรไว้.
เปรตนั้นตอบว่า :-
เราอันคฤหบดีตั้งไว้ในการให้ทานในโรงทานของคฤหบดี ผู้มีอังคีรส ผู้มีศรัทธา เป็นฆราวาส ผู้ครอบครองเรือน เห็นยาจกผู้มีความประสงค์ด้วยโภชนะ มาที่โรงทานนั้น ได้หลีกไปทำการบุ้ยปากอยู่ ณ ที่ข้างหนึ่ง เพราะกรรมนั้น นิ้วของเราจึงงอหงิก ปากของเราจึงเบี้ยว นัยน์ตาทะเล้นออกมา เราได้ทำบาปกรรมนั้นไว้.
อังกุรพาณิชถามว่า :-
แน่ะบุรุษเลวทราม การที่ท่านมีปากเบี้ยว ตาทั้ง ๒ ทะเล้นเป็นการชอบแล้ว เพราะท่านได้ทำการบุ้ยปากต่อทานของผู้อื่น ก็ไฉนอสัยหเศรษฐีเมื่อจะให้ทาน จึงได้มอบข้าว น้ำ ของเคี้ยว ผ้า และเสนาสนะ ให้ผู้อื่นจัดแจง ก็เราไปจากที่นี้ถึงทวารกะนครแล้ว จักเริ่มให้ทานที่นำความสุขมาให้แก่เราแน่แท้ เราจักให้ข้าว น้ำ ผ้า เสนาสนะ บ่อน้ำ สระน้ำ และสะพานทั้งหลายในที่เดิน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 241
ลำบากให้เป็นทาน ก็อังกุรพาณิชกลับจากทะเลทรายไปถึงทวารกะนครแล้ว ได้เริ่มให้ทานอันนำความสุขมาให้ตน ได้ให้ข้าว น้ำ ผ้า เสนาสนะ บ่อน้ำ สระน้ำ ด้วยจิตอันเลื่อมใส.
ช่างกัลบก พ่อครัว ชาวมคธ พากันป่าวร้องในเรือนของอังกุรพาณิชนั้น ทั้งในเวลาเย็น ทั้งในเวลาเช้าทุกเมื่อว่า ใครหิวจงมากินตามชอบใจ ใครกระหายจงมาดื่มตามชอบใจ ใครจักนุ่งห่มผ้าจงนุ่งห่ม ใครต้องการพาหนะสำหรับเทียมรถ จงเทียมพาหนะในคู่แอกนี้ ใครต้องการร่มจงเอาร่มไป ใครต้องการของหอม จงมาเอาของหอมไป ใครต้องการดอกไม้จงมาเอาดอกไม้ไป ใครต้องการรองเท้า จงมาเอารองเท้าไป มหาชนย่อมรู้เราว่า อังกุระนอนเป็นสุข ดูก่อนสินธุมาณพ เรานอนเป็นทุกข์ เพราะไม่ได้เห็นพวกยาจก มหาชนรู้เราว่า อังกุระนอนเป็นสุข ดูก่อนสินธุมาณพ เรานอนเป็นทุกข์ ในเมื่อวณิพกมีน้อย.
สินธุมาณพได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาความว่า :-
ถ้าท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าชาวดาวดึงส์ และเป็นใหญ่กว่าโลกทั้งปวง พึงให้พรท่าน ท่าน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 242
เมื่อจะเลือก พึงเลือกเอาพรเช่นไร.
อังกุรพาณิชกล่าวว่า :-
ถ้าท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าชาวดาวดึงส์ พึงให้พรแก่เรา เราจะพึงขอพรว่า เมื่อเราลุกขึ้นแต่เช้า ในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น ขอภักษาหารอันเป็นทิพย์ และพวกยาจกผู้มีศีลพึงปรากฏ เมื่อเราให้อยู่ ไทยธรรมไม่พึงหมดสิ้นไป ครั้นเราให้ทานนั้นแล้ว ไม่พึงเดือดร้อนในภายหลัง เมื่อกำลังให้พึงยังจิตให้เลื่อมใส ข้าพเจ้าพึงเลือกเอาพรอย่างนี้กะท้าวสักกะ.
โสณกบุรุษกล่าวเตือนอังกุรพาณิชว่า :-
บุคคลไม่พึงให้ทรัพย์เครื่องปลื้มใจทั้งหมดแก่บุคคลอื่น ควรให้ทานและควรรักษาทรัพย์ไว้ เพราะว่าทรัพย์เท่านั้นประเสริฐกว่าทาน สกุลทั้งหลายยอมตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะการให้ทานเกินประมาณไป บัณฑิตย่อมไม่สรรเสริญการไม่ให้ทานและการให้เกินควร เพราะเหตุนั้นแล ทรัพย์เท่านั้นประเสริฐกว่าทาน บุคคลผู้เป็นปราชญ์ สมบูรณ์ด้วยธรรม ควรประพฤติโดยพอเหมาะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 243
อังกุรพาณิชกล่าวว่า :-
ดูก่อนชาวเราทั้งหลาย ดีหนอ เราพึงให้ทานแล ด้วยว่าสัตบุรุษผู้สงบระงับพึงคบหาเรา เราพึงยังความประสงค์ของวณิพกทั้งปวงให้เต็ม เลี้ยงดูให้อิ่มหนำ เปรียบเหมือนฝนยังที่ลุ่มทั้งหลายให้เต็มฉะนั้น สีหน้าของบุคคลใดย่อมผ่องใส เพราะเห็นพวกยาจก บุคคลนั้นครั้นให้ทานแล้วมีใจเบิกบาน ข้อนั้นเป็นความสุขของบุคคลผู้อยู่ครองเรือน หน้าของบุคคลใดย่อมผ่องใสเพราะเห็นพวกยาจก บุคคลนั้นครั้นให้ทานแล้ว ย่อมปลาบปลื้มใจ นี้เป็นความถึงพร้อมแห่งยัญ ก่อนแต่ให้ก็มีใจเบิกบาน เมื่อกำลังให้ก็ยังจิตให้ผ่องใส ครั้นให้แล้วก็มีใจเบิกบาน นี้เป็นความถึงพร้อมแห่งยัญ.
พระสังคีติกาจารย์กล่าวคาถาทั้งหลายความว่า :-
ในเรือนของอังกุรพาณิชผู้มุ่งบุญ เขาให้โภชนะแก่หมู่ชนวันละ ๖ หมื่นเล่มเกวียนเป็นนิตย์ พ่อครัว ๓,๐๐๐ คน ประดับด้วยต่างหูอันวิจิตรด้วยมุกดาและแก้วมณี เป็นผู้ขวนขวายในการให้ทาน พากันเข้าไปอาศัยอังกุรพาณิชเลี้ยงชีวิต มาณพ ๖ หมื่นคน ประดับด้วยต่างหูอัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 244
วิจิตรด้วยแก้วมุกดา และแก้วมณี ช่วยกันผ่าฟืนสำหรับหุงอาหารในมหาทานของอังกุรพาณิชนั้น พวกนารี ๑๖,๐๐๐ คนประดับด้วยอลังการทั้งปวง ช่วยกันบดเครื่องเทศสำหรับปรุงอาหารในมหาทานของอังกุรพาณิชนั้น นารีอีก ๑๖,๐๐๐ คน ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ถือทัพพีเข้ายืนคอยรับใช้ในมหาทานของอังกุรพาณิชนั้น อังกุรพาณิชนั้นได้ให้ของเป็นอันมากแก่มหาชน โดยประการต่างๆ ได้ทำความยำเกรงด้วยความเคารพและด้วยมือของตนเองบ่อยๆ ยังมหาทานให้เป็นไปแล้วสิ้นเดือน สิ้นปักษ์ สิ้นฤดูและปีเป็นอันมาก ตลอดกาลนาน อังกุรพาณิชได้ให้ทานและทำการบูชาอย่างนี้ตลอดกาลนาน ละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปบังเกิดในดาวดึงส์ อินทกมาณพได้ถวายภิกษาทัพพีหนึ่งแก่พระอนุรุทธเถระ ละร่างมนุษย์แล้วได้ไปบังเกิดในดาวดึงส์เหมือนกัน แต่อินทกเทพบุตรรุ่งเรืองยิ่งกว่าอังกุรเทพบุตรโดยฐานะ ๑๐ อย่าง คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอันน่ารื่นรมย์ใจ อายุ ยศ วรรณะ สุข และความเป็นใหญ่.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 245
ดูก่อนอังกุระ มหาทานท่านได้ให้แล้วสิ้นกาลนาน ท่านมาในสำนักของเรา ไฉนจึงนั่งอยู่ไกลนัก.
เมื่อพระพุทธเจ้าผู้เป็นอุดมบุรุษ ประทับอยู่ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ภายใต้ต้นปาริฉัตตกพฤกษ์ ณ ดาวดึงส์ ครั้งนั้น เทวดาในหมื่นโลกธาตุ พากันมานั่งประชุมเฝ้าพระสัมพุทธเจ้า ซึ่งประทับบนยอดเขา เทวดาไรๆ ไม่รุ่งโรจน์เกินกว่าพระสัมพุทธเจ้าด้วยรัศมี พระสัมพุทธเจ้าเท่านั้นย่อมรุ่งโรจน์ล่วงหมู่เทวดาทั้งปวง ครั้งนั้น อังกุรเทพบุตรนี้นั่งอยู่ไกล ๑๒ โยชน์จากที่พระพุทธเจ้าประทับ ส่วนอินทกเทพบุตรนั่งในที่ใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า รุ่งเรืองกว่าอังกุรเทพบุตร พระสัมพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นอังกุรเทพบุตรกับอินทกเทพบุตรแล้ว เมื่อจะ ทรงประกาศทักขิไณยบุคคล จึงได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ความว่า ดูก่อนอังกุรเทพบุตร มหาทานท่านให้แล้วสิ้นกาลนาน ท่านมาสู่สำนักของเรา ไฉนจึงนั่งอยู่ไกลนัก อังกุรเทพบุตรอันพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระองค์อันอบรมแล้ว ทรงตักเตือนแล้ว ได้กราบทูลว่า จะทรงประสงค์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 246
อะไร ด้วยทานของข้าพระองค์นั้น อันว่างเปล่าจากทักขิไณยบุคคล อินทกเทพบุตรนี้ให้ทานนิดหน่อย รุ่งเรืองยิ่งกว่าข้าพระองค์ ดุจพระจันทร์ในหมู่ดาวฉะนั้น.
อินทกเทพบุตรทูลว่า
พืชแม้มากที่บุคคลหว่านแล้วในนาดอน ผลย่อมไม่ไพบูลย์ ทั้งไม่ยังชาวนาให้ปลื้มใจ ฉันใด ทานมากมายอันบุคคลเข้าไปตั้งไว้ในบุคคลผู้ทุศีล ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่มีผลไพบูลย์ ทั้งไม่ยังทายกให้ปลาบปลื้ม พืชแม้น้อยอันบุคคลหว่านแล้วในนาดี เมื่อฝนหลั่งสายน้ำโดยสม่ำเสมอ ผลย่อมยังชาวนาให้ปลาบปลื้มใจ แม้ฉันใด ทานแม้น้อยอันบุคคลบริจาคแล้วในท่านผู้มีศีล มีคุณความดี ผู้คงที่บุญย่อมมีผลมาก ฉันนั้นเหมือนกัน ทานอันบุคคลให้แล้วในเขตใด มีผลมาก ควรเลือกให้ในเขตนั้น ทายกเลือกให้ทานแล้วย่อมไปสู่สวรรค์ ทานที่เลือกให้พระสุคตทรงสรรเสริญ ทักขิไณยบุคคลเหล่าใดมีอยู่ในโลกนี้ ทานที่ทายกให้แล้วในทักขิไณยบุคคลเหล่านั้น ย่อมมีผลมาก เหมือนพืชที่หว่านแล้วในนาดี ฉะนั้น.
จบ อังกุรเปตวัตถุที่ ๙
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 247
อรรถกถาอังกุรเปตวัตถุที่ ๙
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภ อังกุรเปรต จึงตรัสพระคาถานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ยสฺส อตฺถาย คจฺฉาม. ก็ในที่นี้ ไม่มีอังกุรเปรตก็จริง แต่เพราะความประพฤติของอังกุรเปรตนั้นเกี่ยวเนื่องด้วยเปรต ฉะนั้น ความประพฤติ ของอังกุรเปรตนั้น ท่านจึงกล่าวว่าอังกุรเปตวัตถุ.
ในข้อนั้นมีสังเขปกถาดังต่อไปนี้ :- ยังมีกษัตริย์ ๑๑ พระองค์ คือ พระนางอัญชนเทวี และน้องชาย ๑๐ พระองค์ คือ วาสุเทพ พลเทพ จันทเทพ สุริยเทพ อัคคิเทพ วรุณเทพ อัชชุนะ ปัชชุนะ ฆฏบัณฑิต และอังกุระ อาศัยครรภ์ของพระนางเทวคัพภา ผู้พระธิดาของพระเจ้ามหากังสะ ในอสิตัญชนนคร ซึ่งพระเจ้ากังสะปกครองในอุตตราปถชนบท เพราะอาศัยเจ้าอุปสาครผู้โอรสของพระเจ้ามหาสาครผู้เป็นใหญ่ในอุตตรมธุรชนบท บรรดากษัตริย์เหล่านั้น กษัตริย์ผู้น้องชายมีวาสุเทพเป็นต้น ใช้จักรปลงพระชนมชีพพระราชาทั้งหมด ๖๓,๐๐๐ นคร ทั่วชมพูทวีป นับตั้งต้นแต่อสิตัญชนนครจนถึงกรุงทวารวดีเป็นที่สุด แล้วประทับอยู่ในทวารวดีนคร แบ่งรัฐออกเป็น ๑๐ ส่วน แต่ไม่ได้นึกถึงพระนางอัญชนเทวี ผู้เป็นพระเชษฐภคินี แต่เมื่อระลึกขึ้นได้จึงกล่าวว่า เราจะแบ่งเป็น ๑๑ ส่วน เจ้าอังกุระน้องชายคนสุดท้องของกษัตริย์เหล่านั้นกล่าวว่า ท่านจงแบ่งส่วนของหม่อมฉันให้แก่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 248
พระเชษฐภคินีเถิด หม่อมฉันจะทำการค้าขายเลียงชีพ ท่านทั้งหลายจงสละส่วยในชนบทของตนๆ ให้แก่หม่อมฉัน กษัตริย์เหล่านั้นรับพระดำรัสแล้วจึงเอาส่วนของเจ้าอังกุระให้แก่พระเชษฐภคินี พระราชาทั้ง ๙ พระองค์ประทับอยู่ในกรุงทวารวดี.
