๑. อัมพสักขรเปตวัตถุ ว่าด้วยเปรตถูกเสียบอยู่ปลายหลาว
[เล่มที่ 49] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 447
มหาวรรคที่ ๔
๑. อัมพสักขรเปตวัตถุ
ว่าด้วยเปรตถูกเสียบอยู่ปลายหลาว
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 49]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 447
มหาวรรคที่ ๔
๑. อัมพสักขรเปตวัตถุ
ว่าด้วยเปรตถูกเสียบอยู่ปลายหลาว
[๑๒๑] มีนครของชาววัชชีนครหนึ่งนามว่าเวสาลี ในนครเวสาลีนั้น มีกษัตริย์ลิจฉวีทรงพระนามว่า อัมพสักขระ ได้ทอดพระเนตรเห็นเปรตตนหนึ่ง ที่ภายนอกพระนคร มีพระประสงค์จะทรงทราบเหตุ จึงตรัสถามเปรตนั้นในที่นั้นนั่นเองว่า การนอน การนั่ง การเดินไปดินมา การลิ้ม การดื่ม การเคี้ยว การนุ่งห่ม แม้หญิงบำเรอของบุคคลผู้ถูกเสียบไว้บนหลาวนี้ ย่อมไม่มี ชนเหล่าใดผู้เป็นญาติ เป็นมิตรสหาย เคยเป็น เคยฟังร่วมกันมา เคยมีความเอ็นดูกรุณาของบุคคลใดมีอยู่ ในกาลก่อน เดี๋ยวนี้ชนเหล่านั้นแม้จะเยี่ยมเยียนบุคคลนั้นก็ไม่ได้ บุรุษนี้มีตนอันญาติเป็นต้นสละแล้ว มิตรสหายย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ตกยาก พวกมิตรสหายทราบว่าผู้ใดขาดแคลน ย่อมละทิ้งผู้นั้น และเห็นใครมั่งคั่งบริบูรณ์ ก็พากันไปห้อมล้อม คนที่มั่งคั่งด้วยสมบัติย่อมมีมิตรสหายมาก ส่วน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 448
บุคคลผู้เสื่อมจากทรัพย์สมบัติ เป็นผู้ฝืดเคืองด้วยโภคะ ย่อมหามิตรสหายยาก (นี้เป็นธรรมดาของโลก) บุรุษผู้ถูกหลาวเสียบนี้ มีร่างกายเปื้อนด้วยเลือด ตัวทะลุเป็นช่องๆ ชีวิตของบุรุษนี้จักดับไปในวันนี้พรุ่งนี้ เหมือนหยาดน้ำค้างอันติดอยู่บนปลายหญ้า ฉะนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้ เพราะเหตุไรท่านจึงพูดกะบุรุษผู้ถึงความลำบากอย่างยิ่ง นอนหงายอยู่บนหลาวไม้สะเดาเช่นนี้ว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ขอท่านจงมีชีวิตอยู่เถิด การมีชีวิตอยู่เท่านั้นเป็นของประเสริฐ.
เปรตนั้นกราบทูลว่า:-
ข้าแต่พระราชา บุรุษนี้เป็นสาโลหิตของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ระลึกชาติก่อนได้ ข้าพระองค์เห็นแล้วมีความกรุณาแก่เขาว่า ขออย่าให้บุรุษผู้เลวทรามนี้ไปตกนรกเลย ข้าแต่กษัตริย์ลิจฉวี บุรุษผู้ทำกรรมชั่วนี้ จุติจากอัตภาพนี้แล้ว จักเข้าถึงนรกอันยัดเยียดไปด้วยสัตว์ผู้ทำบาป เป็นสถานร้ายกาจ มีความเร่าร้อนมาก เผ็ดร้อน ให้เกิดความน่ากลัว หลาวนี้ประเสริฐกว่านรกนั้นตั้งหลายพันเท่า ขออย่าให้บุรุษนี้ไปตกนรก อันมีแต่ความทุกข์โดยส่วนเดียว เผ็ดร้อน ให้เกิด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 449
ความน่ากลัว มีความทุกข์กล้าแข็งอย่างเดียว บุรุษนี้ฟังคำของข้าพระองค์อย่างนี้แล้ว ประหนึ่งว่าข้าพระองค์น้อมเข้าไปสู่ทุกข์ในนรกนั้น จะพึงสละชีวิตของตนเสีย เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จะไม่พูดในที่ใกล้เขา ด้วยหวังว่า ชีวิตของบุรุษนี้อย่าได้ดับไปเสียเพราะคำของข้าพระองค์เลย เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงพูดว่า ขอท่านจงมีชีวิตอยู่เถิด การมีชีวิตอยู่เป็นของประเสริฐ.
เมื่อเปรตแสดงความประสงค์ของตนอย่างนี้แล้ว พระราชาทรงขอโอกาสเพื่อจะตรัสถามความเป็นไปของเปรตนั้นอีก จึงได้ตรัสพระคาถานี้ความว่า :-
เรื่องของบุรุษนี้เรารู้แล้ว แต่เราปรารถนาจะถามท่านถึงเรื่องอื่น ถ้าท่านให้โอกาสแก่เรา เราจะขอถามท่าน และท่านไม่ควรโกรธเรา.
เปรตนั้นกราบทูลว่า :-
ข้าพระองค์ได้ให้ปฏิญาณไว้ในกาลนั้นแน่นอนแล้ว การไม่บอกย่อมมีแก่ผู้ไม่เลื่อมใส บัดนี้ข้าพระองค์มีวาจาที่ควรเชื่อถือได้ แม้โดยพระองค์จะไม่ทรงเลื่อมใส เพราะเหตุนั้นขอเชิญพระองค์ตรัสถามข้าพระองค์ตามพระประสงค์
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 450
เถิด ข้าพระองค์จะกราบทูลตามที่สามารถจะกราบทูลได้.
เมื่อเปรตให้โอกาสเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าอัมพสักขระจึงตรัสถามว่า :-
เราเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยจักษุ เราควรเชื่อสิ่งนั้นแม้ทั้งสิ้น ถ้าเราเห็นสิ่งนั้นแล้วไม่เชื่อ ก็ขอให้ลงโทษถอดยศเราเถิดยักษ์.
