๑๓. อุพพรีเปตวัตถุ ว่าด้วยพระราชพระนามว่าพรหมทัตต์มี ๘๖,๐๐๐ องค์
[เล่มที่ 49] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 330
อุพพรีวรรคที่ ๒
๑๓. อุพพรีเปติวัตถุ
ว่าด้วยพระราชพระนามว่าพรหมทัตมี ๘๖,๐๐๐ องค์
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 49]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 330
๑๓. อุพพรีเปติวัตถุ
ว่าด้วยพระราชาพระนามว่าพรหมทัตมี ๘๖,๐๐๐ องค์
[๑๑๐] พระเจ้าพรหมทัตผู้เป็นใหญ่ ได้เสวยราชสมบัติในแคว้นปัญจาลราช เมื่อวันคืนล่วงไปๆ พระองค์ก็เสด็จสวรรคต พระนางเจ้าอุพพรีมเหสีเสด็จไปยังพระเมรุมาศ แล้วทรงกรรแสงอยู่ เมื่อพระนางไม่เห็นพระเจ้าพรหมทัต กรรแสงว่า พรหมหัตๆ ก็ดาบสผู้เป็นมุนีสมบูรณ์ด้วยจรณญาณ ได้มาที่พระนางอุพพรีประทับอยู่นั้น ท่านได้ถามชนทั้งหลายที่มาประชุมกันในที่นั้นว่า นี่เป็นเมรุมาศของใคร มีกลิ่นหอมต่างๆ ฟุ้งตลบไป หญิงนี้เป็นภรรยาของใคร เมื่อไม่เห็นพระเจ้าพรหมทัตผู้เป็นใหญ่ ซึ่งเสด็จไปแล้วไกลจากโลกนี้ คร่ำครวญอยู่ว่า พรหมทัตๆ ชนที่มาประชุมกันอยู่ในที่นั้นกล่าวตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ นี่เป็นพระเมรุมาศของพระเจ้าพรหมทัต ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ นี่เป็นพระเมรุมาศของพระเจ้าพรหมทัต มีกลิ่นหอมฟุ้งตลบไป หญิงนี้เป็นพระมเหสีของท้าวเธอ เมื่อไม่เห็นพระเจ้าพรหมทัตพระราชสวามี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 331
ซึ่งเสด็จไปไกลจากโลกนี้ ทรงกรรแสงอยู่ว่า พรหมทัตๆ.
ดาบสจึงถามว่า
พระราชามีพระนานว่าพรหมทัต ถูกเผาในป่าช้านี้ ๘๖,๐๐๐ พระองค์แล้ว บรรดาพระเจ้าพรหมทัตเหล่านั้น พระนางทรงกรรแสงถึงพระเจ้าพรหมทัตพระองค์ไหน.
พระนางอุพพรีตรัสตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระราชาพระองค์ใดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าจุฬนี ทรงเป็นใหญ่อยู่ในแคว้นปัญจาลราช ดิฉันเศร้าโศกถึงพระราชาพระองค์นั้น ผู้เป็นพระราชสวามี ทรงประทานสิ่งของที่น่าใคร่ทุกอย่าง.
ดาบสกล่าวว่า
พระราชาทุกพระองค์ทรงพระนามว่า พรหมทัตเหมือนกัน ทั้งหมดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าจุฬนี เป็นใหญ่อยู่ในแคว้นปัญจาลราช พระนางเป็นพระมเหสีของพระราชาเหล่านั้นทั้งหมดโดยลำดับกันมา เหตุไรพระนางจึงเว้นพระราชาองค์ก่อนๆ มากรรแสงถึงแต่พระราชาองค์หลังเล่า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 332
พระนางอุพพรีตรัสตอบว่า
ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ดิฉันเกิดเป็นแต่หญิงตลอดกาลนานเท่านั้นหรือ หรือเกิดเป็นบุรุษบ้าง ท่านพูดถึงแต่การที่ดิฉันเป็นหญิงในสงสารเป็นอันมาก.
ดาบสตอบว่า
บางคราวพระนางเกิดเป็นหญิง บางคราวก็เกิดเป็นบุรุษ บางคราวก็เข้าถึงกำเนิดปศุสัตว์ ที่สุดแห่งอัตภาพทั้งหลายอันเป็นอดีต ย่อมไม่ปรากฏอย่างนี้.