ส่วนอังกุรประกอบการค้า บำเพ็ญมหาทานเป็นนิตยกาล ก็อังกุระนั้นมีทาสผู้หนึ่ง เป็นเจ้าหน้าที่คลังมุ่งหวังประโยชน์ ท่านอังกุระชอบใจ ได้ขอกุลธิดาคนหนึ่งมาให้เขา เมื่อตั้งครรภ์บุตรเท่านั้น เขาก็ตายไป เมื่อบุตรคนนั้นเกิดแล้ว ท่านอังกุระได้เอาค่าจ้างที่ได้ให้แก่บิดาของเขาให้แก่เขา ครั้นเมื่อเด็กนั้นเจริญวัย จึงเกิดการวินิจฉัยขึ้นในราชสกุลว่า เขาเป็นทาสหรือไม่. พระนางอัญชนเทวีได้สดับดังนั้นจึงตรัสเปรียบเทียบโดยแม่โคนม แล้วตรัสว่า แม้บุตรของมารดาผู้เป็นไท ก็ต้องเป็นไทเท่านั้น ดังนี้ แล้วจึงให้พ้นจากความเป็นทาสไป.
แต่เพราะความอาย เด็กจึงไม่อาจอยู่ในที่นั้นได้ จึงได้ไปยังโรรุวนคร พาธิดาของช่างหูกคนหนึ่งในนครไป เลี้ยงชีพด้วยการทอผ้า สมัยนั้น เขาได้เป็นมหาเศรษฐี ชื่อว่า อสัยหะ ในโรรุวนคร เขาได้ให้มหาทานแก่สมณพราหมณ์ คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพก และยาจกทั้งหลาย. ช่างหูกนั้นเกิดปีติและโสมนัส เหยียดแขนขวาออกชี้ให้ดูนิเวศน์ของอสัยหเศรษฐีแก่ชนผู้ไม่รู้จักเรือนของเศรษฐีว่า ขอคนทั้งหลายจงไปในที่นั่นแล้วจะได้สิ่งที่ควรได้. กรรมของเขามาแล้วในพระบาลีนั่นแล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 249
สมัยต่อมา เขาทำกาละแล้ว. บังเกิดเป็นภุมเทพยาดาที่ต้นไทรต้นหนึ่งในมรุภูมิ มือขวาของเขาได้ให้สิ่งที่น่าใคร่ทุกอย่าง ก็ในโรรุวนครนั้นนั่นเอง มีบุรุษคนหนึ่ง เป็นคนขวนขวายในทานของอสัยหเศรษฐี แต่ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่เอื้อเฟื้อต่อการบำเพ็ญบุญ ทำกาละแล้วบังเกิดเป็นเปรต ไม่ไกลแต่ที่อยู่ของเทพบุตรนั้น. ก็กรรมที่เขาทำมาแล้วในพระบาลีนั่นแล ฝ่ายอสัยหมหาเศรษฐีทำกาละแล้ว เข้าถึงความเป็นสหายของท้าวสักกเทวราชในภพดาวดึงส์.
ครั้นสมัยต่อมา เจ้าอังกุระบรรทุกสินค้าด้วยเกวียน ๕๐๐ เล่ม และพราหมณ์คนหนึ่งบรรทุกสินค้าด้วยเกวียน ๕๐๐ เล่ม รวมความว่า ชนทั้ง ๒ คนบรรทุกสินค้าด้วยเกวียน ๑,๐๐๐ เล่ม เดินไปตามทางมรุกันดาร พากันหลงทาง เที่ยวอยู่ในที่นั้นนั่นเองหลายวัน จนหมดหญ้า น้ำ และอาหาร เจ้าอังกุระให้ทูตม้าแสวงหาน้ำดื่มทั้ง ๔ ทิศ. ลำดับนั้น เทพผู้มีมืออันให้สิ่งที่ต้องการองค์นั้น เห็นชนเหล่านั้นได้รับความวอดวายอันนั้น จึงคิดถึงอุปการะที่เจ้าอังกุระได้กระทำไว้แก่ตนในกาลก่อน จึงคิดว่าเอาเถอะ บัดนี้เราจักพึงเป็นที่พึ่งของเจ้าอังกุระนี้ ดังนี้แล้วจึงได้ชี้ให้ดูต้นไทรอันเป็นที่อยู่ของตน. ได้ยินว่า ต้นไทรนั้นสมบูรณ์ด้วยกิ่งและค่าคบ มีใบทึบ มีร่มเงาสนิท มีย่านหลายพันย่าน ว่าโดยความยาวกว้างและสูงประมาณ ๑ โยชน์. เจ้าอังกุระเห็นดังนั้นแล้ว เกิดความหรรษาร่าเริง ให้ตั้งข่ายภายในต้นไทรนั้น. เทวดา เหยียดหัตถ์ขวาของ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 250
ตนออก ให้คนทั้งหมดอิ่มหนำด้วยน้ำดื่มเป็นอันดับแรกก่อน ต่อแต่นั้น จึงได้ให้สิ่งที่เขาปรารถนาแก่เขา.
เมื่อมหาชนนั้นอิ่มหนำตามความต้องการด้วยข้าวและน้ำ เป็นต้นนานาชนิดอย่างนี้ ภายหลังเมื่ออันตรายในหนทางสงบลง พราหมณ์ผู้เป็นพ่อค้านั้นใส่ใจโดยไม่แยบคาย คิดอย่างนี้ว่า เรา จากนี้ไปยังแคว้นกัมโพชะแล้ว จักกระทำอะไร เพื่อให้ได้ทรัพย์. แต่เราจะพาเทพนี้แหละไปด้วยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นสู่ยาน ไปยังนครของเราเอง ครั้นคิดอย่างนี้แล้ว เมื่อจะบอกความนั้นแก่เจ้าอังกุระ จึงกล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :-
เราทั้งหลายเที่ยวหาทรัพย์ไปสู่แคว้นกัมโพชะ เพื่อประโยชน์ใด เทพบุตรนี้เป็นผู้ให้สิ่งที่เราอยากได้นั้น พวกเราจักนำเทพบุตรนี้ไป. หรือจักจับเทพบุตรนี้ ข่มขี่เอาด้วยการวิงวอน หรืออุ้มใส่ยาน นำไปสู่ทวารกนครโดยเร็ว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺส อตฺถาย แปลว่า เพราะเหตุแห่งประโยชน์ใด. บทว่า กมฺโพชํ ได้แก่ แคว้นกัมโพชะ. บทว่า ธนหารกา ได้แก่ ผู้หาทรัพย์ที่ได้มาด้วยการค้าขายสินค้า. บทว่า กามทโท ได้แก่ ผู้ให้สิ่งที่ปรารถนาต้องการ. บทว่า ยกฺโข ได้แก่ เทพบุตร. บทว่า นยามเส ได้แก่ จักนำไป. บทว่า สาธุเกน แปลว่า ด้วยการอ้อนวอน. บทว่า ปสยฺห ได้แก่ ข่มขี่เอาตามอำเภอใจ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 251
บทว่า ยานํ ได้แก่ ยานอันนำมาซึ่งความสุขสบาย. บทว่า ทฺวารกํ ได้แก่ทวารวดีนคร. ข้ออธิบายในหนหลังมีดังต่อไปนี้ พวกเราปรารถนาจะจากที่นี้ไปยังแคว้นกัมโพชะ เพื่อประโยชน์ใด ประโยชน์ที่จะพึงให้สำเร็จด้วยการไปนั้น ย่อมสำเร็จในที่นี้เอง. เพราะเทพบุตรนี้เป็นผู้ให้สมบัติที่น่าใคร่ เพราะฉะนั้น เราจึงขออ้อนวอนเทพบุตรนี้ แล้วอุ้มเทพบุตรนี้ขึ้นสู่ยาน ตามอนุมัติของเทพบุตรนั้น หรือถ้าไม่ไปตามที่ตกลงกันไว้ จะข่มขี่เอาตามพลการแล้ว จับเทพบุตรนั้นมัดแขนไพล่หลังไว้ในยาน ออกจากที่นี้แล รีบไปยังทวารวดีนคร.
ฝ่ายเจ้าอังกุระ อันพราหมณ์พูดอย่างนี้แล้ว ตั้งอยู่ในสัปปุริสธรรม เมื่อจะปฏิเสธคำจึงกล่าวคาถานี้ว่า :-
บุคคลอาศัยนั่งนอนที่ร่มเงาของต้นไม้ใด ไม่ควรทักรานกิ่งของต้นไม้นั้น เพราะการประทุษร้ายมิตร เป็นความเลวทราม.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ภญฺเชยฺย แปลว่า ไม่พึงตัด. บทว่า มิตฺตทุพฺโภ ได้แก่ การประทุษร้ายมิตร คือ นำความพินาศให้เกิดแก่มิตรเหล่านั้น. บทว่า ปาปโก ได้แก่ คนไม่ดี คือ คนมักประทุษร้ายต่อมิตร. จริงอยู่ ต้นไม้ที่มีร่มเงาเยือกเย็นอันใด ย่อมบรรเทาความกระวนกระวายของคนผู้ถูกความร้อนแผดเผา ใครๆ ไม่ควรคิดร้ายต่อต้นไม้นั้น. ก็จะป่วยกล่าวไปใยถึงหมู่สัตว์เล่า. ท่านแสดงว่า เทพบุตรนี้ เป็นสัตบุรุษ เป็นบุรพการีบุคคล ผู้บรรเทา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 252
ทุกข์ ผู้มีอุปการะมากแก่เราทั้งหลาย เราไม่ควรคิดร้ายอะไรๆ ต่อเทพบุตรนั้น โดยที่แท้เทพบุตรนั้นเราควรบูชาทีเดียว
พราหมณ์ได้ฟังดังนั้น คิดว่า มูลเหตุของประโยชน์เป็นเหตุ กำจัดความคดโกง ดังนี้แล้ว อาศัยทางอันเป็นแบบแผน ตั้งอยู่ในฝ่ายขัดแย้งต่อเจ้าอังกุระ จึงกล่าวคาถาว่า :-
บุคคลอาศัยนั่งนอนที่ร่มเงาของต้นไม้ใด พึงตัดแม้ลำต้นของต้นไม้นั้นได้ ถ้ามีความต้องการเช่นนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตฺโถ เจ ตาทิโส สิยา ความว่า ถ้าพึงมีความต้องการด้วยทัพพสัมภาระเช่นนั้น, อธิบายว่า แม้ลำต้นของต้นไม้นั้นก็ควรตัด จะป่วยกล่าวไปใยถึงกิ่งเป็นต้นเล่า.
เมื่อพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว เจ้าอังกุระเมื่อจะประคองเฉพาะสัปปุริสธรรม จึงกล่าวคาถานี้ว่า :-
บุคคลอาศัยนั่งนอนที่ร่มเงาของต้นไม้ใด ไม่พึงทำลายแม้ใบของต้นไม้นั้น เพราะการประทุษร้ายต่อมิตร เป็นความเลวทราม.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ตสฺส ปตฺตํ ภินฺเทยฺย ความว่า ไม่พึงทำแม้เพียงใบใบหนึ่งของต้นไม้นั้นให้ตกไป จะป่วยกล่าวไปใย ถึงกิ่งเป็นต้นเล่า.
พราหมณ์เมื่อจะประคองวาทะของตนแม้อีก จึงกล่าวคาถาว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 253
บุคคลอาศัยนั่งนอนที่ร่นเงาของต้นไม้ใด พึงถอนต้นไม้นั้นพร้อมทั้งรากได้ ถ้าพึงประสงค์เช่นนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมูลมฺปิ ตํ อพฺพุเห ความว่า พึงถอน คือพึงรื้อขึ้นซึ่งต้นไม้นั้นพร้อมทั้งราก คือ พร้อมด้วยรากในที่นั้น.
เมื่อพราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้ว เจ้าอังกุระมีความประสงค์จะทำแบบแผนนั้นให้ไร้ประโยชน์อีก จึงได้กล่าวคาถา ๓ คาถาเหล่านี้ว่า :-
ก็บุรุษพึงพักอยู่ในเรือนของบุคคลใด ตลอดราตรีหนึ่ง หรือพึงได้ข้าวน้ำในที่ใด ไม่ควรมีจิตคิดร้ายต่อบุคคลนั้น. ความเป็นผู้กตัญญูอันสัตบุรุษทั้งลาย สรรเสริญแล้ว บุคคลพึงพักอาศัยในเรือนของบุคคลใดแม้เพียงคืนเดียว พึงได้รับการบำรุงด้วยข้าวและน้ำ ไม่ควรมีจิตคิดประทุษร้ายต่อบุคคลนั้น บุคคลมีมือไม่เบียดเบียน ย่อมแผดเผาบุคคลผู้ประทุษร้ายมิตร บุคคลใดทำความดีไว้ในปางก่อน ภายหลังเบียดเบียนด้วยความชั่ว ผู้นั้นชื่อว่า เป็นคนอกตัญญู ย่อมไม่พบเห็นความเจริญทั้งหลาย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 254
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺส แปลว่า ต่อบุคคลใด. บทว่า เอกรตฺติมฺปิ ความว่า พึงอยู่อาศัยในเรือนอย่างเดียว แม้เพียงราตรีเดียว. บทว่า ยตฺถนฺนปานํ ปุริโส ลเภถ ความว่า บุรุษบางคนพึงได้โภชนะอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นข้าวหรือน้ำ ในสำนักของผู้ใด. บทว่า น ตสฺส ปาปํ มนสาปิ จินฺตเย ความว่า บุคคลไม่พึงมีจิตคิดร้ายต่อสิ่งที่ไม่ดี คือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ต่อบุคคลนั้น ได้แก่ เป็นผู้ไม่รักใคร่ จะป่วยกล่าวไปใยถึงกายและวาจาเล่า. หากมีคำถามว่า ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร? ตอบว่า เพราะความเป็นผู้กตัญญู อันสัตบุรุษทั้งหลายสรรเสริญแล้ว อธิบายว่า ขึ้นชื่อว่า ความเป็นผู้กตัญญู อันบุรุษผู้สูงสุดมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น สรรเสริญแล้ว.