เปรตนั้นทูลว่า :-
ขอสัจจปฏิญาณของพระองค์นี้จงมีแก่ข้าพระองค์ พระองค์ได้ทรงฟังธรรมที่ข้าพระองค์กล่าวแล้ว จงทรงได้ความเลื่อมใส ข้าพระองค์มีความต้องการอย่างอื่น ไม่ได้มีจิตประทุษร้าย ข้าพระองค์จะกราบทูลธรรมทั้งหมดที่ข้าพระองค์ได้สดับแล้วบ้าง หรือไม่สดับแล้วบ้าง แก่พระองค์ ตามที่ข้าพระองค์รู้.
พระเจ้าอัมพสักขระตรัสว่า :-
ท่านขี่ม้าขาวอันประดับประดาแล้ว เข้าไปยังสำนักของบุรุษที่ถูกเสียบหลาว ม้าขาวตัวนี้ เป็นม้าน่าอัศจรรย์ น่าดูน่าชม นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 451
เปรตนั้นกราลทูลว่า :-
ที่กลางเมืองเวสาลีนั้น มีหลุมที่หนทางลื่น ข้าพระองค์มีจิตเลื่อมใส เอาศีรษะโคศีรษะหนึ่งวางทอดที่หลุมให้เป็นสะพาน ข้าพระองค์และบุคคลอื่นเหยียบบนศีรษะโคนั้นเดินไปได้สะดวก ม้านี้เป็นม้าน่าอัศจรรย์ น่าดูน่าชม นี้เป็นผลแห่งกรรมนั้น.
พระเจ้าอัมพสักขระตรัสถามว่า :-
ท่านมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ และมีกลิ่นหอมฟุ้งไป ท่านได้สำเร็จฤทธิ์แห่งเทวดา เป็นผู้มีอานุภาพมาก แต่ท่านเปลือยกาย นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร.
เปรตนั้นกราบทูลว่า :-
เมื่อก่อนข้าพระองค์เป็นคนไม่มักโกรธ แต่มีใจเลื่อมใสเป็นนิตย์ พูดกับคนทั้งหลายด้วยวาจาอ่อนหวาน ข้าพระองค์มีรัศมีทิพย์สว่างไสวอยู่เนืองนิตย์ นี้เป็นผลแห่งกรรมนั้น ข้าพระองค์เห็นยศและชื่อเสียงของบุคคลผู้ตั้งอยู่ในธรรม มีจิตเลื่อมใสกล่าวสรรเสริญ ข้าพระองค์มีกลิ่นทิพย์หอมฟุ้งไปเนืองนิตย์ นี้เป็นผลแห่งกรรมนั้น เมื่อพวกสหายของข้าพระองค์อาบน้ำที่ท่าน้ำ ข้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 452
พระองค์ลักเอาผ้าซ่อนไว้บนบก ไม่มีความประสงค์จะลักขโมย และไม่มีจิตคิดประทุษร้าย เพราะกรรมนั้นข้าพระองค์จึงเป็นคนเปลือยกาย เป็นอยู่อย่างฝืดเคือง.
พระเจ้าอัมพสักขระตรัสถามว่า :-
ผู้ใดทำบาปเล่นๆ นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า ผู้นั้นได้รับผลกรรมเช่นนี้ ส่วนผู้ใดตั้งใจทำบาปจริงๆ นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวผลกรรมของผู้นั้นว่าเป็นอย่างไร.
เปรตนั้นกราบทูลว่า :-
มนุษย์เหล่าใดมีความดำริชั่ว เป็นผู้เศร้าหมองด้วยกายและวาจา เมื่อตายไป มนุษย์เหล่านั้นย่อมเข้าถึงนรกในสัมปรายภพโดยไม่ต้องสงสัย ส่วนชนเหล่าอื่นปรารถนาสุคติยินดียิ่งในทาน มีอัตภาพอันสงเคราะห์แล้ว เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงสุคติในสัมปรายภพโดยไม่ต้องสงสัย.
เมื่อเปรตนั้นชี้แจงจำแนกผลกรรมแต่โดยย่ออย่างนี้ พระราชาไม่ทรงเชื่อ จึงตรัสถามเปรตนั้นว่า :-
เราจะพึงรู้เรื่องนั้นได้อย่างไรว่า นี้เป็นผลแห่งกรรมดีและกรรมชั่ว หรือเราจะพึงเห็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 453
อย่างไรจึงจะเชื่อถือได้ หรือแม้ใครจะพึงทำให้เราเชื่อถือเรื่องนั้นได้.
เปรตนั้นกราบทูลว่า :-
พระองค์ได้ทรงเห็นแล้วและได้ทรงสดับมาแล้ว ก็จงทรงเชื่อเถิดว่า นี้เป็นผลแห่งกรรมดีและกรรมชั่ว เมื่อมีกรรมดีและกรรมชั่วทั้งสอง ก็พึงมีสัตว์ไปสู่สุคติและทุคติ ถ้าสัตว์ทั้งหลายในมนุษยโลกนี้ ไม่พึงทำกรรมดีและกรรมชั่ว สัตว์ผู้ไปสู่สุคติ ทุคติ อันเลวและประณีต ก็ไม่มีในมนุษยโลกนี้ แต่เพราะสัตว์ทั้งหลายในมนุษยโลกทำกรรมดีและกรรมชั่วไว้ ฉะนั้น จึงไปสู่สุคติ ทุคติ เลวบ้าง ประณีตบ้าง นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าววิบากแห่งกรรมทั้งสองนั้นว่า เป็นที่ตั้งแห่งการเสวยสุขและทุกข์ เทวดาย่อมพากันห้อมล้อมพวกชนผู้ได้เสวยผลอันเป็นสุข คนพาลผู้ไม่เห็นบาปและบุญทั้งสอง ย่อมเดือดร้อน กรรมที่ข้าพระองค์เองทำไว้ในชาติก่อน ซึ่งจะเป็นเหตุให้ได้เครื่องนุ่งห่มเป็นต้น ในบัดนี้ มิได้มีแก่ข้าพระองค์ และบุคคลผู้ที่ให้ผ้านุ่งผ้าห่ม ที่นอนที่นั่ง ข้าวและน้ำ แก่สมณพราหมณ์ทั้งหลายแล้วพึงอุทิศส่วนบุญมาให้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 454
ข้าพระองค์มิได้มี เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์จึงเป็นคนเปลือยกาย มีความเป็นอยู่อย่างฝืดเคือง.
พระเจ้าอัมพสักขระตรัสถามว่า :-
ดูก่อนยักษ์ เหตุอะไรๆ ที่จะให้ท่านได้เครื่องนุ่มห่มพึงมีอยู่หรือ ถ้าเหตุที่ควรเชื่อพอจะฟังเป็นเหตุได้มีอยู่ ขอท่านจงบอกเหตุนั้นแก่เรา.