พระนางอุพพรีตรัสว่า
ท่านดับความกระวนกระวายทั้งปวงของดิฉัน ผู้เร่าร้อนอยู่ให้หายเหมือนบุคคลเอาน้ำดับไฟที่ราดน้ำมัน ฉะนั้น ท่านได้บรรเทาความโศกถึงพระสวามีของดิฉันผู้ถูกความโศกครอบงำ แล้วถอนขึ้นแล้วหนอซึ่งลูกศรคือความโศกอัน เสียบแทงที่หทัยของดิฉัน ข้าแต่ท่านผู้เป็นมุนี ดิฉันเป็นผู้มีลูกศรคือความโศกอันท่านถอนขึ้นได้แล้ว เป็นผู้เย็นลงแล้ว ดิฉันจะไม่เศร้าโศก ไม่ร้องไห้อีกเพราะได้ฟังคำของท่าน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 333
พระนางอุพพรีฟังคำสุภาษิตของดาบสผู้เป็นสมณะนั้นแล้ว ถือบาตรและจีวรออกบวชเป็นบรรพชิต ครั้นออกบวชแล้ว เจริญเมตตาจิตเพื่อเข้าถึงพรหมโลก พระนางอุพพรีนั้นเมื่อท่องเที่ยวไปสู่บ้านหนึ่งจากบ้านหนึ่ง สู่นิคมและราชธานีทั้งหลาย ได้เสด็จสวรรคตที่บ้านอุรุเวลา พระนางเบื่อหน่ายความเป็นหญิง เจริญเมตตาจิตเพื่อบังเกิดในพรหมโลก จึงได้เป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก.
จบ อุพพรีเปติวัตถุที่ ๑๓
อรรถกถาอุพพรีเปติวัตถุที่ ๑๓
เรื่องนางอุพพรีเปรตนี้ มีคำเริ่มต้นว่า อหุ ราชา พฺรหฺมทตฺโต ดังนี้. พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภอุบาสิกาคนหนึ่ง. เล่ากันมาว่า ในกรุงสาวัตถี ได้มีสามีของอุบาสิกาคนหนึ่งตายไป. อุบาสิกานั้นก็อาดูรเพราะความทุกข์ในการพลัดพรากจากสามี เศร้าโศก เดินร้องไห้ไปยังป่าช้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นอุปนิสัยสมบัติแห่งโสดาปัตติผลของนาง ทรงมีพระมนัสอันพระกรุณากระตุ้นเตือน จึงเสด็จไปยังเรือนของนาง ประทับนั่งบนบัญญัตอาสน์. อุบาสิกาเข้าไปเฝ้าพระ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 334
ศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรข้างหนึ่ง. ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะนางว่า อุบาสิกา เธอเศร้าโศกไปทำไม. เมื่อนางทูลว่า อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า หม่อมฉันเศร้าโศกเพราะพลัดพรากจากสามีสุดที่รัก ทรงมีพระประสงค์จะให้นางปราศจากความเศร้าโศก จึงได้นำอดีตนิทานมาว่า :-