บทว่า อุปฏฺิโต แปลว่า พึงให้เข้าไปนั่งใกล้ คือ พึงอุปัฏฐากด้วยข้าวและน้ำ เป็นต้นว่า ท่านจงรับสิ่งนี้ ท่านจงบริโภคสิ่งนี้. บทว่า อทุพฺภปาณี ได้แก่ ผู้มีมือไม่เบียดเบียน คือ ผู้สำรวมมือ. บทว่า ทหเต มิตฺตทุพิภึ ความว่า ย่อมแผดเผาคือ ย่อมทำบุคคลผู้มักประทุษร้ายต่อมิตรนั้นให้พินาศ ว่าโดยอรรถ ชื่อว่า ย่อมแผดเผา ย่อมแผดเผาบุคคลผู้ไม่ประทุษร้าย ผู้อันคนอื่นกระทำความผิดในบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยอัธยาศัยที่เป็นประโยชน์ผู้ไม่ประทุษร้าย คือ นำมาซึ่งความพินาศแก่บุคคลนั้นนั่นแล. โดย ไม่แปลกกัน. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 255
ผู้ใดประทุษร้ายต่อนรชนผู้ไม่ประทุษร้าย ผู้เป็นคนบริสุทธิ์ ไม่มีกิเลสเครื่องยียวน ความชั่วย่อมกลับมาถึงผู้นั้น ซึ่งเป็นคนพาลแน่แท้ เหมือนธุลีอันละเอียดที่บุคคลซัดไปทวนลม ฉะนั้น.
บทว่า โย ปุพฺเพ กตกลฺยาโณ ความว่า บุคคลใดมีความดีอันบุคคลดีบางคน กระทำให้ คือ การทำอุปการะให้. บทว่า ปจฺฉา ปาเปน หึสติ ความว่า ต่อมาภายหลังเบียดเบียนบุคคลนั้นผู้กระทำอุปการะก่อนด้วยธรรมชั่ว คือ กรรมไม่ดี ได้แก่ ด้วยกรรมที่ไร้ประโยชน์. บทว่า อลฺลปาณิหโต โปโส ความว่า ผู้มีฝ่ามืออันชุ่ม คือ ผู้มีฝ่ามืออันเปียก ได้แก่ มีฝ่ามืออันล้างสะอาดแล้ว เป็นการทำอุปการะก่อน เพราะกระทำอุปการะ เบียดเบียนคือ บีบคั้น โดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลัง อีกอย่างหนึ่ง ถูกเบียดเบียน ด้วยการเบียดเบียนบุคคลผู้กระทำอุปการะก่อนนั้น ชื่อว่า ผู้มีฝ่ามือ อันเปียกเบียดเบียน ได้แก่ คนอกตัญญู. บทว่า น โส ภทฺรานิ ปสฺสติ ความว่า บุคคลนั้น คือ บุคคลตามที่กล่าวแล้ว ย่อมไม่เห็น ย่อมไม่ประสบ คือ ย่อมไม่ได้ในโลกนี้ และในบัดนี้.
พราหมณ์นั้นถูกเจ้าอังกุระผู้ยกย่องสัปปุริสธรรม กล่าวข่มขู่อย่างนี้ ได้เป็นผู้นิ่งเงียบ. ฝ่ายเทพบุตรฟังคำและคำโต้ตอบของคนทั้ง ๒ นั้น แม้จะโกรธต่อพราหมณ์ ก็คิดเสียว่า ช่างเถอะ ภายหลังเราจักรู้กรรมที่ควรทำแก่พราหมณ์ผู้ประทุษร้ายนี้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 256
เมื่อจะแสดงภาวะที่ตนอันใครๆ ข่มขู่มิได้ เป็นอันดับแรก จึงกล่าวคาถาว่า :-
ไม่เคยมีเทวดา หรือมนุษย์ หรืออิสรชนคนใด จะมาข่มขู่เราได้โดยง่าย เราเป็นเทพเจ้าผู้มีอิทธิฤทธิ์อย่างยอดเยี่ยม เป็นผู้ไปได้ไกล สมบูรณ์ด้วยรัศมีและกำลัง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เทเวน วา ได้แก่ จะเป็นเทพองค์ใดองค์หนึ่งก็ตามที. แม้ในบทว่า มนุสฺเสน วา นี้ ก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า อิสฺสริเยน วา ความว่า อันผู้เป็นใหญ่ในหมู่เทพก็ดี อันผู้เป็นใหญ่ในหมู่มนุษย์ก็ดี. ในความเป็นใหญ่ ๒ อย่างนั้น ชื่อว่า ความเป็นใหญ่ในหมู่เทพ ได้แก่เทวฤทธิ์ของท้าวจาตุมหาราช ท้าวสักกะ และท้าวสุยามะ เป็นต้น, ชื่อว่า ความเป็นใหญ่ในหมู่มนุษย์ได้แก่บุญฤทธิ์ของพระเจ้าจักรพรรดิ์เป็นต้น. เพราะฉะนั้น ท่านจึงสงเคราะห์เอาเทวดาและมนุษย์ผู้มีอานุภาพมากด้วยอิสริยศักดิ์. จริงอยู่ เทพแม้ผู้มีอานุภาพมาก เมื่อไม่มีมนุษย์ผู้อันผลแห่งบุญสนับสนุนตน ย่อมไม่อาจเพื่อจะครอบงำความวิบัติในการประกอบความเพียร จะป่วยกล่าวไปใยถึงบุคคลนอกนี้เล่า. ศัพท์ว่า หํ เป็นนิบาต ใช้ในอรรถว่า อดทนไม่ได้. บทว่า น สุปฺปสยฺโห แปลว่า อันใครๆ กำจัดไม่ได้. บทว่า ยกฺโขหมสฺมิ ปรมิทฺธิปตฺโต ความว่า เพราะผลแห่งบุญของตนเราจึงเข้าถึงความเป็นเทพบุตร คือ เราเป็นเทพบุตรแท้ๆ ไม่ใช่เทพบุตร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 257
เทียม. โดยที่แท้ เรามีฤทธิ์อย่างยิ่ง คือ ประกอบด้วยฤทธิ์ของเทพบุตรอันสูงยิ่ง. บทว่า ทูรงฺคโม ได้แก่ สามารถเพื่อจะไปยังที่ไกลโดยทันทีทันใด. ด้วยคำว่า วณฺณพลูปปนฺโน นี้ เทพบุตรแสดงเฉพาะภาวะที่ตนไม่ถูกใครๆ ข่มขู่ด้วยการประกอบมนต์ เป็นต้น ด้วยบททั้ง ๓ ว่า เข้าถึง คือประกอบด้วยรูปสมบัติและด้วยพลังกาย. จริงอยู่ บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยรูป เป็นผู้อันบุคคลเหล่าอื่นนับถือมาก. เพราะอาศัยรูปสมบัติ จึงไม่ถูกวัตถุที่เป็นข้าศึกต่อกันฉุดคร่าไปได้เลย เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าว วรรณสมบัติว่า เป็นเหตุที่ใครๆ ข่มขู่ไม่ได้.
เบื้องหน้าแต่นี้ไป อังกุระพ่อค้าและเทพบุตร ได้ทำถ้อยคำและการโต้ตอบกันว่า :-
ฝ่ามือของท่านมีสีดังทองคำทั่วไป ทรงไว้ซึ่งวัตถุที่บุคคลอื่นปรารถนา ด้วยนิ้วทั้ง ๕ เป็นที่ไหลออกแห่งวัตถุมีรสอร่อย วัตถุมีรสต่างๆ ย่อมไหลออกจากฝ่ามือของท่าน ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ท่านเป็นท้าวสักกะ
รุกขเทวดาตอบว่า :-
เราไม่ใช่เทพเจ้า ไม่ใช่คนบรรพ์ ไม่ใช่ท้าวสักกะปุรินททะ ดูก่อนเจ้าอังกุระ ท่านจงทราบว่า เราเป็นเปรต จุติจากโรรุวนคร มาอยู่ที่ต้นไทรนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 258
อังกุระพ่อค้าถามว่า :-
เมื่อก่อน ท่านอยู่ในโรรุวนคร ท่านมีปกติอย่างไร มีความประพฤติอย่างไร ผลบุญสำเร็จที่ฝ่ามือของท่าน เพราะพรหมจรรย์อะไร
รุกขเทวดาตอบว่า :-
เมื่อก่อนเราเป็นช่างหูกอยู่ในโรรุวนคร เป็นคนกำพร้า เลี้ยงชีพโดยความลำบากนัก เราไม่มีอะไรจะให้ทาน เรือนของเราอยู่ใกล้เรือนของอสัยหเศรษฐี ซึ่งเป็นคนศรัทธา เป็นทานบดี มีบุญอันทำแล้ว เป็นผู้ละอายต่อบาป พวกยาจก วณิพกมีนามและโคตรต่างๆ กัน ไปบ้านของเรานั้น พากันถามถึงเรือนของอสัยหเศรษฐีกะเราว่า ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย พวกเราจะไปทางไหน ทานเขาให้กันที่ไหน เราถูกพว ยาจกวณิพกถามแล้ว ได้ยกมือเบื้องขวาชี้บอก เรือนอสัยหเศรษฐีแก่ยาจกวณิพกเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลาย จงไปทางนี้ ความเจริญจักมีแก่ท่านทั้งหลาย ทานเขาให้อยู่ที่นั่น เพราะเหตุนั้น ฝ่ามือของเราจึงให้สิ่งที่น่าปรารถนา เป็นที่ไหลออกแห่งวัตถุมีรสอร่อย ผลบุญย่อมสำเร็จที่ฝ่ามือ ของเรา เพราะพรหมจรรย์นั่น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 259
อังกุระพ่อค้าถามว่า :-
ได้ยินว่า ท่านไม่ได้ให้ทานแก่ใครๆ ด้วยมือทั้งสองของตน เป็นแต่เพียงอนุโมทนาทานของคนอื่น ยกมือชี้บอกทางให้ เพราะเหตุนั้นฝ่ามือของท่านจึงให้สิ่งที่น่าใคร่ เป็นที่ไหลออกแห่งวัตถุมีรสอร่อย ผลบุญย่อมสำเร็จที่ฝ่ามือของ ท่าน เพราะพรหมจรรย์นั้น ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อสัยหเศรษฐีผู้เลื่อมใสได้ให้ทานด้วยมือทั้งสองของตน ละร่างกายมนุษย์แล้ว ไปทางทิศไหนหนอ.
รุกขเทวดาตอบว่า :-
เราไม่รู้ทางไปหรือทางมาของอสัยหเศรษฐี ผู้เป็นเจ้าของแห่งทาน ผู้มีรัศมีซ่านออกจากตน แต่เราได้ฟังมาในสำนักของท้าวเวสวัณว่า อสัยหเศรษฐีถึงความเป็นสหายแห่งท้าวสักกะ
อังกุระพ่อค้ากล่าวว่า :-
บุคคลควรทำความดีแท้ ควรให้ทานตามสมควร ใครได้เห็นฝ่ามืออันให้สิ่งที่น่าใคร่แล้ว จักไม่ทำบุญเล่า เราไปจากที่นี้ถึงทวารกะนครแล้ว จักรีบให้ทานอันจักนำความสุขมาให้แก่เรา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 260
แน่แท้ เราจักให้ข้าว น้ำ ผ้า เสนาสนะ บ่อน้ำ และสะพานในที่เดินไปได้ยาก เป็นทานดังนี้.
รวมเป็นคาถากล่าวและกล่าวโต้ตอบกันมีอยู่ ๑๕ คาถา.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาณิ เต ได้แก่ ฝ่ามือขวาของท่าน. บทว่า สพฺพโส วณฺโณ ได้แก่ มีวรรณะดุจทองคำทั้งหมด. บทว่า ปญฺจธาโร ความว่า ชื่อว่า ปัญจธาระ เพราะมีการทรงไว้ซึ่งวัตถุอันบุคคลเหล่าอื่นปรารถนาด้วยนิ้วทั้ง ๕. บทว่า มธุสฺสโว แปลว่า เป็นที่หลั่งออกซึ่งรสอันอร่อย. ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงกล่าวว่า นานารสา ปคฺฆรนฺติ ความว่า เป็นที่ไหลออกแห่งรสต่างๆ ต่าง ด้วยรสมีรสหวาน รสขม และรสฝาด เป็นต้น. จริงอยู่ ท่านกล่าวไว้ว่า รสมีรสหวานเป็นต้น ย่อมไหลออกจากมือ ที่หลั่งซึ่งของเคี้ยวและของบริโภคต่างๆ อันสมบูรณ์ด้วยรส มีรสหวานเป็นต้น อัน ให้ซึ่งความปรารถนาของเทพบุตร. บทว่า มญฺเหํ ตํ ปุรินฺททํ ความว่า ข้าพเจ้า เข้าใจว่า ท่านเป็นท้าวสักกะ, อธิบายว่า ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ท่านเป็นท้าวสักกะเทวราชผู้มีอานุภาพมากอย่างนี้
บทว่า นามฺหิ เทโว ความว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่เทพเจ้าที่ปรากฏมีท้าวเวสวัณ เป็นต้น. บทว่า น คนฺธพฺโพ ความว่า ทั้งไม่ใช่ข้าพเจ้าเป็นคนธรรพ์. บทว่า นาปิ สกฺโก ปุรินฺทโท ความว่า ทั้งไม่ใช่ข้าพเจ้าเป็นท้าวสักกะเทวราชอันใด นามว่า ปุรินททะ เพราะได้เริ่มตั้งทานในอัตตภาพก่อน คือในกาลก่อน. เพื่อจะหลีกเลี่ยงคำถามว่า ก็ท่านเป็นอะไร รุกขเทวดาจึงกล่าวคำมี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 261
อาทิว่า ดูก่อนอังกุระ ท่านจงทราบว่า เราเป็นเปรต, ดูก่อนอังกุระ ท่านจงรู้ว่า ข้าพเจ้าตกอยู่ในหมู่เปรต คือ ท่านจงทรงจำข้าพเจ้าว่า เป็นเปรตผู้มีฤทธิ์มากตนหนึ่ง. บทว่า โรรุวมฺนหา อิธาคตํ ความว่า ข้าพเจ้าจุติจากโรรุวนครแล้วมาในที่นี้ คือที่ต้นไทรนี้ ในทางทรายกันดารด้วยการอุบัติ คือ บังเกิดในที่นี้.
