พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย

๑๐. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ ว่าด้วยเปรตถูกรดน้ําแสบเฉือนเนื้อด้วยกรรมอะไร

 
บ้านธัมมะ
วันที่  17 พ.ย. 2564
หมายเลข  40378
อ่าน  403

[เล่มที่ 49] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 439

จูฬวรรคที่ ๓

๑๐. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ

ว่าด้วยเปรตถูกรดน้ำแสบเฉือนเนื้อด้วยกรรมอะไร


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 49]


  ข้อความที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 439

๑๐. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ

ว่าด้วยเปรตถูกรดน้ำแสบเฉือนเนื้อด้วยกรรมอะไร

พระมหากัสสปเถระถามเปรตตนหนึ่งว่า :-

[๑๒๐] ท่านยืนอยู่ในอากาศ มีกลิ่นเน่าเหม็นฟุ้งไป และหมู่หนอนพากันบ่อนฟอนกินปากอันมีกลิ่นเหม็นเน่าของท่าน เมื่อก่อนท่านทำกรรมอะไรไว้ เพราะการฟุ้งไปแห่งกลิ่นเหม็นนั้น นายนิรยบาลถือเอาศาตรามาเฉือนปากของท่าน เนืองๆ รดท่านด้วยน้ำแสบแล้วเชือดเนื้อไปพลาง ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกาย วาจา ใจ เพราะวิบากแห่งกรรมอะไร ท่านจึงได้ประสบความทุกข์อย่างนี้.

เปรตนั้นตอบว่า :-

ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ เมื่อก่อนกระผมเป็นอิสรชนอยู่ที่กรุงราชคฤห์อันน่ารื่นรมย์ มีภูเขาล้อมรอบ (บัญจคีรีนคร) เป็นผู้มั่งคั่งด้วยทรัพย์ และข้าวเปลือกมากมาย แต่กระผมได้ห้ามปรามภรรยา ธิดา และลูกสะใภ้ของกระผม ซึ่งพากัน นำพวงมาลา ดอกอุบลและเครื่องลูบไล้อันหาค่ามิได้ ไปสู่สถูปเพื่อบูชา บาปนั้นกระผมได้ทำไว้

 
  ข้อความที่ 2  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 440

แล้ว จึงได้เสวยทุกขเวทนาเห็นประจักษ์ และจักหมกไหม้อยู่ในนรกอันหยาบช้าทารุณ ๘๖,๐๐๐ ปี เพราะติเตียนการบูชาพระสถูป ก็เมื่อการบูชาและการฉลองพระสถูปของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อันมหาชนให้เป็นไปอยู่ ชนเหล่าใดมาประกาศโทษแห่งการบูชาพระสถูปนั้นเหมือนกระผม ชนเหล่านั้นพึงห่างเหินจากบุญ ขอท่านจงดู ชนทั้งหลายซึ่งทัดทรงดอกไม้ตบแต่งร่างกาย เหาะมาทางอากาศเหล่านี้ เป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใส เป็นผู้มั่งคั่ง มียศเสวยอยู่ซึ่งวิบากแห่งการบูชาด้วยดอกไม้ ชนทั้งหลายผู้มีปัญญา ได้เห็นผลอันน่าอัศจรรย์น่าขนพอง สยองเกล้าอันไม่เคยมีนั้นแล้ว ย่อมทำการนอบน้อมวันทาพระมหามุนีนั้น กระผมไปจากเปตโลกนี้แล้ว ได้กำเนิดเป็นมนุษย์จักเป็นผู้ไม่ประมาท ทำการบูชาพระสถูปเนืองๆ เป็นแน่แท้.

จบ ธาตุวิวัณณเปตวัตถุที่ ๑๐

อรรถกถาธาตุวิวัณณเปตวัตถุที่ ๑๐

เรื่องแห่งเปรตผู้ติเตียนพระธาตุนี้ มีคำเริ่มต้นว่า อนฺตลกฺขสฺมึ ติฏฺนฺโต ดังนี้.