ในอดีตกาล ในกปิลนครแคว้นปัญจาละ ได้มีพระราชาพระนามว่า พรหมทัต พระองค์ทรงละการลุแก่อคติ ทรงยินดีในการทำประโยชน์แก่ประชาชนในแว่นแคว้นของพระองค์ ไม่ทรงให้ราชธรรม ๑๐ ประการเสียหาย ครองราชสมบัติอยู่ บางคราวประสงค์จะทรงสดับว่า ในแว่นแคว้นของพระองค์ มีใครพูดอะไรกันบ้าง จึงปลอมเป็นช่างหูกพระองค์เดียวไม่มีเพื่อน เสด็จออกจากนคร เที่ยวไปจากบ้านถึงบ้าน จากชนบทถึงชนบท ทรงเห็นแว่นแคว้นทั่วไปไม่มีเสี้ยนหนาม ไม่ เบียดเบียน (ทั้ง) พวกคนตื่นตัวอยู่อย่างไม่ต้องปิดประตูเรือน ทรงเกิดความโสมนัส จึงเสด็จกลับมุ่งมายังพระนคร จึงเสด็จเข้าไปยังเรือนของหญิงหม้ายยากจนคนหนึ่งในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง. นางเห็นพระองค์จึงกล่าวถามว่า ดูก่อนเจ้า ท่านเป็นใครและมาจากไหน. พระราชาตรัสว่า นางผู้เจริญ ฉันเป็นช่างหูก เที่ยวรับจ้างทำการทอผ้า ถ้าท่านมีกิจในการทอผ้า ท่านจงให้อาหารและค่าจ้าง ฉันจะทำงานให้แม้แก่ท่าน หญิงหม้ายกล่าวว่า ฉันไม่มีงานหรือค่าจ้าง ดูก่อนเจ้า ท่านจงทำงานของคนอื่นเถิด. พระราชานั้นประทับอยู่ที่นั้น ๒ - ๓ วัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 335
ทรงเห็นธิดาของนางเพียบพร้อมด้วยลักษณะของผู้มีบุญมีโชค จึงตรัสกะมารดาของนางว่า หญิงคนนี้ ใครๆ ทำการหวงแหนแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่มีใครๆ หวงแหน ท่านจงให้เด็กหญิงคนนี้แก่เรา เราสามารถทำอุบายเครื่องเลี้ยงชีพตามความสบายแก่พวกท่านได้ หญิงหม้ายนั้นรับคำ แล้วได้ถวายธิดานั้นแก่พระราชา.
พระราชาทรงอยู่กันนางนั้น ๒ - ๓ วัน จึงพระราชทานทรัพย์ ๑,๐๐๐ กหาปณะ แก่นางแล้วตรัสว่า เพียง ๒ - ๓ วันเท่านั้น เราก็จักกลับ แน่ะนางผู้เจริญ เจ้าอย่ากระสันไปเลย ดังนี้แล้ว จึงเสด็จไปยังพระนครของพระองค์ ทรงรับสั่งให้สร้างหนทางในระหว่างพระนครกับบ้านนั้น ให้สม่ำเสมอให้ประดับแล้วเสด็จไปในที่นั้น ด้วยราชานุภาพอันใหญ่แล้ว ให้ตั้งนางทาริกานั้นไว้ในกองกหาปณะ แล้วให้อาบด้วยหม้อน้ำทองคำและหม้อน้ำเงิน แล้วให้ตั้งชื่อว่า อุพพรี แล้วทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งอัครมเหสี และได้ประทานบ้านนั้นแก่พวกญาติของนาง ได้นำนางมายัง พระนครด้วยราชานุภาพอันใหญ่ ทรงอภิรมย์กับนาง เสวยรัชชสุขตลอดพระชนมชีพ ในที่สุดแห่งอายุก็เสด็จสวรรคต. ก็เมื่อพระราชาสวรรคตแล้ว และทำการถวายพระเพลิงพระศพเสร็จแล้ว พระนางอุพพรีมีหทัยเพียบพร้อมด้วยลูกศร คือความเศร้าโศก เพราะพลัดพรากจากพระสวามี ไปยังป่าช้า บูชาด้วยสักการะ มีของหอมและดอกไม้เป็นต้น อยู่หลายวัน ระบุถึงพระคุณของ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 336
พระราชา คร่ำครวญรำพันอยู่ ดุจถึงความเป็นบ้า กระทำประทักษิณป่าช้า.