บทว่า กึ สีโล กึ สมาจาโร โรรุวสฺมึ ปุเร ตฺวํ ความว่า เมื่อก่อนคือในอัตตภาพก่อน ท่านอยู่ที่โรรุวนคร เป็นผู้มีปกติอย่างไร มีความประพฤติอย่างไร คือ ท่านสมาทานศีลเช่นไร ซึ่งมีลักษณะให้กลับจากบาป มีความประพฤติเช่นไร ด้วยการประพฤติมีลักษณะบำเพ็ญบุญที่ให้เป็นไปแล้ว อธิบายว่า ท่านเป็นผู้ประพฤติเช่นไร ในการบำเพ็ญกุศลมีทานเป็นต้น. บทว่า เกน เต พฺรหฺมจริเยน ปุญฺํ ปาณิมฺหิ อิชฺฌติ ความว่า ผลบุญในฝ่ามือของท่านนี้ คือ เห็นปานนี้ ย่อมสำเร็จ คือ ย่อมเผล็ดผลในบัดนี้ เพราะความประพฤติประเสริฐเช่นไร ท่านจงบอกเรื่องนั้น. จริงอยู่ ผลบุญ ท่านประสงค์เอาว่าบุญในที่นี้ ด้วยการลบบทเบื้องหลัง. จริงอยู่ ต่อแต่นั้นผลบุญนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า บุญ ในประโยค มีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุญนี้ย่อมเจริญอย่างนี้ เพราะเหตุแห่งการสมาทานกุศลธรรม.
บทว่าตุนฺนวาโย แปลว่า เราเป็นนายช่างหูก. บทว่าสุกิจฺฉวุตฺตี ได้แก่ เป็นผู้เลี้ยงชีพโดยความลำบากนัก คือ เป็นผู้ เลี้ยงชีพโดยความลำบากอย่างยิ่ง. บทว่า กปโณแปลว่า เป็นคน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 262
กำพร้า อธิบายว่า เป็นคนยากไร้. บทว่า น เม วิชฺชติ ทาตเว ความว่า เราไม่มีอะไร ที่ควรจะพึงให้ เพื่อจะให้แก่สมณะพราหมณ์ ผู้เดินทาง, แต่เรามีความคิดที่จะให้ทาน.
บทว่า นิเวสนํ แปลว่า เรือน, หรือ ศาลาพักทำการงาน. บทว่า อสยฺหสฺส อุปนฺติเก ได้แก่ ใกล้เรือนของมหาเศรษฐี ชื่อว่า อสัยหะ. บทว่า สทฺธสฺส ความว่า ประกอบด้วยความเชื่อกรรม และผลแห่งกรรม. บทว่า ทานปติโน ความว่า เป็นผู้เป็นใหญ่ในทาน ด้วยสมบัติเป็นเหตุบริจาคไม่ขาดระยะ และด้วยการครอบงำความโลภ. บทว่า กตปุญฺสฺส ได้แก่ ผู้มีสุจริตกรรมที่ทำไว้ในกาลก่อน. บทว่า ลชฺชิโน ได้แก่ ผู้มีความละอายต่อบาปเป็นสภาพ.
บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ในเรือนของเรานั้น. บทว่า ยาจนกา ยนฺติ ความว่า คนยาจก ปรารถนาจะขออะไรๆ กะอสัยหเศรษฐี จึงพากันมา. บทว่า นานาโคตฺตา ได้แก่ ผู้แสดงอ้างถึงโคตรต่างๆ. บทว่า วณิพฺพกา ได้แก่ พวกวณิพก. ชนเหล่าใดเที่ยว ประกาศถึงผลบุญเป็นต้นของทายก และความที่ตนมีความต้องการ โดยมุ่งถึงเกียรติคุณเป็นต้น. บทว่า ตตฺถ ในบทว่า เต จ มํ ตตฺถ ปุจฉนฺติ นั้น เป็นเพียงนิบาต. คนยาจกเป็นต้นเหล่านั้น พากันถามถึงเรือนของอสัยหเครษฐีกะเรา. จริงอยู่ ท่านผู้คิดอักษร ย่อมปรารถนากรรมทั้ง ๒ อย่าง ในฐานะเช่นนี้.
บทว่า กตฺถ คจฺฉาม ภทฺทํ โว กตฺถ ทานํ ปทียติ เป็นบทแสดงถึงอาการถามของยาจกเหล่านั้น. จริงอยู่ ในที่นี้มีอธิบาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 263
ดังนี้ว่า :- ขอความเจริญจงมีแก่ท่านทั้งหลาย พวกเราได้ยินว่า อสัยหเศรษฐีย่อมให้ทาน ดังนี้ จึงพากันมา, เขาให้ทานกันที่ไหน หรือว่าเราจะไปทางไหน ผู้ที่ไปทางไหนสามารถจะได้ทาน. บทว่า เตสาหํ ปุฏฺโ อกฺขามิ ความว่า ถูกพวกคนเดินทางเหล่านั้นถามถึงฐานะที่จะได้อย่างนี้ จึงให้เกิดความคารวะขึ้นว่า เราเป็นผู้ไม่สามารถเพื่อจะให้อะไรๆ แก่คนเช่นนี้ในบัดนี้ได้ เพราะไม่เคยทำบุญไว้ในปางก่อน แต่เราจะแสดงโรงทานแก่คนเหล่านี้ ให้เกิดปีติขึ้น ด้วยการบอกอุบายแห่งการได้ แม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ก็จะประสบบุญเป็นอันมากได้ จึงเหยียดแขนขวาออกชี้บอกเรือนอสัยหเศรษฐีแก่คนเหล่านั้น. ด้วยเหตุนั้น รุกขเทวดาจึงกล่าวว่า ท่านจงประคองแขนขวา ดังนี้เป็นต้น
บทว่า เตน ปาณิ กามทโท ความว่า ด้วยเหตุเพียงการอนุโมทนาทานที่คนอื่นทำแล้ว โดยการประกาศทานขอคนอื่นนั้นโดยเคารพ บัดนี้ ฝ่ามือของเราเป็นเสมือนต้นกัลปพฤกษ์ และเป็นเหมือนต้นทิพยพฤกษ์ ให้สิ่งที่น่าใคร่ คือให้สิ่งที่ต้องการที่ปรารถนา ชื่อว่าให้สิ่งที่น่าใคร่ และน่าปรารถนา. ก็เพราะเหตุนั้น ฝ่ามือของท่านจึงให้สิ่งที่น่าปรารถนา เป็นที่หลั่งไหลออกแห่งรสอันอร่อย คือ เป็นที่สละออกซึ่งวัตถุที่น่าปรารถนา.
ศัพท์ว่า กิร ในบทว่า น กิร ตฺวํ อทา ทานํ นี้ เป็นนิบาต ลงในอรรถแห่งอนุสสวนัตถะ. ได้ยินว่า ท่านไม่สละสิ่งของของตน คือ ท่านไม่ได้ให้ทานอะไรๆ แก่ผู้ใดผู้หนึ่ง หรือแก่สมณะ ด้วย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 264
ฝ่ามือของตน คือ พร้อมด้วยมือของตน. บทว่า ปรสฺส ทานํ อนุโมทนาโน ความว่า ท่านเมื่ออนุโมทนาทานของคนอื่น ที่คนอื่นกระทำอย่างเดียวเท่านั้นอยู่ว่า โอ ทานเราให้เป็นไปแล้ว.
บทว่า เตน ปาณิ กามทโท ความว่า เพราะเหตุฝ่ามือของท่านจึงให้สิ่งที่น่าใคร่อย่างนี้ อธิบายว่า โอ น่าอัศจรรย์จริงหนอ คติแห่งบุญทั้งหลาย.
บทว่า โย โส ทานมทา ภนฺเต ปสนฺโน สกปาณิภิ นี้ รุกขเทวดาเรียกเทพบุตร ด้วยความเคารพว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อสัยหเศรษฐีผู้มีความเลื่อมใสได้ให้ทานด้วยฝ่ามือของตน อธิบายว่า อันดับแรก ผลเช่นนี้คืออานุภาพเช่นนี้ของท่าน ผู้อนุโมทนาทานที่บุคคลอื่นทำไว้แล้ว แต่อสัยหมหาเศรษฐีนั้นได้ให้มหาทาน คือ เป็นผู้มีจิตเลื่อมใส ให้มหาทานเป็นไปในกาลนั้นด้วยทรัพย์หลายพัน. บทว่า โส หิตฺวา มานุสํ เทหํ ความว่า ท่านละอัตภาพมนุษย์ในที่นี้. บทว่า กึ ได้แก่ ทางทิศไหน. คัพท์ว่า นุ ในคำว่า นุ โส นี้เป็นเพียงนิบาต. บทว่า ทิสตํ คโต แปลว่า ไปสู่ทิศ คือที่. รุกขเทวดาถามถึงอภิสัมปรายภพของอสัยหเศรษฐีว่า คติคือความสำเร็จของท่านเศรษฐีนั้นเป็นอย่างไร.
บทว่า อสยฺหสาหิโน ความว่า ชื่อว่า อสัยหเศรษฐี เพราะอดกลั้นธุระของสัตบุรุษผู้จำแนกการบริจาคเป็นต้น ซึ่งคนเหล่าอื่นผู้มีความตระหนี่คือ ผู้อันความโลภครอบงำ ไม่สามารถเพื่อจะอดกลั้นได้. บทว่า องฺคีรสสฺส ผู้มีรัศมีซ่านออกจากตน. จริงอยู่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 265
บทว่า รโส เป็นชื่อของความโชติช่วง. ได้ยินว่า ปีติ และโสมนัสอย่างยิ่งย่อมเกิดขึ้นแก่อสัยหเศรษฐีนั้น เพราะเห็นพวกยาจกกำลังเดินมา คือ สีหน้าย่อมผ่องใส. รุกขเทวดานั้นกล่าวอย่างนี้ เพราะทำเขาให้ประจักษ์แก่ตน. บทว่า คตึ อาคตึ วา ความว่า หรือว่าคติของอสัยหเศรษฐีนั้นว่า เขาจาdโลกนี้แล้วไปสู่คติชื่อโน้น เราไม่เข้าใจการมาว่าก็ หรือว่าเขาจากที่นั้นแล้ว จักมาในที่นี้ในกาลชื่อโน้น, นี้ไม่ใช่วิสัยของเรา. บทว่า สุตญฺจ เม เวสฺสวณสฺส สนฺติเก ความว่า แต่เราได้ฟังข้อนี้มาในสำนักของท้าวเวสวัณมหาราช ผู้ไปสู่ที่อุปัฏฐาก. บทว่า สกฺกสฺส สหพฺยตํ คโต อสยฺโห ความว่า อสัยหเศรษฐีถึงความเป็นสหายของท้าวสักกะจอมเทพ, อธิบายว่า บังเกิดในภพชั้นดาวดึงส์.
บทว่า อลเมว กาตุํ กลฺยาณํ ความว่า คุณงามความดีอย่างใดอย่างหนึ่ง คือบุญกุศลสมควร คือเหมาะสมที่จะต้องทำแท้ทีเดียว. ก็ในคุณงามความดีนั้น สิ่งที่ทั่วไปแก่คนทั้งปวงควรทำดีกว่า เพื่อจะแสดงสิ่งนั้น อังกุระพ่อค้าจึงกล่าวว่า ควรจะให้ ทานตามสมควร. ควรแท้ที่จะให้ทานอันเหมาะสมแก่สมบัติ และกำลังของตน. ท่านกล่าวเหตุในข้อนั้นไว้ว่า เห็นฝ่ามืออันให้สิ่งที่น่าปรารถนา. เพราะเห็นมือนี้ที่เห็นว่า ให้สิ่งที่น่าปรารถนา ด้วยเหตุมีการอนุโมทนาส่วนบุญที่คนอื่นทำแล้วเป็นเบื้องต้น และด้วยเหตุเพียงการบอกหนทางเป็นที่เข้าไปสู่เรือนแห่งท่านทานบดี.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 266
บทว่า โก ปุญฺํ น กริสฺสติ ความว่า ขึ้นชื่อว่า ใครเสมือนกับเรา จักไม่ทำบุญอันเป็นที่พึ่งของตน.
อังกุรพาณิช ครั้นแสดงความเอื้อเฟื้อในการบำเพ็ญบุญ โดยไม่กำหนดแน่นอนอย่างนี้ บัดนี้ เมื่อจะแสดงกำหนดแน่นอนถึงการบำเพ็ญบุญนั้นในตน จึงกล่าวคาถา ๒ คาถา มีอาทิว่า โส หิ นูน ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โส ได้แก่ เรานั้น. ศัพท์ว่า หิ เป็นนิบาตลงในอรรถแห่งอวธารณะ. ศัพท์ว่า นูน เป็นนิบาตลงในอรรถว่าปริวิตก. บทว่า อิโต คนฺตฺวา ความว่า เราไปจากภูมิแห่งเทวดานี้แล้ว. บทว่า อนุปฺปตฺวาน ทฺวารกํ ได้แก่ ถึงทวารวดีนครโดยลำดับ. บทว่า ปฏฺปยิสฺสามิ แปลว่า จักให้เป็นไป.