 
  ข้อความที่ 3  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 441

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานในระหว่างนางรังทั้งคู่ ณ สาลวโนทยาน แห่งมัลลกษัตริย์ อันเป็นที่แวะเวียน ในกรุงกุสินารา และทำการจำแนกพระธาตุพระเจ้าอชาตสัตตุทรงถือเอาการส่วนพระธาตุที่พระองค์ได้ ทรงระลึกถึงพระพุทธคุณ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน แล้วให้การบูชาอันโอฬารเป็นไป.

พวกมนุษย์ในที่นั้น นับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ พากันทำจิตให้เลื่อมใส ได้เข้าถึงสวรรค์. ก็บุรุษประมาณ ๘๖,๐๐๐ คน ในที่นั้นมีจิตวิปปลาส เพราะความเป็นผู้ไม่มีศรัทธา และเพราะความเห็นผิดที่ตนให้เกิดตลอดกาลนานประทุษร้ายจิตของตนแม้ในฐานะอันเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส แล้วเกิดในหมู่เปรต. ภรรยา ธิดา ลูกสะใภ้ของกฏุมพีผู้เพียบพร้อมด้วยสมบัติคนหนึ่ง ในกรุงราชคฤห์นั้นนั่นเอง มีจิตเลื่อมใส พากันคิดว่า จักถวายบูชาพระธาตุ จึงถือเอาสักการะมีของหอมและดอกไม้เป็นต้น เริ่มไปยังที่บรรจุพระธาตุ. กฏุมพีนั้นคิดว่า จะประโยชน์อะไรด้วยการบูชากระดูก จึงดูหมิ่นพระธาตุเหล่านั้น ติเตียนการบูชาพระธาตุ. หญิงเหล่านั้นก็ไม่เชื่อคำของกฏุมพีนั้น พากันไปในที่นั้น กระทำการบูชาพระธาตุ มายังเรือนถูกโรคเช่นนั้นครอบงำ ไม่นานนักก็ทำกาละไปบังเกิดในเทวโลก. ส่วนกุฎมพีนั้นถูกความโกรธครอบงำ ไม่นานนักทำกาละแล้ว ไปบังเกิดในหมู่เปรตเพราะบาปกรรมนั้น.

ภายหลังวันหนึ่ง ท่านมหากัสสปะปรุงแต่งอิทธาภิสังขาร โดยประการที่พวกมนุษย์เห็นเปรตเหล่านั้น และเทวดาเหล่านั้น

 
  ข้อความที่ 4  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 442

ก็ครั้นกระทำอย่างนั้นแล้ว ยืนอยู่ที่ลานเจดีย์ ถามเปรตผู้ติเตียนพระธาตุนั้นด้วย ๓ คาถา เปรตนั้นได้พยากรณ์แก่ท่านแล้ว. พระเถระถามว่า :-

ท่านยืนอยู่ในอากาศ มีกลิ่นเหม็นฟุ้งไป และหมู่หนอนพากันบ่อนฟอนกินปากอันมีกลิ่นเหม็นเน่าของท่าน เมื่อก่อนทำอะไรไว้ เพราะการฟุ้งไปแห่งกลิ่นเหม็นนั้น นายนิรยบาลถือเอาศาตรามาเฉือนปากของท่านเนืองๆ รดท่านด้วยน้ำแสบด้วยเชือดเนื้อไปพลาง ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้ ด้วยกาย วาจา ใจ หรือเพราะวิบากแห่งกรรมอะไร ท่านจึงได้ประสบความทุกข์อย่างนี้.