ก็สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย เป็นพระโพธิสัตว์ทรงผนวชเป็นฤาษี บรรลุฌานและอภิญญาอยู่ในราวป่าแห่งหนึ่ง ใกล้ๆ ขุนเขาหิมพานต์ ทอดพระเนตรเห็นพระนางอุพพรี ผู้เพียบพร้อมไปด้วยลูกศรคือความเศร้าโศก ด้วยทิพยจักษุ เสด็จเหาะมาปรากฏรูป ประทับยืนอยู่ในอากาศ ตรัสถามพวกมนุษย์ผู้อยู่ในที่นั้นว่า นี้เป็นป่าช้าของใครกัน และหญิงนี้คร่ำครวญรำพันอยู่ว่า พรหมทัต พรหมทัต เพื่อต้องการพรหมทัตคนไหน. พวกมนุษย์ได้ฟังดังนั้น พากันกล่าวว่า พระราชาของชาวปัญจาละ ทรงพระนามว่า พรหมทัต ท้าวเธอสวรรคตในเวลาสิ้นพระชนมายุ นี้เป็นป่าช้าของท้าวเธอ นี้เป็นอัครมเหสี ชื่อว่า อุพพรี ของพระองค์คร่ำครวญรำพันระบุถึงพระนามของพระองค์ว่า พรหมทัต พรหมทัต. พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายเมื่อจะแสดงความนั้น จึงได้ตั้งคาถา ๖ คาถาว่า :-
พระเจ้าพรหมทัตผู้เป็นใหญ่ เสวยราชสมบัติในแคว้นปัญจาลราช เมื่อวันคืนล่วงไป พระองค์เสด็จสวรรคต พระนางเจ้าอุพพรีมเหสีเสด็จไปยังพระเมรุมาศ แล้วทรงกรรแสงอยู่ เมื่อพระนางไม่เห็นพระเจ้าพรหมทัต ก็ทรงกรรแสงว่า พรหมทัต พรหมทัต ก็ดาบสผู้เป็นมุนี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 337
สมบูรณ์ด้วยจรณญาณ ได้มาที่พระนางอุพพรีประทับอยู่นั้น ท่านได้ถามชนทั้งหลายที่มาประชุมกันในที่นั้นว่า นี้เป็นพระเมรุมาศของใครกัน มีกลิ่นหอมต่างๆ ฟุ้งตลบไป หญิงนี้เป็นภริยาของใครกัน ไม่เห็นพระเจ้าพรหมทัตผู้เป็นใหญ่ซึ่งเสด็จไปแล้วไกลจากโลกนี้ คร่ำครวญอยู่ว่า พรหมทัต พรหมทัต ชนที่มาประชุมกันอยู่ในที่นั้น กล่าวตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ นี้เป็นพระเมรุมาศของพระเจ้าพรหมทัต ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ นี้เป็นพระเมรุมาศของพระเจ้าพรหมหัต มีกลิ่นหอมฟุ้งตลบไป หญิงนี้เป็นพระมเหสีของท้าวเธอ เมื่อไม่เห็นพระเจ้าพรหมทัตผู้เป็นพระราชสวามีซึ่งเสด็จไปไกลจากโลกนี้ ทรงกรรแสงอยู่ว่า พรหมทัต พรหมทัต.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อหุ แปลว่า ได้มีแล้ว. บทว่า ปญฺจาลานํ ได้แก่ชาวปัญจาลรัฐ หรือได้แก่ ปัญจาลรัฐนั่นเอง. จริงอยู่ ชนบทแม้หนึ่งชนบท เขาแสดงออกด้วยคำเป็นอันมากว่า ปญฺจาลานํ ด้วยถ้อยคำอันดาดดื่น ด้วยอำนาจแห่งพระราชกุมารชาวชนบท. บทว่า รเถสโภ ความว่า ได้เป็นเสมือนผู้ยิ่งใหญ่ ในรถ คือ รถคันใหญ่. บทว่า ตสฺส อาฬาหนํ ได้แก่ สถานที่เป็นที่ถวายพระเพลิง พระสรีระของพระราชาพระองค์นั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 338
บทว่า อิสิ ความว่า ชื่อว่าฤาษี เพราะอรรถว่า แสวงหาซึ่งคุณมีฌานเป็นต้น. บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ในที่เป็นที่ประทับของพระนางอุพพรีนั้น คือ ในสุสาน บทว่า อาคจฺฉิ แปลว่า ได้ไปแล้ว. บทว่า สมฺปนฺนจรโณ ความว่า ผู้ถึงพร้อมคือผู้ประกอบด้วยคุณ คือ จรณะ ๑๕ ประการเหล่านี้คือ สีลสัมปทา ความเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ความเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ ชาคริยานุโยค สัทธรรม ๗ ประการมีศรัทธาเป็นต้น และรูปาวจรฌาน ๔ ประการ. บทว่า มุนิ ความว่า ชื่อว่ามุนิเพราะรู้ คือ รู้ชัดซึ่งประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น. บทว่า โส จ ตตฺถ อปุจฺฉิตฺถ ความว่า พระดาบสนั้นได้สอบถามถึงคนผู้อยู่ในที่นั้น. บทว่า เย ตตฺถ สุ สมาคตา ได้แก่ เหล่าคนผู้มาประชุมกันที่ป่าช้านั้น. ศัพท์ว่า สุ เป็นเพียงนิบาต. อีกอย่างหนึ่งบาลีว่า เย ตตฺถาสุํ สมาคตา ดังนี้ก็มี. บทว่า อาสุํ ความว่า ได้มีแล้ว.