เมื่ออังกุระพาณิชกระทำปฏิญญาว่า เราจักให้ทานอย่างนี้แล้ว เทพบุตรมีใจยินดี กล่าวว่า ท่านผู้นิรทุกข์ ท่านเป็นผู้เสียสละ จงให้ทานเถิด ส่วนเราจักทำหน้าที่เป็นสหายของท่าน ไทยธรรมของท่านจักไม่ถึงความหมดเปลืองด้วยประการใด เราจักกระทำโดยประการนั้น ดังนี้แล้ว จึงให้อังกุระพาณิชนั้นอาจหาญในการบำเพ็ญทานแล้วกล่าวว่า ดูก่อนพราหมณ์พาณิช ได้ยินว่าท่านปรารถนาจะนำคนเช่นเรา ไปด้วยพลการ ช่างไม่รู้จักประมาณของตัว ดังนี้แล้ว จึงให้สินค้าของอังกุระพาณิชนั้นอันตรธานไปแล้ว จึงขู่ให้อังกุระพาณิชนั้นกลัวด้วยอาการที่สะพึงกลัวว่าเป็น ยักษ์. ลำดับนั้น อังกุระพาณิชจึงอ้อนวอนกะเทพบุตรนั้นโดย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 267
ประการต่างๆ เมื่อจะให้พราหมณ์ขมาโทษ ให้เลื่อมใส จึงทำสินค้าทั้งหมดให้กลับเป็นปกติ เมื่อใกล้ค่ำ จึงละเทพบุตรไปอยู่ เห็นเปรตตนหนึ่งที่เห็นเข้าน่ากลัวยิ่งนัก ในที่ไม่ไกลแห่งเทพบุตรนั้น เมื่อจะถามถึงกรรมที่เปรตนั้นกระทำ จึงกล่าวคาถาว่า :-
เพราะเหตุไร นิ้วมือของท่านจึงงอหงิก ปากของท่านจึงเบี้ยว และนัยน์ตาทะเล้นออก ท่านได้ทำกรรมชั่วอะไรไว้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุณา แปลว่า งอหงิก คือ หงิกกลับ ได้แก่ ไม่ตรง. บทว่า กุณลีกตํ ได้แก่ เบี้ยว คือบิด โดยวิการแห่งปาก. บทว่า ปคฺฆรํ ได้แก่ ไม่สะอาด ไหลออกอยู่.
ลำดับนั้น เปรตได้กล่าวคาถา ๓ คาถา แก่อังกุระพาณิชนั้นว่า :-
เราเป็นคฤหบดี ตั้งไว้ในการให้ทาน ในโรงทานของท่านคฤหบดีผู้มีอังคีรส ผู้มีศรัทธา เป็นฆราวาสครอบครองเรือน เห็นยาจกผู้มีความประสงค์ด้วยโภชนะมาที่โรงทานนั้น ได้หลีกไป ทำการบุ้ยปากอยู่ ณ ที่ข้างหนึ่ง เพราะกรรมนั้น นิ้วมือของเราจึงงอหงิก ปากของเราจึงเบี้ยวแล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 268
บรรดาเหล่านั้น ด้วยบทว่า อุงฺคีรสสฺส เป็นต้น เทพบุตรระบุถึงอสัยหเศรษฐี. บทว่า ฆรเมสิโน ได้แก่ คฤหัสถ์ผู้อยู่ครองเรือน. บทว่า ทานวิสฺสคฺเค ได้แก่ ในโรงทาน คือ ในที่เป็นที่บริจาคทาน. บทว่า ทาเน อธิกโต อหุํ ความว่า เริ่มตั้ง คือ ตั้งไว้ในการบริจาคไทยธรรม คือ ในการบำเพ็ญทาน.
บทว่า เอกมนฺตํ อปกฺกมฺม ความว่า ผู้ขวนขวายในทาน เห็นยาจกผู้ต้องการโภชนาหารเดินมา ได้หลีกไปจากโรงทานแล้ว ยืนอยู่ในที่เดิมนั่นเอง เกิดปีติ และโสมนัส มีหน้าผ่องใส พึงให้ทานด้วยมือของตน หรือใช้คนอื่นผู้สมควรให้ให้ แต่เราไม่ได้กระทำอย่างนั้น เห็นยาจกเดินมาแต่ไกลไม่แสดงตน หลีกไปอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง. บทว่า อกาสึ กุณลึ มุขํ ความว่า เราได้กระทำปากเบี้ยว ปากบุ้ย.
บทว่า เตน ความว่า เพราะในกาลนั้น เราถูกเจ้านายแต่งตั้งไว้ในหน้าที่ให้ทาน เมื่อกาลทานปรากฏ เรามีความตระหนี่ครอบงำ หลีกไปจากโรงทานทำเท้างอหงิก เมื่อควรจะให้ทานด้วยมือของตน ไม่ได้ทำอย่างนั้น ทำมืองอหงิก เมื่อควรจะมีหน้าผ่องใส ก็ทำหน้าเบี้ยว. เมื่อควรจะแลดูด้วยตาอันน่ารักก็ทำให้เกิดนัยน์ตาทะเล้น ออกมา เพราะฉะนั้น เราจึงมีนิ้วมือ นิ้วเท้างอหงิก และปากเบี้ยว สยิ้วผิดรูป อธิบายว่า นัยน์ตาทั้ง ๒ หลั่งน้ำตาออกมาไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็นน่าเกลียด. เพราะเหตุนั้น เปรตจึงกล่าวว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 269
เพราะกรรมนั้น มือของเราจึงงอหงิก ปากเบี้ยว นัยน์ตาทั้ง ๒ ของเราถลนออกมา เพราะเราได้ทำกรรมชั่วนั่นไว้.
อังกุระพาณิชได้ฟังดังนั้น เมื่อจะติเตียนเปรต จึงกล่าวคาถาว่า :-
แน่ะบุรุษเลวทราม การที่ท่านมีปากเบี้ยว นัยน์ตาทั้ง ๒ ถลนออกมา เป็นการชอบแล้ว เพราะท่านได้กระทำการบุ้ยปากต่อทานของผู้อื่น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺเมน ได้แก่ ด้วยเหตุอันเหมาะสมนั่นเอง. บทว่า เต แก้เป็น ตว แปลว่า ของท่าน. บทว่า กาปุริส ได้แก่ บุรุษผู้เลวทราม. บทว่า ยํ แก้เป็น ยสฺมา แปลว่า เพราะเหตุใด. บทว่า ปรสฺส ทานสฺส ได้แก่ ในทานของคนอื่น. อีกอย่างหนึ่ง บาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน.
อังกุระพาณิชเมื่อจะติเตียนทานบดีเศรษฐีนั้นอีก จึงกล่าวคาถาว่า :-
ก็ไฉนอสัยหเศรษฐีเมื่อจะให้ทาน จึงได้มอบข้าว น้ำ ของเคี้ยว ผ้า และเสนาสนะ ให้ผู้อื่นจัดแจง.
คำอันเป็นคาถานั้นมีอธิบายดังนี้ว่า บุรุษเมื่อจะให้ทาน ไฉนเล่าจึงมอบให้คนอื่นจัดแจงทานนั้น คือกระทำให้ประจักษ์แก่ตนนั่นแหละ แล้วพึงให้ด้วยมือของตนเอง. อนึ่ง ตนเองพึงเป็นผู้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 270
ขวนขวายในทานนั้น เมื่อว่าโดยประการอื่น พึงกำจัดไทยธรรมในฐานะอันไม่ควร และไม่พึงให้พระทักขิไณยบุคคลเสื่อมจากทาน.
อังกุระพาณิชครั้นติเตียนทานบดีเศรษฐีอย่างนี้แล้ว เมื่อจะแสดงวิธีที่ตนจะพึงปฏิบัติ จึงกล่าว ๒ คาถาว่า :-
ก็เราไปจากที่นี้ถึงทวารกนครแล้ว จักเริ่มให้ทานอันนำความสุขมาให้เราแน่แท้ เราจักให้ข้าว น้ำ ผ้า เสนาสนะ บ่อน้ำ สระน้ำ และสะพานในที่เดินลำบากให้เป็นทาน.
คำนั้นมีเนื้อความดังกล่าวแล้วนั่นแล. เพื่อจะแสดงข้อปฏิบัติของอังกุระพาณิช พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายจึงได้ตั้งคาถา ๔ คาถาไว้ความว่า :-
ก็อังกุระพาณิชนั้นกลับจากทะเลทรายนั้น ไปถึงทวารกนครแล้ว ได้เริ่มให้ทานอันนำความสุขมาให้ตน ได้ให้ข้าว น้ำ ผ้า เสนาสนะ บ่อน้ำ สระน้ำ ด้วยจิตอันเลื่อมใส. ช่างกัลบก พ่อครัว ชาวมคธ พากันป่าวร้องในเรือนของอังกุระพาณิช นั้น ทั้งเช้า ทั้งเย็น ทุกเมื่อว่า ใครหิวจงมากินตามชอบใจ ใครกระหายจงมาดื่มตามชอบใจ ใครจักนุ่งห่มผ้า จงนุ่งห่มผ้า ใครต้องการพาหนะ สำหรับเทียม จงเทียมพาหนะในคู่แอกนี้ ใครต้องการร่มจงเอาร่มไป ใครต้องการของหอมจง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 271
เอาดอกไม้ไป ใครต้องการรองเท้าจงเอารองเท้าไป.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตโต ได้แก่ จากทะเลทราย. บทว่า นิวตฺติตฺวา แปลว่า กลับไปแล้ว. บทว่า อนุปฺปตฺวาน ทฺวารกํ แปลว่า ถึงทวารวดีนคร. บทว่า ทานํ ปฏฺปยิ องฺกุโร ความว่า อังกุระพาณิชนั้นผู้มีเรือนคลังทั้งสิ้นอันเทวบุตรให้บริบูรณ์ แล้ว เริ่มตั้งมหาทานอันเกื้อกูลแก่การเดินทางทุกอย่าง. บทว่า ยํ ตุมสฺส สุขาวหํ ความว่า เพราะให้เกิดความสุขแก่ตนทั้งในบัดนี้ และในอนาคต.
บทว่า โก ฉาโต อธิบายว่า ใครหิว จงมากินตามความชอบใจ แม้ในบทที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า ตสิโต แปลว่า ผู้กระหาย. บทว่า ปริทหิสฺสติ ความว่า จักนุ่ง และจักห่ม. บทว่า สนฺตานิ แปลว่า ถึงความสงบ. บทว่า โยคฺคานิ ได้แก่ พาหนะคือรถ. บทว่า อิโต โยเชนฺตุ วาหนํ ความว่า จงถือเอาความพอใจจากพาหนะที่เทียมด้วยคู่แอกนี้แล้วจงเทียมพาหนะ.
บทว่า โก ฉตฺติจฺฉติ ความว่า ใครต้องการร่มอันต่างด้วยร่มเสื่อลำแพนเป็นต้น. อธิบายว่า ผู้นั้นจงถือเอาไปเถิด. แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า คนฺธํ ได้แก่ ของหอมมีของหอมอันประกอบด้วยชาติ ๔ เป็นต้น. บทว่า มาลํ ได้แก่ ดอกไม้ที่ร้อย และยังมิได้ร้อย. บทว่า อุปาหนํ ได้แก่ รองเท้าอันต่างด้วยรองเท้าติดแผ่นหนังหุ้มส้นเป็นต้น. ศัพท์ว่า สุ ในคำว่า อิติสฺสุ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 272
นี้เป็นเพียงนิบาต. ความว่าด้วยคำมีอาทิว่า ใครหิว ใครกระหาย ด้วยประการฉะนี้ คืออย่างนี้. บทว่า กปฺปกา ได้แก่ ช่างกัลบก. บทว่า สูทา ได้แก่ พ่อครัว. บทว่า มาคธา ได้แก่ ชาวมคธ. มีวาจาประกอบความว่า บทว่า สทา ความว่า ป่าวร้อง คือ โฆษณาในเรือนของอังกุระพาณิชนั้นทั้งเช้าทั้งเย็นตลอดเวลา คือทุกวัน.
เมื่ออังกุระพาณิชบำเพ็ญมหาทานอย่างนี้ เมื่อเวลาผ่านไป โรงทานห่างเหินเงียบสงัดจากคนผู้ต้องการ เพราะเป็นผู้อิ่มหนำแล้ว. อังกุระพาณิชเห็นดังนั้นจึงไม่พอใจ เพราะเป็นผู้มีอัธยาศัยกว้างขวางในการให้ทาน จึงเรียกมาณพชื่อว่า สินธกะผู้ขวนขวายในทานของตนมาแล้วกล่าว ๒ คาถาว่า :-
มหาชนรู้เราว่า อังกุระนอนเป็นสุข ดูก่อนสินธกะ เรานอนเป็นทุกข์ เพราะไม่ได้เห็นพวกยาจก มหาชนรู้เราว่า อังกุระนอนเป็นสุข ดูก่อนสินธกะ เรานอนเป็นทุกข์ในเมื่อวณิพกมีน้อย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุขํ สุปติ องฺกุโร อิติ ชานาติ มํ ชโน ความว่า มหาชนยกย่องเราอย่างนี้ว่า พระเจ้าอังกุระเพียบพร้อมไปด้วยยศโภคะ เป็นทานบดี ย่อมบรรทมเป็นสุข คือ เข้าถึงความนิทราโดยความสุขทีเดียว ตื่นบรรทมก็เป็นสุขด้วยโภคสมบัติ และทานสมบัติของพระองค์. บทว่า ทุกฺขํ สุปามิ สินฺธก ความว่า ดูก่อนสินธกะมาณพ ก็เราย่อมนอนเป็นทุกข์อย่างเดียว. เพื่อจะหลีกเลี่ยงคำถามว่า เพราะเหตุไร ตอบว่า เพราะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 273
เราไม่เห็นพวกยาจก, อธิบายว่า เพราะเหตุที่เรายังไม่เห็นพวก ยาจกเป็นอันมากผู้จะรับไทยธรรมอันสมควรแก่อัธยาศัยของเรา. มีวาจาประกอบความว่า บทว่า อปฺปเก สุ วณิพฺพเก ความว่า เราหลับเป็นทุกข์ ในเมื่อวณิพกชนมีน้อย คือ ๒ - ๓ คน. ก็ศัพท์ว่า สุ เป็นเพียงนิบาต, อธิบายว่า เมื่อวณิพกชนมีน้อย.