เปรตนั้นกราบทูลว่า :-
ในเมืองเวสาลีนี้ มีภิกษุรูปหนึ่งนามว่า กัปปิตกะเป็นผู้ได้ฌาน มีศีลบริสุทธิ์ เป็นพระอรหันต์ผู้หลุดพ้น มีอินทรีย์อันคุ้มครองแล้ว สำรวมในพระปาติโมกข์ เยือกเย็น บรรลุผลอันสูงสุด มีวาจาสละสลวย รู้ความประสงค์ของผู้ขอว่าง่าย มีหน้าเบิกบาน เป็นผู้มาดีไปดี พูดจาโต้ตอบดี เป็นเนื้อนาบุญของโลก มีปกติอยู่ด้วยเมตตา เป็นทักขิไณยบุคคลของเทวดาและมนุษย์ สงบระงับ กำจัดมิจฉาวิตกได้ ไม่มีทุกข์ ไม่มีตัณหา หลุดพ้นแล้ว ปราศจากลูกศร ไม่ถือเราถือเขา ไม่คดกายวาจาใจ ไม่มีอุปธิ สิ้นกิเลสเป็นเครื่องเนิ่นช้าทั้งปวง ได้บรรลุวิชา ๓ มีความรุ่งเรือง ไม่มีชื่อเสียงปรากฏ เพราะความเป็นผู้มีคุณวิเศษอันปกปิดไว้ แม้ใครๆ เป็นก็ไม่รู้ว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 455
เป็นคนดีในหมู่ชนชาววัชชี เขาพากันเรียกท่านว่ามุนี รู้กันว่าท่านเป็นผู้ประเสริฐ หนักแน่น ไม่หวั่นไหว มีธรรมอันดีงามเที่ยวไปในโลก ถ้าพระองค์ทรงถวายผ้าคู่หนึ่งหรือสองคู่แก่ภิกษุนั้น แล้วทรงอุทิศส่วนกุศลให้ข้าพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงถวายแล้ว และท่านรับผ้านั้นแล้ว พระองค์ก็จะทรงเห็นข้าพระองค์นุ่งห่มผ้าเรียบ ร้อย.
พระเจ้าอัมพสักขระตรัสถามว่า :-
บัดนี้ สมณะนั้นอยู่ที่ประเทศไหน เราจักไปพบท่านที่ไหน ใครจะพึงแก้ไขความสงสัยสนเท่ห์ อันเป็นเสี้ยนหนามแห่งความเห็นของเราได้ในวันนี้.
เปรตนั้นกราบทูลว่า :-
ท่านอยู่ที่เมืองกปินัจจนา มีหมู่เทวดาเป็นอันมากห้อมล้อม เป็นผู้มีนามจริงแท้ และเป็นผู้ไม่ประมาท แสดงธรรมีกถาอยู่ในหมู่ของตน.
พระเจ้าอัมพสักขระตรัสว่า :-
เราจักไปทำตามที่ท่านสั่งเดี๋ยวนี้ จักให้สมณะนั้นนุ่งห่มผ้า ขอท่านจงดูคู่ผ้าเหล่านั้น อัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 456
สมณะนั้นรับประเคนแล้ว และเราจักคอยดูท่านนุ่งห่มผ้าเป็นอันดี.
เปรตนั้นกราบทูลว่า :-
ข้าแต่พระเจ้าลิจฉวี ข้าพระองค์ขอประทานพระวโรกาส ขอพระองค์อย่าเสด็จเข้าไปหาบรรพชิตในเวลาไม่ควร การเสด็จเข้าไปหาบรรพชิตในเวลาไม่ควรนี้ ไม่เป็นธรรมเนียมที่ดีของพระองค์ ก็เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปหาในเวลาสมควร ก็จักทรงเห็นภิกษุนั้นนั่งอยู่ในที่สงัดในที่นั้นเอง
เพื่อจะแสดงความเห็น พระสังคีติกาจารย์ได้กล่าวคาถาทั้งหลายว่า :-
พระเจ้าลิจฉวีตรัสอย่างนั้นแล้ว ก็แวดล้อมด้วยหมู่ข้าราชบริพาร เสด็จไปในนครนั้น ครั้นเสด็จเข้าไปยังนครนั้นแล้ว จึงเสด็จเข้าไปยังที่ประทับในนิเวศน์ของพระองค์ ทรงกระทำกิจของคฤหัสถ์ทั้งหลาย ทรงสรงสนาน และทรงดื่มน้ำแล้วได้เวลาอันควร จึงทรงเลือกผ้า ๘ คู่จากหีบ รับสั่งให้หมู่ข้าราชบริพารถือไป พระราชาครั้นเสด็จเข้าไปในประเทศนั้นแล้ว ได้ทอดพระเนตรเห็นสมณะรูปหนึ่งผู้มีจิต
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 457
สงบระงับกลับจากที่โคจร เป็นผู้เยือกเย็นนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ ครั้นแล้วได้ตรัสถามสมณะนั้นถึงความเป็นผู้มีอาพาธน้อย การอยู่สำราญและตรัสบอกนามของพระองค์ให้ทราบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันเป็นกษัตริย์ลิจฉวีอยู่ในเมืองเวสาลี ชาวลิจฉวีเรียกดิฉันว่าอัมพสักขระ ขอท่านจงรับผ้า ๘ คู่นี้ของดิฉัน ดิฉันขอถวายท่าน ดิฉันมาในที่นี้ด้วยความประสงค์เพียงเท่านี้ ดิฉันมีความปลื้มใจนัก.
พระเถระทูลถามว่า :-
สมณพราหมณ์ทั้งหลาย พากันละเว้นพระราชนิเวศน์ของมหาบพิตรแต่ที่ไกลทีเดียว เพราะในพระราชนิเวศน์ของมหาบพิตร บาตรย่อมแตก แม้สังฆาฏิก็ถูกเขาฉีก เมื่อก่อนสมณะทั้งหลายมีศีรษะห้อยลง ตกลงไปจากเคียงเท้า มหาบพิตรได้เบียดเบียนบรรพชิตเช่นนี้ สมณะทั้งหลายเคยถูกมหาบพิตรทำการเบียดเบียนแล้ว มหาบพิตรไม่เคยพระราชทานแม้แต่น้ำมันสักหยดหนึ่งเลย ไม่ตรัสบอกทางให้คนหลงทาง ชิงเอาไม้เท้าจากมือคนตาบอดเสียเอง มหาบพิตรเป็นคนตระหนี่ ไม่สำรวมเช่นนี้ แต่บัดนี้ เพราะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 458
เหตุอะไร มหาบพิตรทรงเห็นผลอะไร จึงทรงจำแนกแจกจ่ายกับอาตมภาพทั้งหลายเล่า.