บทว่า นานาคนฺธสเมริตํ ความว่า มีกลิ่นนานาชนิด หอมฟุ้งอบอวลไปโดยรอบ. บทว่า อิโต แปลว่า จากมนุษยโลก. ด้วยคำว่า ทูรคตํ หญิงนี้กล่าวเพราะค่าที่ตนไปสู่ปรโลก. บทว่า พฺรหฺมทตฺตาติ วทติ ความว่า พระนางร้องเรียกด้วยอำนาจความรำพัน โดยระบุถึงชื่ออย่างนี้ว่า พรหมทัต พรหมทัต.
บทว่า พฺรหฺมทตฺสฺส ภทฺทนฺเต พฺรหฺมทตฺตสฺส มาริส อธิบายว่า ข้าแต่พระมหามุนีผู้มีกายและจิตปลอดโปร่ง ผู้นิรทุกข์ นี้เป็นพระเมรุมาศของพระเจ้าพรหมทัต หญิงนี้เป็นพระมเหสี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 339
ของพระเจ้าพรหมทัตพระองค์นั้นนั่นเอง ขอความเจริญจงมีแก่ท่าน และจงมีแด่พระเจ้าพรหมทัตนั้น ประโยชน์สุขย่อมมีแด่พระมเหสีเช่นนั้น ผู้สถิตอยู่ในปรโลก ด้วยความคิดถึงเนืองนิตย์ถึงหิตประโยชน์.
ลำดับนั้น พระดาบสนั้น ครั้นสดับคำของคนเหล่านั้นแล้ว ด้วยอาศัยความอนุเคราะห์ จึงไปยังสำนักของพระนางอุพพรี เพื่อจะบรรเทาความเศร้าโศกของพระนางอุพพรี จึงได้กล่าวคาถาว่า :-
พระราชาทรงพระนามว่า พรหมทัต ถูกเผาในป่าช้านี้ ๘๖,๐๐๐ พระองค์แล้ว บรรดาพระเจ้าพรหมทัตเหล่านั้น พระนางทรงกรรแสงถึงพระเจ้าพรหมทัตพระองค์ไหน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฉฬาสีติสหสฺสานิ ความว่า นับได้ ๘๖,๐๐๐ พระองค์ บทว่า พฺรหฺมทตฺตสฺสนามกา ได้แก่ มีชื่ออย่างนี้ว่า พรหมทัต. บทว่า เตสํ กมนุโสจสิ ความว่า พระนางทรงพระกรรแสงถึงพระเจ้าพรหมทัตพระองค์ไหน บรรดาพระเจ้าพรหมทัตที่นับได้ ๘๖,๐๐๐ พระองค์นั้น. ดาบสถามว่า พระนางเกิดความเศร้าโศก เพราะอาศัยพระเจ้าพรหมทัตพระองค์ไหนกัน.
ก็พระนางอุพพรีถูกฤาษีนั้นถามแล้วอย่างนี้ เมื่อจะบอกถึงพระเจ้าพรหมทัตที่ตนประสงค์ จึงกล่าวคาถาว่า :-
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระราชาพระองค์ใด เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าจูฬนี ทรงเป็นใหญ่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 340
อยู่ในแคว้นปัญจาละ ดิฉันเศร้าโศกถึงพระราชาพระองค์นั้น ผู้เป็นพระราชสวามี ทรงประทานสิ่งของที่น่าปรารถนาทุกอย่าง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จูฬนีปุตฺโต ได้แก่พระโอรสของพระราชาผู้ทรงพระนามอย่างนั้น. บทว่า สพฺพกามทํ ได้แก่ ทรงประทานสิ่งทั้งปวงที่น่าต้องการน่าปรารถนาแก่ดิฉัน, หรือผู้ให้สิ่งที่สรรพสัตว์ต้องการ.