สินธกะมาณพได้ฟังดังนั้นแล้ว มีความประสงค์จะกระทำอังกุระพาณิชนั้นให้น้อมไปในทานอันยิ่ง ให้ปรากฏจึงกล่าวคาถาว่า :-
ถ้าท้าวสักกะเป็นใหญ่กว่าชาวดาวดึงส์ และเป็นใหญ่กว่าชาวโลกทั้งปวง พึงให้พรท่าน ท่านเมื่อจะเลือก พึงเลือกเอาพรเช่นไร.
คำอันเป็นคาถานั้น มีอธิบายดังนี้ :- ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าเทพชั้นดาวดึงส์ และกว่าชาวโลกทั้งมวล หากจะพึงให้พรท่านว่า อังกุระ ท่านจงขอพรอย่างใดอย่างหนึ่งที่ท่านตั้งใจไว้ ท่านเมื่อจะขอพร คือเมื่อปรารถนา พึงขอพรเช่นไร
ลำดับนั้นอังกุระพาณิช เมื่อจะประกาศอัธยาศัยของตนตามความเป็นจริง จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :-
ถ้าท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่กว่าเทพชั้นดาวดึงส์ พึงให้พรแก่เราไซร้ เราจะพึงขอพรว่า เมื่อเราลุกขึ้นแต่เช้า ในเวลาพระอาทิตย์ขึ้น ขอภัตตาหารอันเป็นทิพย์ และพวกยาจกผู้มีศีล พึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 274
ปรากฏ เมื่อเราให้อยู่ ไทยธรรมไม่พึงสิ้นไป ครั้นเราให้ทานนั้นแล้ว ไม่พึงเดือดร้อนในภายหลัง เมื่อกำลังให้อยู่ พึงยังจิตให้เลื่อมใส ข้าพเจ้าพึงขอพรกะท้าวสักกะอย่างนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาลุฏฺิตสฺส เม สโต ความว่า เมื่อข้าพเจ้าลุกขึ้นในเวลาเช้า เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยความเพียร คือ ความหมั่นด้วยอำนาจสามีจิกรรม มีการนอบน้อม และการปรนนิบัติ เป็นต้น ต่อพระทักขิไณยบุคคลทั้งหลาย ผู้มีความต้องการ. บทว่า สูริยุคฺคมนํ ปติ แปลว่า ในเวลาพระอาทิตย์ขึ้นไป. บทว่า ทิพฺพา ภกฺขา ปาตุภเวยฺยุํ ความว่า อาหารอันนับเนื่องในเทวโลกพึงเกิดขึ้น. บทว่า สีลวนฺโต จ ยาจกา ความว่า และพวกยาจกพึงเป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม.
บทว่า ททโต เม น ขีเยถ ความว่า ก็เมื่อเราให้ทานแก่ผู้ที่มาแล้วๆ ไทยธรรมย่อมไม่สิ้นไป คือ ไม่ถึงความหมดเปลือง. บทว่า ทตฺวา นานุปเตยฺยหํ ความว่า ก็เพราะเหตุนั้นเราให้ทานนั้นแล้ว เห็นคนบางคนไม่มีความเลื่อมใส จึงไม่เดือดร้อนในภายหลัง. บทว่า ททํ จิตฺตํ ปสาเทยฺยํ ความว่า เมื่อเราให้อยู่ เราก็พึงทำจิตให้เลื่อมใส คือเราเป็นผู้มีจิตเลื่อมใสแล้วนั่นแหละ พึงให้ทาน. บทว่า เอตํ สกฺกํ วรํ วเร ความว่า เราพึงขอพรกะท้าวสักกะจอมเทพ ๕ อย่างนี้คือ ความสมบูรณ์ด้วยความไม่มีโรค ความสมบูรณ์ด้วยไทยธรรม ความสมบูรณ์ด้วยพระทักขิไณยบุคคล ความสมบูรณ์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 275
ด้วยไทยธรรมหาประมาณมิได้ และความสมบูรณ์ด้วยทายก. ก็ในพร ๕ ประการนี้ ด้วยคำว่า เมื่อเราลุกขึ้นแต่เช้า นี้ ชื่อว่า ความสมบูรณ์ด้วยความไม่มีโรค, ด้วยคำว่า ภัตตาหารอันเป็นทิพย์ พึงปรากฏนี้ชื่อว่า ความสมบูรณ์ด้วยไทยธรรม ด้วยคำว่า และยาจกพึงเป็นผู้มีศีลนี้ ชื่อว่า ความสมบูรณ์ด้วยทักขิโณยบุคคล ด้วยคำว่า เมื่อเราให้อยู่ ไทยธรรมไม่พึงสิ้นไป นี้ ชื่อว่า ความสมบูรณ์ด้วยไทยธรรมหาประมาณมิได้ ด้วยคำว่า ครั้นเราให้ทานแล้ว ไม่พึงเดือดร้อนในภายหลัง เมื่อกำลังให้พึงทำจิตให้เลื่อมใส นี้ ชื่อว่า ความสมบูรณ์ด้วยทายก รวมความว่า อังกุระพาณิชปรารถนาประโยชน์ ๕ ประการโดยความเป็นพร. ก็ประโยชน์ ๕ ประการนั้นแล พึงทราบว่ามีไว้เพียงเพื่อความยิ่งใหญ่แห่งบุญอันสำเร็จด้วยทานนั่นเอง.
เมื่ออังกุระพาณิชประกาศอัธยาศัยของตนอย่างนี้ ชายคนหนึ่ง ชื่อว่า โสนกะ ผู้มีความเชี่ยวชาญในนิติศาสตร์ นั่งอยู่ในที่นั้น เป็นผู้ให้ทานเกินประมาณ มีความประสงค์จะตัดทานนั้น จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :-
บุคคลไม่พึงให้ทรัพย์เครื่องปลื้มใจทั้งหมดแก่บุคคลอื่น ควรให้ทาน และควรรักษาทรัพย์ไว้ เพราะว่าทรัพย์เท่านั้นประเสริฐกว่าทาน ตระกูลทั้งหลายย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะการให้ทานเกินประมาณไป บัณฑิตย่อมไม่สรรเสริญ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 276
การไม่ให้ทาน และการให้ท่านเกินควร เพราะเหตุผลนั้นแล ทรัพย์เท่านั้นประเสริฐกว่าทาน บุคคลผู้เป็นนักปราชญ์สมบูรณ์ด้วยธรรม ควรประพฤติโดยพอเหมาะ.
อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า สินธกมาณพมีความประสงค์จะทดลองอย่างนี้อีก จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ไม่พึงให้ทรัพย์เครื่องปลื้มใจทั้งหมด.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพวิตฺตานิ ได้แก่ อุปกรณ์แก่ทรัพย์เครื่องปลื้มใจทั้งหมด ชนิดสวิญญาณกทรัพย์ และอวิญญาณกทรัพย์ อธิบายว่า ทรัพย์. บทว่า ปเร แก้เป็น ปรมฺหิ แก่บุคคลอื่น, อธิบายว่า ปรสฺส แก่คนอื่น. บทว่า น ปเวจฺเฉ แปลว่า ไม่พึงให้ อธิบายว่า ไม่ควรทำการบริจาคทรัพย์ทั้งหมดไม่เหลืออะไรไว้ โดยคิดว่า เราได้พระทักขิไณยบุคคล. บทว่า ทเทยฺย ทานญฺจ ความว่า ไม่ควรให้ทานธรรมโดยประการทั้งปวง คือ โดยที่แท้ ครั้นรู้ความเจริญ และความเสื่อมของตนแล้ว พึงให้ทานอันเหมาะสมแก่สมบัติ. บทว่า ธนญฺจ รกฺเข ความว่า พึงรักษาทรัพย์ไว้ด้วยอำนาจการได้ทรัพย์ที่ยังไม่ได้ รักษาทรัพย์ที่ได้ไว้แล้ว และควบคุมทรัพย์ที่รักษาไว้. อีกอย่างหนึ่ง เพราะทานนั้นซึ่งมีทรัพย์นั้นเป็นมูลเหตุ บุคคลพึงรักษาทรัพย์ตามวิธีที่กล่าวไว้ว่า :-
พึงใช้บริโภคส่วน ๑ พึงประกอบการงาน ๒ ส่วน และพึงเก็บทรัพย์ส่วนที่ ๔ ไว้ ในเมื่อ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 277
อันตรายจักมี.
จริงอยู่ นักกฎหมายคิดว่า พึงเสพทางทั้ง ๓ โดยทำทุกๆ ส่วนให้หมดจด. บทว่า ตสฺมา หิ ความว่า ก็เมื่อจะรักษาทรัพย์ และบำเพ็ญทาน ชื่อว่า ดำเนินไปตามทาน ซึ่งมีทรัพย์เป็นมูลเหตุ เพื่อประโยชน์แก่โลกทั้ง ๒ เพราะฉะนั้น ทรัพย์เท่านั้นจึงประเสริฐ คือ ดีกว่าทาน เพราะเหตุนั้น จึงอธิบายว่า ไม่พึงทำทานเกินควร. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ตระกูลทั้งหลายย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ เพราะให้ทานเกินควร, อธิบายว่า เพราะไม่รู้ประมาณของทรัพย์ อาศัยทรัพย์นั้นให้ทาน ตระกูลจึงตั้งอยู่ไม่ได้ คือ เป็นไปไม่ได้ ได้แก่ ขาดสูญไปเพราะประสงค์ในการให้เกินควร.
บัดนี้ โสนกะบุรุษ เมื่อจะตั้งประโยชน์เฉพาะที่วิญญูชนสรรเสริญ จึงกล่าวคาถาว่า บัณฑิตไม่สรรเสริญการไม่ให้ทาน และการให้ทานเกินควรเป็นต้น. บรรดาบทเหล่นั้น บทว่า อทานมติทานญฺจ ความว่า บัณฑิตทั้งหลาย คือผู้รู้ ได้แก่ ผู้มีปัญญา ย่อมไม่สรรเสริญ ย่อมไม่ชมเชยการไม่ให้ภิกษาทัพพีหนึ่งก็ดี ข้าวสารหยิบมือหนึ่งก็ดี โดยประการทั้งปวง และการให้เกินควร กล่าวคือการบริจาคเกินประมาณ. จริงอยู่ ผู้นั้นย่อมเป็นผู้เหินห่างจากประโยชน์ในสัมปรายภพเพราะไม่ให้ทานโดยประการทั้งปวง. ประเพณีในปัจจุบันย่อมไม่เป็นไป เพราะการให้ทานเกินควร. บทว่า สเมน วตฺเตยฺย ความว่า บุคคลผู้เป็นนักปราชญ์ สมบูรณ์ด้วยธรรม ควรประพฤติด้วยญาณอันเป็นสายกลาง อัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 278
มั่นคง เหมาะแก่ทางโลก เป็นไปสม่ำเสมอ. ด้วยคำว่า ส ธีรธมฺโม ท่านแสดงว่า ความเป็นไปแห่งการให้ และการไม่ให้ ตามที่กล่าวแล้ว อันใด อันนั้นจักเป็นธรรมคือ เป็นทางที่นักปราชญ์ผู้สมบูรณ์ด้วยปัญญา ผู้ฉลาดในนิตินัย ดำเนินไปแล้ว
อังกุระพาณิชได้ฟังดังนั้นแล้ว เมื่อจะเปลี่ยนแปลงความประสงค์ของโสนกะบุรุษนั้น จึงประกาศวิธีที่ตนจะพึงปฏิบัติ ด้วย ๔ คาถาว่า :-
ดูก่อนชาวเราทั้งหลายเอ๋ย ดีหนอ เราพึงให้ทานแล ด้วยว่าสัตบุรุษผู้สงบระงับ พึงคบหาเรา เราพึงยังความประสงค์ของวณิพกทั้งปวงให้เต็ม เลี้ยงดูให้อิ่มหนำ เปรียบเหมือนฝนที่ยังที่ลุ่มทั้งหลายให้เต็ม ฉะนั้น สีหน้าของบุคคลใดย่อมผ่องใส เพราะเห็นพวกยาจก บุคคลนั้นครั้นให้ทานแล้วมีใจเบิกบาน ข้อนั้นเป็นความสุขของบุคคลผู้อยู่ครองเรือน สีหน้าของบุคคลใดย่อมผ่องใส เพราะเห็นพวกยาจก บุคคลนั้น ครั้นให้ทานแล้วย่อมปลาบปลื้มใจ นี้เป็นความถึงพร้อมแห่งยัญ ก่อนแต่ให้ก็มีใจเบิกบาน เมื่อกำลังให้ก็ยังจิตให้เลื่อมใส ครั้นให้แล้วก็มีใจเบิกบาน นี้เป็นความถึงพร้อมแห่งยัญ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 279
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อโห วต แปลว่า ดีหนอ. บทว่า เร เป็นอาลปนะ. บทว่า อหเมว ทชฺชํ แก้เป็น อหํ ทชฺชเมว แปลว่า เราพึงให้ทีเดียว. จริงอยู่ ในข้อนี้มีความสังเขปดังต่อไปนี้ว่า ดูก่อนมาณพ ถ้าว่าวาทะของผู้ฉลาดในนิติศาสตร์นี้ จงมีแก่ ท่านว่า ทรัพย์เท่านั้นดีกว่าทาน ก็จริง ถึงอย่างนั้น เราก็พึงให้โดยแท้. บทว่า สนฺโต จ มํ สปฺปุริสา ภเชยฺยุ ความว่า สัตบุรุษ คือ คนดีทั้งหลาย ผู้สงบ คือ ผู้มีกายสมาจาร วจีสมาจาร และมโนสมาจารสงบ พึงคบ คือ พึงเข้าถึงเรา ในเพราะทานนั้น. บทว่า เมโฆว นินฺนานิ ปริปูรยนฺโต ความว่า น่าอัศจรรย์จริง เราเมื่อยังความประสงค์ของวณิพกทั้งปวงให้เต็ม ชื่อว่า พึงยังวณิพกเหล่านั้นให้เดือดร้อนเหมือนมหาเมฆ เมื่อยังฝนให้ตก ชื่อว่า ยังที่ลุ่ม คือที่ต่ำให้เต็มฉะนั้น.