พระราชาตรัสว่า :-
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันขอรับผิด ดิฉันได้เบียดเบียนสมณะทั้งหลาย ดังคำที่ท่านพูด ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันมีความประสงค์จะล้อเล่น ไม่ได้มีจิตประทุษร้าย แต่กรรมอันชั่วช้านั้นดิฉันทำแล้ว เด็กหนุ่มเปลือยกาย มีโภคะน้อย ได้สั่งสมบาปเพื่อจะล้อเล่น จึงต้องเสวยทุกข์ ก็ทุกข์อะไรเล่าที่เป็นทุกข์กว่าความเปลือยกาย ย่อมมีแก่เปรตนั้น ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันเห็นเหตุอันน่าสังเวชและเศร้าหมองนั้นแล้วจึงให้ทาน เพราะเหตุนั้นเป็นปัจจัย ขอท่านจงรับผ้า ๘ คู่นี้ ทักษิณาที่ดิฉันถวายนี้จงสำเร็จผลแก่เปรตนั้น
พระเถระทูลว่า เพราะการให้ทาน นักปราชญ์มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น สรรเสริญแล้วโดยมากแน่แท้ และพระองค์ผู้ให้จงอย่ามีความหมดเปลืองเป็นธรรม อาตมภาพจะรับผ้า ๘ คู่ของมหาบพิตร ขอทักษิณาทานเหล่านี้ จงสำเร็จผลแก่เปรตนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 459
ลำดับนั้น พระเจ้าลิจฉวีทรงชำระพระหัตต์และพระบาทแล้ว ทรงถวายผ้า ๘ คู่แก่พระเถระ พอพระเถระรับประเคนผ้าเหล่านั้นแล้ว พระราชาทรงเห็นเปรตนุ่งห่มผ้าเรียบร้อย ลูบไล้ด้วยจันทร์แดง มีผิวพรรณเปล่งปลั่ง ประดับประดา นุ่งผ้าดี ขี่ม้าอาชาไนย มีบริวารห้อมล้อม สำเร็จมหิทธิฤทธิ์ของเทวดา ครั้นทรงเห็นเช่นนั้นแล้ว ทรงปลื้มพระทัย เกิดปีติปราโมทย์ มีพระทัยร่าเริงเบิกบาน พระเจ้าลิจฉวีได้ทรงเห็นกรรมและวิบากแห่งกรรม แจ้งประจักษ์ด้วยพระองค์เองแล้ว จึงเสด็จเข้าไปใกล้ แล้วตรัสกะเปรตนั้นว่า เราจักให้ทานแก่สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เราควรให้ทานทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ ดูก่อนเปรต ท่านมีอุปการะแก่เรามาก.
เปรตนั้นกราบทูลว่า :-
ข้าแต่กษัตริย์ลิจฉวี ก็พระองค์ได้พระราชทานเพื่อข้าพระองค์ส่วนหนึ่ง แต่การพระราชทานนั้นมิได้ไร้ผล ข้าพระองค์เป็นเทวดา ทำความเป็นสหายกับพระองค์ผู้เป็นมนุษย์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 460
พระราชาตรัสว่า :-
ท่านเป็นคติ เป็นเผ่าพันธุ์ เป็นที่ยึดเหนี่ยว เป็นมิตร และเป็นเทวดาของเรา ดูก่อนเปรต เราขอทำอัญชลีท่าน ปรารถนาเพื่อจะเห็นท่านแม้อีก.
เปรตกราบทูลว่า :-
ถ้าพระองค์จักเป็นผู้ไม่มีศรัทธา มีความตระหนี่ มีจิตไม่เลื่อมใส พระองค์จักไม่ได้เห็นข้าพระองค์ และข้าพระองค์ก็จักไม่ได้เห็นไม่ได้เจรจากะพระองค์อีก ถ้าพระองค์จะทรงเคารพธรรม ทรงยินดีในการบริจาคทาน ทรงสงเคราะห์ ทรงเป็นดังบ่อน้ำของสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ด้วยอาการอย่างนี้ พระองค์ก็จักได้ทรงเห็นข้าพระองค์ และข้าพระองค์จักได้เห็นได้เจรจากะพระองค์ ขอพระองค์โปรดทรงปล่อยบุรุษนี้จากหลาวโดยเร็วเถิด เพราะการปล่อยบุรุษนี้ เราทั้งสองจักได้เป็นสหายกัน ข้าพระองค์เข้าใจว่า เราทั้งสองจักได้เป็นสหายกันและกัน เพราะเหตุแห่งบุรุษถูกหลาวเสียบ ก็บุรุษถูกหลาวเสียบนี้ อันพระองค์ทรงรีบปล่อยแล้ว พึงเป็นผู้ประพฤติธรรมโดยเคารพ พึงพ้นจากนรกนั้นแน่นอน พึง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 461
พ้นจากกรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งเวทนา พระองค์เสด็จเข้าไปหากัปปิตกภิกษุแล้ว ทรงจำแนกทานกับท่าน ในเวลาที่ควรจงเสด็จเข้าไปหาแล้วตรัสถามด้วยพระองค์เอง ท่านจักกราบทูลเนื้อความนั้นแก่พระองค์ ก็พระองค์ทรงประสงค์บุญ มีจิตไม่ประทุษร้ายก็เชิญเสด็จเข้าไปหาภิกษุนั้นเถิด ท่านจักแสดงธรรมทั้งปวงที่ทรงสดับแล้ว และยังไม่ได้ทรงสดับแก่พระองค์ตามความรู้เห็น พระองค์ได้ทรงฟังธรรมนั้นแล้ว จักทรงเห็นสุคติ.