เมื่อพระนางอุพพรีกล่าวอย่างนี้แล้ว ดาบสจึงกล่าวคาถา ๒ คาถาอีกว่า :-
พระราชาทุกพระองค์ทรงพระนามว่า พรหมทัตเหมือนกันทั้งหมด ล้วนเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าจูฬนี เป็นใหญ่อยู่ในแคว้นปัญจาละ พระนางเป็นพระมเหสีของพระราชาเหล่านั้นทั้งหมด โดยลำดับกันมา เพราะเหตุไรพระนางจึงเว้นพระราชาพระองค์ก่อนๆ เสีย มาทรงกรรแสงถึงพระราชาพระองค์หลังเล่า.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺเพวาเหสุํ ความว่า พระราชาเหล่านั้นทั้งหมดนับได้ ๘๖,๐๐๐ พระองค์ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าจูฬนี พระนามว่า พรหมทัต ได้เป็นใหญ่ในแคว้นปัญจาละ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 341
ความพิเศษมีความเป็นพระราชา เป็นต้นเหล่านี้ ไม่ได้มีแต่พระราชาแม้พระองค์เดียวในพระราชาเหล่านั้น.
บทว่า มเหสิตฺตมการยิ ความว่า ก็ท่านได้กระทำให้เป็นพระอัครมเหสีของพระราชาทั้งหมดนั้น โดยลำดับ อธิบายว่า ถึงโดยลำดับ ด้วยบทว่า กสฺมา พระดาบสถามว่า ท่านเว้นพระราชาพระองค์ก่อนๆ ในบรรดาพระราชาเหล่านี้ ผู้ไม่พิเศษโดยคุณและโดยเป็นพระสวามี มาทรงกรรแสงถึงพระราชาพระองค์หลังพระองค์เดียวเท่านั้น เป็นเพราะเหตุไร คือ ด้วยเหตุไร?
พระนางอุพพรีได้ฟังดังนั้นแล้ว เกิดสลดพระทัย จึงกล่าวคาถากะดาบสอีกว่า :-
ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ดิฉันเกิดเป็นแต่หญิงตลอดกาลนานเท่านั้นหรือ หรือจะเกิดเป็นชายบ้าง ท่านพูดถึงแต่กาลที่ดิฉันเป็นหญิงในสงสารเป็นอันมาก.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาตุเม คือ ในตน. บทว่า อิจฺถิภูตาย แปลว่า เกิดเป็นผู้หญิง. บทว่า ทีฆรตฺตาย แปลว่า ตลอดกาลนาน. จริงอยู่ ในข้อนี้มีอธิบายดังนี้ว่า เมื่อดิฉันเป็นผู้หญิง ก็คงเป็นหญิงอยู่ตลอดกาลเท่านั้น. หรือว่าจะเป็นผู้ชายได้บ้าง. บทว่า ยสฺสา เม อิตฺถิภูตาย ความว่า ข้าแต่ท่านพระมหามุนี ท่านพูดถึงคือกล่าวถึงแต่กาลที่ดิฉันเป็นหญิง เป็นมเหสี ในสงสารมากมายถึงเพียงนั้น. อีกอย่างหนึ่ง บาลีว่า อาหุ เม อิตฺถิภูตาย ดังนี้ก็มี.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 342
บรรดาบทเหล่านั้น ศัพท์ว่า อา เป็นนิบาต ใช้ในอนุสสรณัตถะ. บทว่า อาหุ เม ความว่า ดิฉันเองได้ระลึกถึง คือได้รู้ทั่วถึงข้อนี้. มีวาจาประกอบความว่า เมื่อดิฉันเป็นหญิง คือเกิดเป็นผู้หญิง ดิฉันเกิดไปๆ มาๆ ตลอดกาลเพียงเท่านี้ ด้วยอาการอย่างนี้ เพราะเหตุไร? เพราะเมื่อดิฉันเป็นหญิง ท่านได้ทำดิฉันให้เป็นมเหสีของพระราชาทุกพระองค์โดยลำดับ ข้าแต่พระมหามุนี ท่านได้กล่าวถึงฉันในสงสารเป็นอันมาก เพราะเหตุไร?