บทว่า ยสฺส ยาจนเก ทิสฺวา ความว่า เมื่อบุคคลใด คือ ผู้ครองเรือนเห็นยาจกทั้งหลายเกิดศรัทธาขึ้นว่า บุญเขตปรากฏแก่เราหนอ เป็นอันดับแรก สีหน้าย่อมผ่องใส ครั้นให้ทานแก่ยาจกเหล่านั้น ตามสมบัติแล้ว ย่อมเบิกบานใจ คือ ย่อมมีใจอันปีติ และโสมนัสจับแล้ว. บทว่า ตํ ความว่า เป็นการเห็นยาจกในกาลใด และเห็นยาจกเหล่านั้นแล้ว จิตย่อมเลื่อมใส และครั้นให้ทานตามสมควรแล้ว ย่อมเบิกบานใจ.
บทว่า เอสา ยญฺสฺส สมฺปทา ความว่า นั้นเป็นความถึงพร้อม คือ ความบริบูรณ์ ได้แก่ ความสำเร็จแห่งยัญ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 280
บทว่า ปุพฺเพว นานา สุมโน ความว่า บุคคลพึงเป็นผู้มีใจดี คือเกิดโสมนัสตั้งแต่จัดแจงอุปกรณ์ทาน ก่อนแต่มุญจนเจตนาว่า เราจักฝังขุมทรัพย์อันเป็นเหตุติดตามตนไปได้. บทว่า ททํ จิตฺตํ ปสาทเย ความว่า เมื่อให้ คือ เมื่อยังไทยธรรมให้ตั้งอยู่ในมือของพระทักขิไณยบุคคล พึงยังจิตของตนให้เลื่อมใสว่า เราจะยืดถือเอาสิ่งที่เป็นสาระจากทรัพย์อันหาสาระมิได้. บทว่า ทตฺวา อตฺตมโน โหติ ความว่า ครั้นบริจาคไทยธรรมแก่พระทักขิไณยบุคคลแล้ว ย่อมเป็นผู้มีใจดี คือ มีความเบิกบานใจ ได้แก่ ย่อมเกิดปีติ และโสมนัสขึ้นว่า ขึ้นชื่อว่า ทานที่บัณฑิตบัญญัติแล้ว เราก็ได้ดำเนินตามแล้ว, โอ ช่างดีจริงหนอ. บทว่า เอสา ยญฺสฺส สมฺปทา ความว่า ความบริบูรณ์แห่งเจตนาทั้ง ๓ อันโสมนัสกำกับแล้ว ซึ่งไปตามความเชื่อกรรม และผลแห่งกรรมนี้คือ ปุพพเจตนา มุญจนเจตนา และอปรเจตนานี้ใดนั้น เป็นสัมปทาแห่งยัญ คือ ความถึงพร้อมแห่งทาน อธิบายว่า ไม่ใช่เป็นไปโดยประการอื่นจากสัมปทานี้.
อังกุระพาณิช ครั้นประกาศวิธีปฏิบัติของตนอย่างนี้แล้ว เป็นผู้มีอัธยาศัยในทานเจริญยิ่งขึ้น บำเพ็ญมหาทานทุกๆ วัน ให้เป็นไปโดยประมาณยิ่ง. เพราะเหตุนั้นในกาลนั้น เมื่อทำรัชชสมบัติทั้งปวงให้เป็นดุจที่ดอนแล้ว ให้มหาทานเป็นไป มนุษย์ทั้งหลายได้อุปกรณ์แห่งทานทั้งปวงแล้ว ละการงานของตนๆ เที่ยวไปตามความสุข. เพราะเหตุนั้น เรือนคลังของพระราชาทั้งหลายจึงได้ต้องความสิ้นไป. ลำดับนั้น พระราชาทั้งหลาย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 281
จึงได้ส่งทูตไปถึงอังกุระพาณิชว่า ท่านผู้เจริญ เพราะอาศัยทาน ความเจริญของพวกเราจึงได้พินาศไป. เรือนคลังทั้งหลายจึงถึงความสิ้นไป พวกเราควรรู้เหตุอันสมควรในข้อนั้น ดังนี้แล.
อังกุระพาณิชได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงไปยังทักขิณาปถชนบท ให้ช่วยกันสร้างโรงทานมากมาย ขนาดใหญ่ ในที่ไม่ไกลแต่มหาสมุทร ในที่อยู่ของพวกทมิฬ เมื่อให้มหาทานเป็นไปอยู่ ดำรงอยู่จนสิ้นอายุ เบื้องหน้าแต่กายแตกตายไป จึงบังเกิดในภพชั้น ดาวดึงส์. พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลาย เมื่อแสดงสมบัติแห่งทาน และการเข้าถึงสวรรค์ของอังกุระพาณิชนั้น จึงกล่าวคาถาทั้งหลายว่า :-
ในเรือนของอังกุระพาณิชผู้มุ่งบุญ โภชนะอันเขาให้แก่หมู่ชนวันละ ๖๐,๐๐๐ เล่มเกวียนเป็นนิตย์ พ่อครัว ๓,๐๐๐ คน ประดับด้วยต่างหูอันวิจิตร ด้วยมุกดา และแก้วมณี เป็นผู้ขวนขวายในการให้ทาน พากันเข้าไปอาศัยอังกุระพาณิชเลี้ยงชีวิต, มาณพ ๖๐,๐๐๐ คน ประดับด้วยต่างหูอันวิจิตรด้วยแก้วมุกดา และแก้วมณี ช่วยกันผ่าฟืนสำหรับหุงอาหารในมหาทานของอังกุระพาณิชนั้น พวกนารี ๑๖,๐๐๐ คน ประดับด้วยอลังการทั้งปวง ช่วยกันบดเครื่องเทศ สำหรับปรุงอาหารในมหาทานของอังกุระ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 282
พาณิชนั้น นารีอีก ๑๖,๐๐๐ คน ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ถือทัพพีข้าว ยืนคอยรับใช้ในมหาทานของอังกุระพาณิชนั้น อังกุระพาณิชนั้นได้ให้ของเป็นอันมากแก่มหาชนโดยประการต่างๆ ได้ทำความเคารพ และความยำเกรงในกษัตริย์ ด้วยมือของตนเองบ่อยๆ ให้ทานโดยประการต่างๆ สิ้นกาลนาน อังกุระพาณิช ยังมหาทานให้เป็นไปแล้วสิ้นเดือน สิ้นปักษ์ สิ้นฤดู และปีเป็นอันมาก ตลอดกาลนาน อังกุระพาณิชได้ให้ทาน และทำการบูชาแล้วอย่างนี้ตลอดกาลนาน ละร่างกายมนุษย์แล้วได้ไปบังเกิดในภพดาวดึงส์.
มีวาจาประกอบความว่า บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สฏฺ วาหสทสฺสานิ ความว่า ในเรือนของอังกุระพาณิชผู้มุ่งบุญ คือ ผู้มีอัธยาศัยในทาน ได้แก่ ผู้มีใจน้อมไปในทาน โภชนะอันเขาให้แก่หมู่ชนวันละ ๖๐,๐๐๐ เล่มเกวียน คือ ๖๐,๐๐๐ เล่มเกวียนที่บรรทุกของหอม ข้าวสาลี เป็นต้น เป็นนิตย์.
บทว่า ติสหสฺสานิ สูทา หิ ความว่า พ่อครัว คือ คนทำครัวประมาณ ๓,๐๐๐ คน ก็แลพ่อครัวเหล่านั้นท่านประสงค์เอาว่า ผู้เป็นประธาน. ในบรรดาพ่อครัวเหล่านั้น บุคคลผู้กระทำตามคำของพ่อครัวแต่ละคน พึงทราบว่า มากมาย. บาลีว่า ติสหสฺสานิ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 283
สูทานํ ดังนี้ก็มี. บทว่า อามุตฺตมณิกุณฺฑลา ได้แก่. ผู้ทรงไว้ซึ่งต่างหูอันวิจิตรด้วยแก้วมณีต่างๆ. ก็บทว่า อามุตฺตมณิกุณฺฑลา นี้ เป็นเพียงอุทาหรณ์, พ่อครัวเหล่านั้น ได้มีเครื่องอาภรณ์ เช่น แก้วมุกดา และสายรัดเอวที่ทำด้วยทองคำ เป็นต้น. บทว่า องฺกุรํ อุปชีวนฺติ ความว่า เข้าไปอาศัยอังกุระพาณิชเลี้ยงชีพ, อธิบาย ว่า ผู้มีชีวิตเนื่องด้วยอังกุระพาณิชนั้น. บทว่า ทาเน ยญฺสฺส ปาวฏา ความว่า เป็นผู้ขวนขวาย คือ ถึงความขวนขวายในการประกอบทานแห่งยัญ อันรู้กันว่า การบูชาใหญ่. บทว่า กฏฺํ ผาเลนฺติ มาณวา ความว่า พวกมนุษย์หนุ่มๆ ผู้ประดับตกแต่งแล้ว ช่วยกันผ่าคือ ช่วยกันตัดฟืนเพื่อหุงต้มอาหารพิเศษมีของเคี้ยว และของบริโภค เป็นต้น มีประการต่างๆ.
บทว่า วิธา ได้แก่ เครื่องเผ็ดร้อนสำหรับปรุงอาหารที่จะพึงจัดแจง. บทว่า ปิณฺเฑนฺติ ได้แก่ ย่อมประกอบด้วยการบด.
บทว่า ทพฺพิคาหา แปลว่า ผู้ถือทัพพี. บทว่า อุปฏฺิตา ความว่า เข้าไปยืนคอยรับใช้ยังสถานที่รับใช้.
บทว่า พหุํ แปลว่า มาก คือ เพียงพอ. บทว่า พหูนํ แปลว่า มากมาย. บทว่า ปาทาสิ แปลว่า ได้ให้โดยประการทั้งหลาย. บทว่า จิรํ แปลว่า ตลอดกาลนาน. จริงอยู่ เขาเกิดในหมู่มนุษย์ผู้มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี. และเมื่อเขาให้ทานเป็นอันมากแก่ชนเป็น อันมากตลอดกาลนาน เพื่อจะแสดงประการที่เขาให้ทานจึงกล่าวว่า สกฺกจฺจญฺจ ดังนี้เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สกฺกจฺจํ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 284
คือมีความเอื้อเฟื้อ ได้แก่ ไม่ได้ทอดทิ้ง คือ ไม่ดูหมิ่น. บทว่า สหตฺถา แปลว่า ด้วยมือของตน ไม่ใช่ถูกบังคับ. บทว่า จิตฺตีกตฺวา ความว่า กระทำ คือบูชาด้วยจิตอันประกอบด้วยความเคารพ และความนับถือมาก. บทว่า ปุนปฺปุนํ ได้แก่ โดยส่วนมาก คือไม่ใช่คราวเดียว. มีวาจาประกอบความว่า ไม่ได้กระทำ ๒ - ๓ วาระได้ให้ตั้งหลายวาระ.
บัดนี้ เพื่อจะประกาศการการทำบ่อยๆ นั้นนั่นแล พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวคาถาว่า พหู มาเส จ ดังนี้เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พหู มาเส ได้แก่ สิ้นหลายเดือนมีเดือนจิตตะ เป็นต้น. บทว่า ปกฺเข ได้แก่ สิ้นปักษ์เป็นอันมาก ต่างด้วยกัณหปักษ์ และสุกกปักษ์. บทว่า อุตุสํวจฺฉรานิ จ ความว่า สิ้นฤดู และปีเป็นอันมาก เช่น วสันต์ และคิมหันต์ เป็นต้น บทว่า อุตุสํวจฺฉรานิ นี้ เป็นทุติยาวิภัตติ ใช้ในอรรถอัจจันตสังโยคะ. บทว่า ทีฆมนฺตรํ แปลว่า สิ้นระยะกาลนาน. ก็ในข้อนี้ เพื่อจะ กล่าวถึงความที่ทานเป็นไปตลอดกาลนานว่า ท่านได้ให้ตลอดกาลนาน แล้วจึงแสดงว่า ทานนั้นเป็นไปไม่ขาดระยะทีเดียวอีก พึงเห็นว่า ท่านกล่าวว่า พหู มาเส ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า เอวํ แปลว่า โดยประการดังกล่าวแล้ว. บทว่า ทตฺวา ยชิตฺวา จ โดยเนื้อความก็เป็นบทเดียวกันนั่นแหละ, อธิบายว่า ได้ให้ด้วยอำนาจการบริจาคไทยธรรมบางอย่าง แก่พระทักขิไณยบุคคลบางพวก และเมื่อให้ตามกำลังแก่ชนทั้งปวงผู้มีความต้องการ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 285
โดยนัยดังกล่าวแล้วว่า ได้ให้สิ่งของเป็นอันมากแก่ชนเป็นอันมาก บูชาด้วยอำนาจการบูชาอย่างใหญ่. บทว่า โส หิตฺวา มานุสํ เทหํ ตาวตึสูปโค อหุ ความว่า ในเวลาสิ้นอายุ อังกุระพาณิชนั้นละอัตภาพมนุษย์ไปบังเกิดเป็นเทพนิกายในภพชั้นดาวดึงส์ โดยการถือปฏิสนธิ.