เปรตนั้นตอบว่า:-

ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ เมื่อก่อนกระผมเป็นอิสรชนอยู่ที่กรุงราชคฤห์อันน่ารื่นรมย์มีภูเขา ล้อมรอบ (เบญจคีรีนคร) เป็นผู้มั่งคั่งด้วยทรัพย์ และข้าวเปลือกมากมาย แต่กระผมได้ห้ามปรามภรรยา ธิดา และลูกสะใภ้ของกระผม ซึ่งพากัน นำพวงมาลาดอกอุบลและเครื่องลูบไล้อันหาค่ามิได้ ไปสู่สถูปเพื่อบูชา บาปนั้นกระผมได้ทำไว้แล้ว จึงได้เสวยทุกขเวทนาเห็นประจักษ์

 
  ข้อความที่ 5  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 443

และจักหมกไหม้อยู่ในนรกอันหยาบช้าทารุณ ๘๖,๐๐๐ ปี เพราะติเตียนการบูชาพระสถูป ก็เมื่อการบูชาและการฉลองพระสถูปของพระ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอันมหาชนให้เป็นไปอยู่ ชนเหล่าใดมาประกาศโทษแห่งการบูชาพระสถูปนั้น เหมือนกระผม ชนเหล่านั้นพึงห่างเหินจากบุญ ขอท่านจงดู ชนทั้งหลายเหล่านั้น ซึ่งทัดทรงดอกไม้ตบแต่งร่างกาย เหาะมาทางอากาศเหล่านี้ เป็นผู้มีศรัทธาเลื่อมใส เป็นผู้มั่งคั่งมียศ เสวยอยู่ซึ่งวิบากแห่งการบูชาด้วยดอกไม้ ชนทั้งหลายผู้มีปัญญา ได้เห็นผลอันน่าอัศจรรย์ น่าขนพองสยองเกล้า อันไม่เคยมีนั้นแล้ว ย่อมทำการนอบน้อมวันทาพระมหามุนีนั้น กระผมไปจากเปตโลกนี้แล้ว ได้กำเนิดเป็นมนุษย์จักเป็นผู้ไม่ประมาท ทำการบูชาพระสถูปเนืองนิตย์เป็นแน่แท้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุคฺคนฺโธ ได้แก่ ผู้มีกลิ่นไม่น่าปรารถนา. อธิบายว่า มีกลิ่นเหมือนกลิ่นซากศพ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มีกลิ่นเหม็นเน่าฟุ้งไป. บทว่า ตโต ความว่า นอกเหนือจากกลิ่นเหม็นฟุ้งไปและถูกหมู่หนอนพากันบ่อนฟอนกิน.

 
  ข้อความที่ 6  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 444

บทว่า สตฺถํ คเหตฺวาน โอกฺกนฺตนฺติ ปุนปฺปุนํ ความว่า สัตว์ทั้งหลายถูกกรรมตักเตือน จึงเอาศาตราอันลับคมผ่าปากแผลนั้นบ่อยๆ. บทว่า ขาเรน ปริปฺโผสิตฺวา โอกฺกนฺตนฺติ ปุนปฺปุนํ ความว่า ถูกรดด้วยน้ำแสบในที่ที่ถูกผ่าแล้วก็เชือดเนื้อไปพลาง.

อิสฺสโร ธนธญฺสฺส สุปหูตสฺส ความว่า เป็นใหญ่ คือ เป็นเจ้าของทรัพย์และธัญญาหารมากมายยิ่ง อธิบายว่า เป็นคนมั่งคั่งมีทรัพย์มาก.

บทว่า ตสฺสายํ เม ภริยา จ ธีตา จ สุณิสา จ ความว่า ใน อัตภาพก่อน ผู้นี้เป็นภรรยา เป็นธิดา เป็นลูกสะใภ้ของกระผมนั้น. เปรตกล่าวแสดงว่า หญิงเหล่านั้นเป็นเทวดายืนอยู่ในอากาศ. บทว่า ปจฺจคฺฆํ แปลว่า ใหม่. บทว่า ถูปํ หรนฺติโย วาเรสึ ความว่า ข้าพเจ้าติเตียนพระธาตุ ห้ามหญิงเหล่านั้นผู้น้อมเข้าไปเพื่อบูชาพระสถูป. ด้วยคำว่า ตํ ปาปํ ปกตํ มยา นี้ เปรตถึงความเดือดร้อน กล่าวว่า ความชั่วในการติเตียนพระธาตุนั้น ข้าพเจ้าได้กระทำ คือประพฤติอยู่เสมอ.