พระราชาทรงเจรจาความลับในที่นั้นแล้ว ได้ทรงกระทำเปรตให้เป็นพยานร่วมกัน แล้วเสด็จหลีกไป ส่วนเปรตนั้นได้กล่าวกะบริษัทแห่งกษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลาย ซึ่งนั่งประชุมกันอยู่ใกล้ๆ ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ขอจงฟังคำอย่างหนึ่งของเรา เราจักเลือกพร จักได้ประโยชน์ บุรุษที่ถูกเสียบหลาวมีกรรมอันหยาบช้า มีอาชญาอันตั้งไว้แล้ว ถูกหลาวร้อยจะตายหรือไม่ตาย ประมาณ ๒๐ ราตรีเท่านี้ เดี๋ยวนี้เราจักปล่อยเขาตามความชอบใจของเรา ขอหมู่ท่านจงอนุญาต จงรีบปล่อยบุรุษนั้น และบุรุษอื่นที่พระราชารับสั่งให้ลงอาชญา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 462
โดยเร็วเถิด ใครพึงบอกท่านผู้ทำกรรมอย่างนั้น ท่านรู้อย่างไร จึงทำอย่างนั้น หมู่ท่านย่อมอนุญาตตามชอบใจ พระเจ้าลิจฉวีเสด็จเข้าไปสู่ประเทศนั้นแล้ว รีบปล่อยบุรุษที่ถูกเสียบหลาวโดยเร็ว และได้ตรัสกะบุรุษนั้นว่า อย่ากลัวเลย เพื่อนและรับสั่งให้หมอพยาบาล แล้วเสด็จเข้าไปหากัปปิตกภิกษุ แล้วทรงถวายทานกับท่านในเวลาอันควร มีพระประสงค์จะทรงทราบเหตุ จึงเสด็จเข้าไปใกล้แล้วตรัสถามด้วยพระองค์เองว่า บุรุษผู้ถูกเสียบหลาว มีกรรมอันหยาบช้า มีอาชญาอันตั้งไว้แล้ว ถูกหลาวร้อยจะตายหรือ ไม่ตายประมาณ ๒๐ ราตรีเท่านี้ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เดี๋ยวนี้ ดิฉันปล่อยเขาไปแล้ว เขาไปบอกเปรตนั้น เหตุอะไรๆ ที่จะไม่ต้องไปสู่นรกนั้น พึงมีหรือหนอ ถ้ามีขอท่านโปรดแก่ดิฉัน ดิฉันรอฟังเหตุที่ควรเชื่อถือจากท่าน.
กัปปิตกภิกษุทูลว่า :-
ความพินาศแห่งกรรมเหล่านั้นย่อมไม่มี ความพินาศในโลกนี้เกิดขึ้นเพราะความไม่รู้แจ้ง ถ้าเขาพึงเป็นผู้ไม่ประมาท ประพฤติธรรมทั้งหลายโดยเคารพตลอดคืนและวัน เขาพึงพ้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 463
จากนรกนั้นได้แน่ กรรมอันเว้นจากการให้ผลพึงมี.
พระราชาตรัสว่า :-
ข้าแต่ท่านผู้เจริญผู้มีปัญญากว้างขวาง ประโยชน์ของบุรุษผู้นี้ ดิฉันรู้ทั่วถึงแล้ว บัดนี้ ขอท่านอนุเคราะห์ดิฉันบ้าง ขอท่านได้กล่าวตักเตือนพร่ำสอนดิฉัน โดยวิธีที่ดิฉันจะไม่พึงไปสู่นรกด้วยเถิด.
กัปปิตกภิกษุทูลว่า
วันนี้ ขอมหาบพิตรทรงมีพระทัยเลื่อมใส ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ เป็นสรณะ จงทรงสิกขาบท อย่าให้ขาดและด่างพร้อย จงทรงงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ทรงยินดีด้วยพระมเหสีของพระองค์ ไม่ทรงพูดเท็จ ไม่ทรงดื่มน้ำจัณฑ์ และทรงสมาทานอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการอัน ประเสริฐ เป็นกุศล มีสุขเป็นกำไร จงทรงพระราชทานจีวร บิณฑบาต ที่นอน ที่นั่ง คิลานปัจจัย ข้าว น้ำ ของกิน ของเคี้ยว ผ้า เสนาสนะ ในภิกษุผู้มีจิตซื่อตรงทั้งหลาย บุญย่อมเจริญทุกเมื่อ ทรงอังคาสภิกษุทั้งหลายผู้สมบูรณ์ด้วย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 464
ศีล ปราศจากราคะ เป็นพหูสูต ให้อิ่มหนำด้วยข้าวและน้ำ บุญย่อมเพิ่มพูนทุกเมื่อ เมื่อบุคคลเป็นผู้ไม่ประมาท ประพฤติธรรมโดยเคารพตลอดคืนและวันอย่างนี้ พึงพ้นจากนรกนั้น กรรมที่เว้นจากการให้ผลพึงมี.
พระราชาตรัสว่า :-
วันนี้ ดิฉันมีจิตเลื่อมใส ขอถึงพระพุทธเจ้าพระธรรมและพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ขอสมาทานสิกขาบท ๕ ไม่ให้ขาดและด่างพร้อย ของดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ยินดีด้วยภรรยาของตน ไม่กล่าวเท็จ ไม่ดื่มน้ำเมา และจัก สมาทานอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ อันประเสริฐ เป็นกุศล มีสุขเป็นกำไร จักถวายจีวร บิณฑบาต ที่นอนที่นั่ง คิลานปัจจัย ข้าว น้ำ ของกิน ของเคี้ยว ผ้า และเสนาสนะแก่ภิกษุทั้งหลายผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ปราศจากราคะ เป็นพหูสูต จักไม่กำหนัด ยินดีแต่ในศาสนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
พระเจ้าลิจฉวีทรงพระนามว่าอัมพสักขระ ได้เป็นอุบาสกคนหนึ่งในเมืองเวสาลี ทรงมีศรัทธามีพระฤทัยอ่อนโยน ทรงทำอุปการะแก่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 465
ภิกษุ ทรงบำรุงสงฆ์โดยความเคารพ ในกาลนั้น บุรุษผู้ถูกเสียบหลาวหายโรค เป็นสุขสบายดี ได้เข้าถึงบรรพชา แม้ชนทั้งสองอาศัยกัปปิตกภิกษุผู้ประเสริฐ ได้บรรลุสามัญผล การคบหาสัปบุรุษเช่นนี้ย่อมมีผลมากตั้งร้อย แก่วิญญูชนผู้รู้แจ้ง บุรุษผู้ถูกเสียบหลาวได้บรรลุผลอันยอดเยี่ยม ส่วนพระเจ้าอัมพสักขระได้บรรลุ โสดาปัตติผล.