เมื่ออังกุระเทพบุตรนั้นบังเกิดในภพชั้นดาวดึงส์ เสวยทิพยสมบัติอย่างนี้ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย อินทกะมาณพ เมื่อท่านพระอนุรุทธเถระเที่ยวบิณฑบาตมีจิตเลื่อมใส ได้ถวายภิกษาทัพพีหนึ่ง. สมัยต่อมาเขาทำกาละแล้ว บังเกิดเป็นเทพบุตรผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากในภพชั้นดาวดึงส์ ด้วยอานุภาพแห่งบุญอันเป็นเขต ไพโรจน์ล่วงครอบงำอังกุระเทพบุตร ด้วยฐานะ ๑๐ มีรูปเป็นต้น อันเป็นทิพย์. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า :-
อินทกะมาณพได้ถวายภิกษาทัพพีหนึ่งแก่พระอนุรุทธเถระ ละร่างกายมนุษย์แล้ว ได้ไปบังเกิดในภพดาวดึงส์ แต่อินทกะเทพบุตรรุ่งเรืองยิ่งกว่าอังกุระเทพบุตรโดยฐานะ ๑๐ อย่างคือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่ารื่นรมย์ใจ อายุ ยศ วรรณะ สุขะ และความเป็นใหญ่.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 286
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รูเป ความว่าเป็นเหตุแห่งรูป คือ เป็นนิมิตแห่งความเกิดขึ้นแห่งรูป. แม้ในบทว่า อายุนา แปลว่า ด้วยชีวิต. ก็ชีวิตของเทวดาทั้งหลาย ท่านกล่าวมีกำหนดเป็นประมาณมิใช่ หรือ? ท่านกล่าวจริง. แต่ชีวิตนั้นท่านกล่าวไว้โดยส่วนมาก. จริงอย่างนั้น เทวดาบางเหล่าย่อมมีการตายในระหว่างทีเดียว เพราะความวิบัติแห่งความพยายามเป็นต้น. ส่วนอินทกเทพบุตรยัง ๓ โกฏิ ๖ ล้านปีให้บริบูรณ์เท่านั้น. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ย่อมไพโรจน์ล่วงด้วยอายุ. บทว่า ยสสา ได้แก่ สมบูรณ์ด้วยบริวารใหญ่. บทว่า วณฺเณน ความว่า ด้วยความสมบูรณ์ด้วยทรวดทรง. แต่ความสมบูรณ์ด้วยวรรณธาตุ ท่านกล่าวไว้ด้วยบทว่า รูเป ดังนี้นั่นเอง. บทว่า อาธิปจฺเจน แปลว่า ด้วยความเป็นใหญ่.
เมื่ออังกุรเทพบุตร และอินทกเทพบุตร บังเกิดในภพชั้นดาวดึงส์ เสวยทิพยสมบัติ พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายทรงกระทำยมกปาฏิหาร ณ โคนแห่งคัณฑามพฤกษ์ ที่ประตูแห่งกรุงสาวัตถี ในวันอาสาฬหปุณณมีในปีที่ ๗ แต่กาลตรัสรู้ เสด็จไปยังภพชั้นดาวดึงส์ โดยย่างก้าวไป ๓ ก้าวโดยลำดับ ทรงครอบงำความรุ่งเรืองของเทวพรหมบริษัท ผู้ประชุมกันด้วยโลกธาตุ ณ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ที่ควงต้นปาริฉัตตกะ ด้วยรัศมีพระสรีระของพระองค์ เหมือนพระสุริโยทัยทอแสงอ่อนๆ เหนือเขายุคนธรรุ่งเรืองอยู่ฉะนั้น ประทับนั่งแสดงอภิธรรม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 287
ทอดพระเนตรเห็นอินทกเทพบุตรผู้นั่งอยู่ในที่ไม่ไกล และอังกุรเทพบุตรผู้นั่งอยู่ในระยะ ๑๒ โยชน์ เพื่อจะประกาศความสมบูรณ์แห่งพระทักขิไณยบุคคล จึงตรัสพระคาถาว่า :-
ดูก่อนอังกุระ มหาทานท่านได้ให้แล้วสิ้นกาลนาน ท่านมาในสำนักของเรา ไฉนจึงนั่งอยู่ไกลนัก.
อังกุรเทพบุตรได้ฟังดังนั้นจึงทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า มหาทานอันข้าพระองค์บริจาคไทยธรรมเป็นอันมาก บำเพ็ญมาตลอดกาลนาน ก็ไม่ได้มีผลยิ่ง เพราะเว้นจากทักขิไณยสมบัติ เหมือนพืชที่หว่านลงในนาที่ไม่ดี ฉะนั้น แต่แม้การให้ภิกษาทัพพีหนึ่งของอินทกเทพบุตร ยังมีผลมากยิ่งนัก เพราะสมบูรณ์ด้วยพระทักขิไณยบุคคล เหมือนพืชที่หว่านในนาดี ฉะนั้น. พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลาย เมื่อจะแสดงความนั้น จึงได้กล่าวคาถาว่า :-
ครั้งเมื่อพระพุทธเจ้าผู้เป็นอุดมบุรุษ ประทับอยู่ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ภายใต้ต้นปาริฉัตตกพฤกษ์ ณ ภพดาวดึงส์ ครั้งนั้น เทวดาในหมื่นโลกธาตุพากันมานั่งประชุมกันเฝ้าพระสัมพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่บนยอดเขา เทวดาไรๆ ไม่รุ่งโรจน์เกินกว่าพระสัมพุทธเจ้าด้วยรัศมี พระสัมพุทธเจ้าเท่านั้นย่อมรุ่งโรจน์ล่วงเทวดาทั้งปวง ครั้งนั้น อังกุรเทพบุตรนี้นั่งอยู่ไกล
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 288
๑๒ โยชน์ จากที่พระพุทธเจ้าประทับ ส่วนอินทกเทพบุตรนั่งในที่ใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้ารุ่งเรืองกว่าอังกุรเทพบุตร พระสัมพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นอังกุรเทพบุตรกับอินทกเทพบุตรแล้ว เมื่อจะทรงประกาศทักขิไณยบุคคล จึงได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ความว่า ดูก่อนอังกุรเทพบุตร มหาทานท่านให้แล้วสิ้นกาลนาน ท่านมาสู่สำนักเรา ไฉนจึงนั่งอยู่ไกลนัก. อังกุรเทพบุตรอันพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระองค์อันอบรมแล้ว ทรงตักเตือนแล้ว ได้กราบทูลว่า จะประสงค์อะไรด้วยทานของข้าพระองค์นั้นอันว่างเปล่าจากพระทักขิไณยบุคคล อินทกเทพบุตรนี้นั้นให้ทานนิดหน่อย รุ่งเรืองยิ่งกว่าข้าพระองค์ ดุจพระจันทร์ในหมู่ดาว ฉะนั้น.
อังกุรเทพบุตรทูลว่า :-
พืชแม้มากที่บุคคลหว่านแล้วในนาดอน ผลย่อมไม่ไพบูลย์ ทั้งไม่ยังชาวนาให้ปลื้มใจ ฉันใด ทานมากมายอันบุคคลเข้าไปตั้งไว้ในบุคคลผู้ทุศีลก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่มีผลไพบูลย์ ทั้งไม่ยังทายกให้ปลื้มใจ พืชแม้น้อยอันบุคคลหว่านแล้วในนาดี เมื่อฝนหลั่งสายน้ำโดยสม่ำ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 289
เสมอ ผลย่อมยังชาวนาให้ปลาบปลื้มใจ แม้ฉันใด ทานแม้น้อยอันบุคคลบริจาคแล้วในท่านผู้มีศีล ผู้มีคุณความดี ผู้คงที่ ย่อมมีผลมาก ฉันนั้นเหมือนกัน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตาวตีเส ได้แก่ ในภพดาวดึงส์. มีวาจาประกอบความว่า บทว่า สิลายํ ปณฺฑุกมฺพเล ความว่า ในคราวที่พระพุทธเจ้าผู้เป็นอุดมบุรุษ ประทับอยู่ ณ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์.
บทว่า ทสสุ โลกธาตูสุ สนฺนิปติตูวาน เทวตา ความว่า กามาวจรเทวดา และพรหมเทวดาในหมื่นจักรวาล อันรู้กันว่า ชาติเขต ได้พากันมาประชุมเพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า และเพื่อฟังธรรม. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า บทว่า พากันมาเฝ้าพระสัมพุทธเจ้าซึ่งประทับอยู่บนยอดเขา อธิบายว่า บนยอดเขาสิเนรุ.
บทว่า โยชนานิ ทส เทฺว จ องฺกุโรยํ ตทา อหุ ความว่า ในกาลนั้น คือในเวลาพร้อมพระพักตร์พระศาสดา อังกุรเทพบุตรผู้มีจริตตามที่กล่าวแล้วนี้ ได้อยู่ระยะไกล ๑๒ โยชน์ อธิบายว่า ได้นั่งอยู่ในที่ระยะไกล ๑๒ โยชน์แต่ที่ที่พระศาสดาประทับ.
บทว่า โจทิโต ภาวิตฺตเตน ความว่า ผู้อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้มีพระองค์อันอบรมแล้วด้วยอริยมรรคภาวนาที่ทรงอบรมไว้อย่างยอดเยี่ยม ตักเตือนแล้ว. คาถามีอาทิว่า จะประสงค์อะไรด้วยทานของข้าพระองค์ ดังนี้ เป็นคาถาที่อังกุรเทพบุตร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 290
ทูลแด่พระศาสดา โดยเป็นคำโต้ตอบ. บทว่า ทกฺขิเณยฺเยน สุญฺตํ ความว่า เพราะในกาลนั้น ทานของข้าพระองค์ว่างเปล่า คือ เว้น จากพระทักขิไณยบุคคล ฉะนั้น อังกุรเทพบุตรจึงกล่าวดูแคลนบุญทานของตนว่า จะประสงค์อะไรด้วยทานของข้าพระองค์นั้น.
บทว่า ยกฺโข ได้แก่ เทพบุตร. บทว่า ทชฺชา กล่าวว่า ให้แล้ว. บทว่า อติโรจติ อมฺเหหิ ความว่า ย่อมรุ่งเรืองยิ่งนักกว่าบุคคลผู้เช่นกับตน. อีกอย่างหนึ่ง ศัพท์ว่า หิ เป็นเพียงนิบาต. อธิบายว่า ย่อมรุ่งเรือง ก้าวล่วง คือครอบงำเรา. เพื่อจะหลีกเลี่ยง คำถามว่า เหมือนอะไร อังกุรเทพบุตรจงกล่าวว่า เหมือนพระจันทร์ในหมู่ดาว.
บทว่า อุชฺชงฺคเล ได้แก่ ในภูมิภาคอันแข็งยิ่งนัก. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ในภูมิภาคอันสูง. บทว่า โรปิตํ แปลว่า อันเขาหว่านแล้ว คือ หว่าน หรือถอนแล้วปลูกอีก. บทว่า นปิ โตเสติ แปลว่า ย่อมไม่ปลาบปลื้มใจ หรือไม่ยังความยินดีให้เกิด เพราะมีผลน้อย. บทว่า ตเถว ความว่า พืชเป็นมากที่เขาหว่านไว้ในนาดอน ย่อมไม่ให้ผลไพบูลย์ คือไม่มีผลมาก ทั้งไม่ยังชาวนาให้ปลาบปลื้มใจฉันใด ทานแม้เป็นอันมากก็ฉันนั้น ที่บุคคลตั้งไว้ในบุคคลทุศีล คือผู้เว้นจากศีล ย่อมไม่มีผลไพบูลย์ คือไม่มีผลมาก ทั้งไม่ทำให้ทายกปลาบปลื้มใจ
สองคาถาว่า ยถาปิ ภทฺทเก เป็นต้น พึงทราบอรรถโยชนาโดยปริยายตรงกันข้ามกับที่กล่าวแล้ว. ในบทเหล่านั้น บทว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 291
สมฺมาธารํ ปเวจฺฉนฺเต ความว่า เมื่อฝนหลั่งสายน้ำโดยสม่ำเสมอ คือ เมื่อฝนตกทุกกึ่งเดือน ทุก ๑๐ วัน ทุก ๕ วัน. บทว่า คุณวนฺเตสุ ได้แก่ ในบุคคลผู้ประกอบด้วยคุณมีฌานเป็นต้น. บทว่า ตาทิสุ ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยลักษณะแห่งผู้คงที่ในอิฏฐารมณ์เป็นต้น. บทว่า การํ ท่านกล่าวด้วยลิงควิปลาศ อธิบายว่า อุปการะ. เพื่อจะหลีกเลี่ยงคำถามว่า อุปการะคืออะไร อังกุรเทพบุตรจึงกล่าวว่า คือ บุญ.
พระสังคีติกาจารย์ได้ตั้งคาถานี้ไว้ว่า :-
บุคคลพึงเลือกให้ทานในเขตที่ให้แล้วมีผลมาก ทายกทั้งหลายครั้นเลือกให้ทานแล้วย่อมไปสวรรค์ การเลือกให้ทานพระสุคตทรงสรรเสริญ พระทักขิไณยบุคคลเหล่าใดมีอยู่ในชีวโลกนี้ ทานที่ทายกให้แล้วในพระทักขิไณยบุคคลเหล่านั้น ย่อมมีผลมาก เหมือนพืชที่หว่านไว้ในนาดี ฉะนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิเจยฺย แปลว่า พึงเลือก คือ พึงใคร่ครวญถึงบุญเขตด้วยปัญญา. คำที่เหลือในบททั้งปวงง่ายทั้งนั้นแล.
เรื่องอังกุรเปรตนี้นั้นพระศาสดาทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง โดยนัยมีอาทิว่า มหาทานอันท่านให้แล้วดังนี้ เพื่อจะทรงประกาศความสมบูรณ์แห่งพระทักขิไณยบุคคลข้างหน้าแก่เทวดาในหมื่น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 292
จักรวาล ในภพดาวดึงส์ พระองค์ทรงแสดงพระอภิธรรมในภพดาวดึงส์นั้น ๓ เดือน ในวันมหาปวารณา ทรงแวดล้อมแล้วหมู่เทพ เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ เสด็จจากเทวโลกลงสู่สังกัสนคร เสด็จถึงกรุง สาวัตถีโดยลำดับ ประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร เพื่อจะทรงประกาศความสมบูรณ์แห่งพระทักขิไณยบุคคล ในท่ามกลางบริษัท ๔ จึงทรงแสดงโดยพิสดาร โดยนัยมีอาทิว่า เราไปเพื่อประโยชน์แก่ผู้ใด. จึงยืดเอายอดเทศนา คือ จตุสัจจกถา. ในเวลาจบเทศนา สัตว์หลายพันโกฏิเหล่านั้นได้ตรัสรู้ธรรมแล้วแล.
จบ อรรถกถาอังกุรเปตวัตถุที่ ๙