บทว่า ฉฬาสีติสหสฺสานิ ได้แก่ ประมาณ ๘๖,๐๐๐ คน. เปรตกล่าวร่วมเปรตเหล่านั้นกับตนว่า มยํ. แปลว่า พวกเรา. บทว่า ปุจฺจตฺตเวทนา ได้แก่ ทุกขเวทนาที่กำลังครอบงำอยู่เป็นแผนกๆ. ด้วย บทว่า นิรเย เปรตกล่าวเปตวิสัยให้เหมือนกับนรก เพราะมีทุกข์หนัก.

 
  ข้อความที่ 7  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 445

บทว่า เย จ โข ถูปปูชาย วตฺตนฺเต อหรโต มเห ความว่า เมื่อการฉลอง การบูชา อุทิศสถูปของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นไปอยู่ ชนเหล่าใดประกาศอาทีนพ คือ โทษในการบูชาพระสถูปเหมือนข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายพึงเลือกเฟ้นบุคคลเหล่านั้นจากบุญนั้น. เปรตประกาศความที่ตนเป็นผู้เสื่อมใหญ่ โดยอ้างผู้อื่นว่า พึงยังบุคคลผู้เหินห่างจากบุญให้เกิด.

บทว่า อายนฺติโย แปลว่า ผู้มาทางอากาศ. บทว่า มาลาวิปากํ ได้แก่ วิบาก คือผลแห่งการบูชาด้วยดอกไม้ที่ทำไว้ในพระสถูป. บทว่า สมิทฺธา ได้แก่ สำเร็จด้วยทิพยสมบัติ. บทว่า ตา ยสสฺสิโน ได้แก่ หญิงเหล่านั้นมีบริวาร.

บทว่า ตญฺจ ทิสฺวาน ความว่า เห็นผลพิเศษอันโอฬารยิ่งอันน่าอัศจรรย์ไม่เคยมี ให้เกิดขนพองสยองเกล้า ของบุญอันเกิดจากการบูชาอันนิดหน่อยยิ่งนักนั้น. บทว่า นโม กโรนฺติ สปฺปญฺา วนฺทนฺติ ตํ มหามุนึ ความว่า ข้าแต่ท่านกัสสปะผู้เจริญ หญิงเหล่านี้ย่อมไหว้ย่อมอภิวาท อธิบายว่า กระทำการนอบน้อม และกระทำ นมัสการท่านผู้เป็นบุญเขตอันสูงสุด.

ลำดับนั้น เปรตนั้นมีใจสลด เมื่อจะแสดงกรรมที่ตนพึงกระทำต่อไป อันควรแก่ความสลดใจ จึงกล่าวคาถาว่า โสหํ นูน ดังนี้เป็นต้น. คำนั้นมีอรรถง่ายทั้งนั้น.

 
  ข้อความที่ 8  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 26 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 446

ท่านพระมหากัปปะผู้อันเปรตกล่าวอย่างนี้ จึงกระทำเรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุ แสดงธรรมแก่บริษัทผู้ถึงพร้อมแล้ว.

จบ อรรถกถาธาตุวิวัณณเปตวัตถุที่ ๑๐

จบ ปรมัตถทีปนี

อรรถกถาขุททกนิกาย เปตวัตถุ

จูฬวรรคที่ ๓ ประดับด้วยเรื่อง ๑๒ เรื่อง

รวมเรื่องที่มีในวรรคนี้คือ

๑. อภิชชมานเปตวัตถุ ๒. สานุวาสีเถรเปตวัตถุ ๓. รถการีเปตวัถุ ๔. เปตวัตถุ ๕. กุมารเปตวัตถุ ๖. เสรินีเปติวัตถุ ๗. มิคลุททกเปตวัตถุที่ ๑ ๘. มิคลุททกเปตวัตถุที่ ๒ ๙. กูฏวินิจฉยิกเปตวัตถุ ๑๐. ธาตุวิวัณณเปตวัตถุ.

จบ จูฬวรรคที่ ๓