จบ อัมพสักขรเปตวัตถุที่ ๑
มหาวรรคที่ ๔
อรรถกถาอัมพสักขรเปตวัตถุที่ ๑
เรื่องอัมพสักขรเปรตนี้ มีคำเริ่มต้นว่า เวสาลี นาม นครตฺถิ วชฺชีนํ ดังนี้. เรื่องนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร เจ้าลิจฉวีนามว่า อัมพสักขระ เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นนัตถิกวาทะ ครองราชย์ในเมืองเวสาลี.
ก็สมัยนั้น ในพระนครเวสาลี มีเปือกตมอยู่ในที่ใกล้ร้านตลาดของพ่อค้าคนหนึ่ง. ชนเป็นอันมากในที่นั้นโดดข้ามไปลำบาก บางคนเปื้อนโคลน. พ่อค้านั้นเห็นดังนั้น จึงคิดว่า คนเหล่านี้อย่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 466
เหยียบเปือกตม จึงให้นำกระดูกศีรษะโคอันมีส่วนเปรียบด้วยสีสังข์ปราศจากกลิ่นเหม็น มาวางทอดไว้. ก็ตามปกติ เขาเป็นคนมีศีล ไม่มักโกรธ มีวาจาอ่อนหวาน และระบุถึงคุณตามความเป็นจริงของคนเหล่าอื่น.
วันนั้น เมื่อสหายของตนอาบน้ำ ไม่แลดูด้วยความเลินเล่อ เขาจึงซ่อนผ้านุ่งไว้ด้วยความประสงค์จะล้อเล่น ทำให้เขาลำบากเสียก่อนจึงได้ให้ไป. ก็หลานของเขาขโมยภัณฑะมาจากเรือนของคนอื่น แล้วทิ้งไว้ที่ร้านของเขานั่นเอง. เจ้าของภัณฑะเมื่อตรวจดู จึงแสดงหลานของเขาและตัวเขาพร้อมทั้งภัณฑะแก่พระราชา. พระราชาสั่งบังคับว่า พวกท่านจงตัดศีรษะผู้นี้ ส่วนหลานของเขาจงเสียบหลาวไว้. พวกราชบุรุษได้กระทำดังนั้น. เขาทำกาละแล้วเกิดในภุมเทพ ได้เฉพาะม้าอาชาไนยทิพย์ มีสีขาว มีความเร็วทันใจ เพราะเอาศีรษะโคทำสะพาน และเพราะการกล่าวสรรเสริญคุณของผู้มีคุณ กลิ่นทิพย์จึงฟุ้งออกจากกายของเขา แต่เขาได้เป็นผู้เปลือยกาย เพราะเก็บผ้าสาฎกซ่อนไว้ เขาตรวจดูกรรมที่ตนทำไว้ในกาลก่อน เห็นหลานของตนถูกเสียบหลาวโดยทำนองนั้น ถูกความกรุณากระตุ้นเตือน จึงขึ้นม้ามีฝีเท้าเร็วทันใจ ในเวลาเที่ยงคืนก็ถึงสถานที่ที่หลานนั้นถูกเสียบไว้บนหลาว จึงยืนอยู่ในที่ไม่ไกล กล่าวทุกวันๆ ว่า จงมีชีวิตอยู่เถอะ พ่อผู้เจริญ ชีวิตเท่านั้นเป็นของประเสริฐ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 467
ก็สมัยนั้น พระเจ้าอัมพสักขระเสด็จบนคอช้างเชือกประเสริฐ เสด็จเลียบพระนคร ทรงเห็นหญิงคนหนึ่งเปิดหน้าต่างในเรือนหลังหนึ่งผู้กำลังดูสมบัติของพระราชา ทรงมีจิตปฏิพัทธ์ จึงให้สัญญาแก่บุรุษผู้นั่งอยู่หลังอาสนะว่า ท่านจงใคร่ครวญเรือนนี้และหญิงนี้ ดังนี้แล้วเสด็จเข้าพระนิเวศน์ของพระองค์โดยลำดับ ส่งบุรุษนั้นไป โดยให้รู้ว่า ไปเถอะพนาย เธอจงรู้ว่า หญิงนั้นมีสามีหรือไม่. เขาไป รู้ว่าหญิงนั้นมีสามีแล้ว จึงกราบทูลแด่พระราชา. พระราชาเมื่อทรงคิดถึงอุบายที่จะครอบครองหญิงนั้น จึงรับสั่งให้เรียกสามีของนางมา แล้วตรัสว่า มาเถอะ พนาย เธอจงอุปัฏฐากเรา. เขาแม้จะไม่ปรารถนาก็รับอุปัฏฐากพระราชา เพราะกลัวว่า เมื่อเราไม่กระทำตามพระดำรัสของพระองค์ พระราชาก็จะลงราชทัณฑ์ จึงไปอุปัฏฐากพระราชาทุกวันๆ. ฝ่ายพระราชาก็ได้ประทานบำเหน็จรางวัลแก่เธอ โดยล่วงไป ๒ - ๓ วัน ก็ได้ตรัสกะเธอผู้มายังที่บำรุงแต่เช้าตรู่อย่างนี้ว่า ไปเถอะ พนาย ในที่โน้น มีสระโบกขรณีลูกหนึ่ง เธอจงนำดินสีอรุณและดอกอุบลแดงจากพระโบกขรณีนั้นมา ถ้าเธอไม่มาภายในวันนี้ ชีวิตของเธอจะหาไม่. ก็เมื่อเขาไปแล้ว จึงตรัสกะคนผู้รักษาประตูว่า วันนี้ เมื่อพระอาทิตย์ยังไม่ทันอัสดงคต เธอจงปิดประตูทุกด้าน.
ก็สระโบกขรณีนั้นอยู่ในที่สุด ๓๐๐ โยชน์ แต่กรุงเวสาลี อนึ่ง บุรุษนั้นถูกมรณภัยคุกคาม จึงถึงสระโบกขรณีนั้นแต่เช้าทีเดียว เพราะกำลังเร็วของลม เพราะได้สดับตรับฟังมาก่อนว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 468
สระโบกขรณีนั้น อมนุษย์หวงแหน เพราะความกลัว เขาจึงเดินเวียนไปรอบๆ ด้วยคิดว่า ในที่นี้จะมีอันตรายอะไรๆ หรือไม่หนอ. อมนุษย์ผู้รักษาสระโบกขรณีเห็นเขาแล้วเกิดความกรุณา แปลงเป็นมนุษย์เข้าไปหาแล้วกล่าวว่า บุรุษผู้เจริญ ท่านมาที่นี้เพื่อประโยชน์อะไร เขาก็ได้เล่าเรื่องนั้นให้อมนุษย์นั้นฟัง. อมนุษย์นั้นจึงกล่าวว่า ถ้าเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านจงถือเอาตามต้องการเถิด ดังนี้แล้วจึงแสดงรูปทิพย์ของตนแล้วหายไป.