พระดาบสครั้นได้ฟังดังนั้นแล้ว เมื่อจะแสดงว่าการกำหนดแน่นอนนี้ไม่มีในสงสารว่า หญิงก็ต้องเป็นหญิง ชายก็ต้องเป็นชายอยู่นั่นเอง จงกล่าวคาถาว่า :-
บางคราวพระนางเกิดเป็นหญิง บางคราวเกิดเป็นชาย บางคราวก็เกิดในกำเนิดปศุสัตว์ ที่สุดแห่งอัตภาพทั้งหลายอันเป็นอดีต ย่อมไม่ปรากฏอย่างนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อหุ อิตฺถี อหุ ปุริโส ความว่า บางคราวท่านก็เป็นหญิง บางคราวก็เป็นชาย จะเป็นหญิงหรือเป็นชายอย่างเดียวเท่านั้น ก็หามิได้ โดยที่แท้เกิดในกำเนิดปศุสัตว์บ้าง คือ บางคราวก็ไปสู่ภาวะปศุสัตว์บ้าง คือ บางคราวก็เกิดในกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานบ้าง. บทว่า เอวเมตํ อตีตานํ ปริยนฺโต น ทิสฺสติ ความว่า ที่สุดแห่งอัตภาพอันเป็นอดีต อันเกิดเป็นหญิง เป็นชาย และเป็นสัตว์ดิรัจฉานเป็นต้น อย่างนี้ คือตามที่กล่าวแล้วนี้ ย่อม
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 343
ไม่ปรากฏ แก่ผู้เห็นด้วยญาณจักษุ คือ ด้วยความอุตสาหะใหญ่สำหรับพระองค์ คืออย่างเดียวเท่านั้น ก็หามิได้ โดยที่แท้ที่สุดแห่งอัตภาพของเหล่าสัตว์ผู้วนเวียนอยู่ในสงสารทั้งหมด ย่อมไม่ปรากฏ คือรู้ไม่ได้ทีเดียว. ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า :-
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้ไม่มีที่สุด และเบื้องต้นอันใครๆ ไปตามอยู่รู้ไม่ได้ เบื้องต้น และที่สุดของเหล่าสัตว์ ผู้มีอวิชชาเป็นเครื่องปิดกั้น ผูกพันด้วยตัณหา แล่นไป ท่องเที่ยวไป ย่อมไม่ปรากฏ.
พระมเหสีได้ฟังธรรมที่พระดาบสนั้น เมื่อจะประกาศความที่สงสารไม่มีที่สุด และความที่สัตว์มีกรรมเป็นของของตน แสดงไว้แล้วอย่างนี้ มีหทัยสลดในสงสาร และมีใจเลื่อมใสในธรรม ปราศจากลูกศรคือความเศร้าโศก เมื่อจะประกาศความเลื่อมใส และความปราศจากเศร้าโศกของตน จึงกล่าวคาถา ๓ คาถาว่า:-
ท่านดับความกระวนกระวายทั้งปวงของดิฉัน ผู้เร่าร้อนอยู่ให้หายเหมือนบุคคลเอาน้ำดับไฟที่ลาดด้วยน้ำมันฉะนั้น ท่านบรรเทาความเศร้าโศกถึงพระสวามีของดิฉัน ผู้ถูกความเศร้าโศกครอบงำแล้ว ถอนได้แล้วหนอ ซึ่งลูกศร ความเศร้าโศกอันเสียดแทงที่หทัยของดิฉัน ข้าแต่ท่านผู้เป็นพระมหามุนี ดิฉันเป็นผู้มีลูกศร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 344
คือความเศร้าโศกอันถอนขึ้นได้แล้ว เป็นผู้เย็น สงบ ดิฉันไม่เศร้าโศก ไม่ร้องไห้อีก เพราะได้ฟังคำของท่าน.
ความของคาถานั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในหนหลังนั่นแล.