เขาถือเอาดินสีอรุณและดอกอุบลแดงในสระโบกขรณีนั้น ถึงประตูพระนครในเมื่อพระอาทิตย์ยังไม่อัสดงคตเลย. ผู้รักษาประตูเห็นเขาแล้ว เมื่อเขาร้องบอกอยู่นั่นแหละก็ปิดประตูเสีย. เมื่อประตูถูกปิด เขาเข้าไปไม่ได้ เห็นบุรุษอยู่บนหลาวใกล้ประตู จึงได้กระทำให้เป็นสักขีพยานว่า คนเหล่านี้ เมื่อเรามาถึงในเมื่อพระอาทิตย์ยังไม่อัสดงคต ร้องขออยู่นั้นเอง ก็ปิดประตูเสีย ถึงท่านก็จงรู้เถิดว่า เรามาทันเวลา เราไม่มีโทษ. บุรุษผู้อยู่บนหลาวได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่า เราถูกร้อยหลาว เขาจะฆ่า บ่ายหน้าไปหาความตาย จะเป็นพยานให้ท่านได้อย่างไร. ก็ในที่นี้ เปรตตนหนึ่งมีฤทธิ์มากจักมาที่ใกล้เรา ท่านจงทำเปรตนั้นเป็นพยานเถิด. บุรุษนั้นถามว่า เราจะเห็นเปรตผู้มีฤทธิ์มากตนนั้นได้อย่างไร. บุรุษผู้อยู่บนหลาวกล่าวว่า ท่านจงรออยู่ที่นี้แหละ ท่านจักเห็นด้วยตนเอง. เขายืนอยู่ในที่นั้น เห็นเปรตนั้นมาในมัชฌิมยาม จึงได้ทำให้เป็นพยาน. ก็เมื่อราตรีสว่าง เมื่อพระราชาตรัสว่า ท่าน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 469
ล่วงอาญาของเรา เพราะฉะนั้น เราจะลงราชทัณฑ์แก่ท่าน บุรุษนั้นจึงทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ไม่ได้ล่วงอาชญาของพระองค์ ข้าพระองค์มาในที่นี้ในเมื่อพระอาทิตย์ยังไม่อัสดงคตเลย พระราชาตรัสถามว่า ในข้อนั้น ใครเป็นพยานให้เธอ. บุรุษนั้น จึงอ้างถึงเปรตเปลือย ผู้มายังสำนักของบุรุษผู้ถูกหลาวร้อยนั้นว่า เป็นพยาน เมื่อพระราชาตรัสถามว่า ข้อนั้นเราจะเชื่อได้อย่างไร จึงทูลว่า วันนี้ ในเวลาราตรี พระองค์จงส่งบุรุษผู้ควรเชื่อได้ไปกับข้าพระองค์. พระราชาได้สดับดังนั้น จึงเสด็จไปในที่นั้นพร้อมกับบุรุษนั้นด้วยพระองค์เอง แล้วประทับยืนอยู่ และเมื่อเปรตมาในที่นั้นกล่าวว่า จงเป็นอยู่เถิด ผู้เจริญ ชีวิตเท่านั้นประเสริฐกว่า จึงทรงสอบถามเปรตนั้นด้วยคาถา ๕ คาถา โดยนัยมีอาทิว่า การนอน การนั่ง ไม่มีแก่ผู้นี้ ดังนี้. ก็ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพื่อจะแสดงความสัมพันธ์แห่งคาถาเหล่านั้น พระสังคีติกาจารย์จึงได้ตั้งคาถาว่า เวสาลิ นาม นครตฺถิ วชฺชีนํ ความว่า :-
มีนครชาววัชชีนครหนึ่ง นานว่าเวสาลี ในนครเวสาลีนั้น มีกษัตริย์ลิจฉวีพระนามว่า อัมพสักขระ ได้ทอดพระเนตรเห็นเปรตตนหนึ่งที่ภายนอกพระนคร มีพระประสงค์จะทรงทราบเหตุ จึงตรัสถามเปรตนั้นในที่นั้นนั่นเองว่า การนอน การนั่ง การเดินไปเดินมา การลิ้ม การดื่ม การเคี้ยว การนุ่งห่ม แม้หญิงบำเรอของคนผู้ถูก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 470
เสียบไว้บนหลาวนี้ ย่อมไม่มีชนเหล่าใดผู้เป็นญาติ เป็นมิตรสหาย เคยเห็นเคยฟังร่วมกันมา เคยมีความเอ็นดูกรุณาของบุคคลใดมีอยู่ในกาลก่อน เดี๋ยวนี้คนเหล่านั้น แม้จะเยี่ยมเยียนบุคคลนั้นก็ไม่ได้ บุรุษนี้มีตนอันญาติเป็นต้นสละแล้ว มิตรสหายย่อมไม่มีแก่คนผู้ตกยาก พวกมิตรสหายทราบว่า ผู้ใดขาดแคลน ย่อมละทิ้งผู้นั้น และเห็นใครมั่งคั่งบริบูรณ์ก็พากันไปห้อมล้อม คนที่มั่งคั่งด้วยสมบัติ ย่อมมีมิตรสหายมาก ส่วนบุคคลผู้เสื่อมจากทรัพย์สมบัติ เป็นผู้ฝืดเคืองด้วยโภคะ ย่อมหามิตรสหายยาก นี้เป็นธรรมดาของโลก บุรุษผู้ถูกหลาวเสียบนี้ มีร่างกายเปื้อนเลือด ตัวทะลุเป็นช่องๆ ชีวิตของบุรุษนี้จักดับไปในวันนี้ พรุ่งนี้ เหมือนหยาดน้ำค้างอันติดอยู่บนปลายหญ้าคา ฉะนั้น เมื่อเป็นอย่างนี้ เพราะ เหตุไรท่านจึงพูดกะบุรุษผู้ถึงความลำบากอย่างยิ่ง นอนหงายบนหลาวไม้สะเดาเช่นนี้ว่า ดูก่อน บุรุษผู้เจริญ ขอท่านจงมีชีวิตอยู่เถิด การมีชีวิตอยู่เท่านั้นเป็นของประเสริฐ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ในเมืองเวสาลีนั้น. บทว่า นครสฺส พาหิรํ ได้แก่ มีอยู่ในภายนอกพระนคร คือ เกิด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 471
เป็นไปเกี่ยวพันกันในภายนอกแห่งนครเวสาลีนั่นเอง. บทว่า ตตฺเถว คือ ในที่ที่ตนเห็นเปรตนั้นนั่นแล บทว่า ตํ โยค ตํ เปตํ แปลว่า ซึ่งเปรตนั้น. บทว่า การณตฺถิโก ได้แก่ เป็นผู้มีความต้องการด้วยเหตุเพื่อผลดังกล่าวว่า จงมีชีวิตอยู่เถิด ท่านผู้เจริญ การมีชีวิตอยู่นั่นแหละประเสริฐ.