บัดนี้ พระศาสดาเมื่อจะทรงแสดงข้อปฏิบัติของพระนางอุพพรี ผู้มีพระหทัยสลด จึงได้ตรัสพระคาถา ๔ พระคาถาว่า :-
พระนางอุพพรีฟังคำสุภาษิตของดาบส เป็นสมณะนั้นแล้ว ถือบาตรและจีวรออกบวชเป็นบรรพชิต ครั้นออกบวชแล้วเจริญเมตตาจิต เพื่อเข้าถึงพรหมโลก พระนางอุพพรีนั้นเมื่อท่องเที่ยวไปสู่บ้านหนึ่งจากบ้านหนึ่ง สู่นิคม และราชธานีทั้งหลายได้เสด็จสวรรคต ที่บ้านอุรุเวลา พระนางเบื่อหน่ายความเป็นหญิง เจริญเมตตาจิตเพื่อบังเกิดในพรหมโลก จึงได้เป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตสฺส ได้แก่ ดาบสนั้น. บทว่า สุภาสิตํ ได้แก่ คำอันเป็นสุภาษิต, อธิบายว่า ซึ่งธรรม, บทว่า ปพฺพชิตา สนฺตา ได้แก่ เข้าถึงบรรพชา หรือบวชแล้วเป็นผู้มีกายวาจาสงบ. ด้วยบทว่า เมตฺตจิตฺตํ พระนางอุพพรีกล่าวถึงจิต ที่เกิดพร้อมด้วยเมตตา คือ ฌานที่มีเมตตาเป็นอารมณ์ โดยยก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 345
จิตขึ้นเป็นประธาน. บทว่า พฺรหฺมโลกูปปติติยา ความว่า ก็และพระนางเมื่อเจริญเมตตาจิตนั้น ก็เจริญเพื่อเข้าถึงพรหมโลก ไม่ใช่เพื่อเป็นบาทแห่งวิปัสสนาเป็นต้น. จริงอยู่เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติ ดาบสและปริพาชกเจริญธรรมมีพรหมวิหารเป็นต้น ก็เจริญเพียงเพื่อภวสมบัติเท่านั้น.
บทว่า คามา คามํ ได้แก่ จากบ้านหนึ่งไปบ้านหนึ่ง. บทว่า อาภาเวตฺวา แปลว่า เจริญแล้ว คือ พอกพูนแล้ว. บางอาจารย์กล่าวว่า อภาเวตฺวา ก็มี. อ อักษร ของบทว่า อภาเวตฺวา ของอาจารย์บางพวกนั้น เป็นเพียงนิบาต. บทว่า อิตฺถิ จิตฺตํ วิราเชตฺวา ความว่า คลายความคิด คือ ความมีอัธยาศัย ได้แก่ ความชอบใจในความเป็นหญิง คือ เป็นผู้มีจิตปราศจากความยินดีในความเป็นหญิง. บทว่า พฺรหฺมโลกูปคา ความว่า ได้เป็นผู้เข้าถึงพรหมโลกโดยการถือปฏิสนธิ. คำที่เหลือง่ายทั้งนั้น เพราะมีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลัง.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ได้ทรงกระทำความเศร้าโศก ของอุบาสิกานั้น โดยจตุสัจจเทศนาเบื้องบน. ในเวลาจบสัจจะ อุบาสิกานั้นดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. และเทศนาได้มีประโยชน์แก่บริษัทผู้ถึงพร้อมแล้ว ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอุพพรีเปติวัตถุที่ ๑๓
จบ ปรมัตถทีปนี
อรรถกถาขุททกนิกาย เปตวัตถุ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 346
รวมเรื่องที่มีในอุพพรีวรรคนี้ คือ
๑. สังสารโมจกเปติวัตถุ ๒. สารีปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ ๓. มัตตาเปติวัตถุ ๔. นันทาเปติวัตถุ ๕. มัฏฐกุณฑลีเปตวัตถุ ๖. กัณหเปตวัตถุ ๗. ธนปาลเปตวัตถุ ๘. จูฬเสฏฐีเปตวัตถุ ๙. อังกุรเปตวัตถุ ๑๐. อุตตรมาตุเปติวัตถุ ๑๑. สุตตเปตวัตถุ ๑๒. กัณณมุณฑเปติวัตถุ ๑๓. อุพพรีเปติวัตถุ.
จบ อุพพรีวรรคที่ ๒
อุพพรีวรรคที่ ๒
ประดับด้วยเรื่อง ๑๓ เรื่อง