บทว่า เสยฺยา นิสชฺชา นยิมสฺส อตฺถิ ความว่า การนอนมีการเหยียดหลังเป็นลักษณะ และการนั่งมีการนั่งคู้บัลลังก์เป็นลักษณะ ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ถูกหลาวเสียบนี้ได้. บทว่า อภิกฺกโม นตฺถิ ปฏิกฺกโม จ ความว่า การไปมีการก้าวไปข้างหน้า แม้เพียงเล็กน้อย ก็ไม่มีแก่บุคคลนี้. บทว่า ปริจาริกา สาปิ ความว่า แม้หญิงผู้บำรุงบำเรออินทรีย์ซึ่งมีลักษณะเช่น การกิน การดื่ม การเคี้ยว การนุ่งผ้า และการใช้สอย เป็นต้น แม้นั้น ก็ไม่มีแก่บุคคลนี้. อีกอย่างหนึ่ง บาลีว่า ปริหรณา สาปิ ดังนี้ก็มี, อธิบายว่า แม้หญิงผู้บริหารอินทรีย์ด้วยสามารถแห่งการบริโภคมีของกิน เป็นต้น ก็ไม่มีแก่ผู้นี้ เพราะเป็นผู้ปราศจากชีวิต, อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ปริจารณา สาปิ ดังนี้ก็มี.
บทว่า ทิฏฺสุตา สุหชฺชา อนุกมฺปกา ยสฺส อเหสุํ ปุพฺเพ ความว่า ผู้ที่มีคนเป็นสหายเคยเห็นกันมา และไม่เคยเห็นกันมา เป็นมิตร มีความเอ็นดู ได้มีในกาลก่อน. บทว่า ทฏฺฐุมฺปิ ความว่า บุคคลเหล่านั้น แม้จะเยี่ยมก็ไม่ได้ คือ การอยู่ร่วมกัน จักมีแต่ที่ไหน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 472
บทว่า วิราชิตตฺโต ได้แก่ ผู้มีสภาวะอันญาติเป็นต้นสละแล้ว. บทว่า ชเนน เตน ได้แก่ อันชนมีชนผู้เป็นญาติเป็นต้นนั้น.
บทว่า น โอคฺคตตฺตสฺส ภวนฺติ มิตฺตา ความว่า ขึ้นชื่อว่า มิตร ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ปราศจากวิญญาณไปแล้ว คือผู้ตายไปแล้ว เพราะผู้นั้นผ่านพ้นจากกิจที่มิตรจะพึงกระทำต่อมิตร. บทว่า ชหนฺติ มิตฺตา วิกลํ วิทิตฺวา ความว่า ผู้ที่ตายแล้ว จงยกไว้ก่อน. พวกมิตร พอทราบบุรุษแม้ยังมีชีวิตอยู่ แต่ขาดแคลนโภคสมบัติ ก็ละทิ้งเขาเสีย ด้วยคิดว่า สิ่งอะไรๆ ที่ควรถือเอาได้จากบุรุษนี้ ย่อมไม่มีเลย. บทว่า อตฺถญฺจ ทิสฺวา ปริวารยนฺติ ความว่า เห็นทรัพย์ที่เป็นประโยชน์ซึ่งเป็นของของผู้นั้นแล้ว กล่าววาจาน่ารัก เห็นแก่หน้า พากันแวดล้อมผู้มั่งคั่งด้วยโภคสมบัตินั้น. บทว่า พหุ มิตฺตา อุคฺคตตฺตสฺส โหนฺติ ความว่า บุคคลผู้มีความสำเร็จ มีสภาพมั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติ ย่อมมีมิตรมากมายนี้ เป็นสภาพทางโลก.
บทว่า นิหีนตฺโต สพฺพโภเคหิ ได้แก่ บุคคลผู้มีตนเสื่อมจากวัตถุอันเป็นเครื่องอุปโภคและบริโภคทั้งหมด. บทว่า กิจฺโฉ ได้แก่ เป็นผู้ตกทุกข์. บทว่า สมฺมกฺขิโต ได้แก่ ผู้มีร่างกายเปื้อนด้วยเลือด. บทว่า สมฺปริภินฺนคตฺโต ได้แก่ ผู้มีตัวถูกหลาวเสียบในภายใน. บทว่า อุสฺสาวพินฺทูว ปลิมฺปมาโน ได้แก่ เสมือนหยาดน้ำค้างที่ติดอยู่บนปลายหญ้า. บทว่า อชฺช สุเว ความว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 473
ชีวิตของบุรุษนี้จักดับสูญในวันนี้ หรือในวันพรุ่งนี้ ต่อแต่นั้นไปก็เป็นไปไม่ได้.
บทว่า อุตฺตาสิตํํ ได้แก่ ถูกหลาวร้อย คือ เสียบไว้. บทว่า ปุจิมนฺทสฺส สูเล ได้แก่ บนหลาวที่เขาทำด้วยท่อนไม้สะเดา. บทว่า เกน วณฺเณน แปลว่า ด้วยเหตุไร. บทว่า ชีว โภ ชีวิตเมว เสยฺโย ความว่า บุรุษผู้เจริญ ท่านจงมีชีวิตอยู่เถิด. ถามว่า เพราะ เหตุไร? ตอบว่า เพราะท่านถูกหลาวเสียบ ยังมีชีวิตอยู่ในที่นี้ ก็ยังประเสริฐกว่า คือดีกว่าชีวิตของบุคคลผู้จุติจากโลกนี้ตั้งร้อยเท่า พันเท่า.
เปรตนั้นถูกพระราชานั้นตรัสถามแล้วอย่างนี้ เมื่อจะประกาศความประสงค์ของตน จึงกล่าวคาถา ๔ คาถาว่า :-
ข้าแต่พระราชา บุรุษนี้เป็นสาโลหิตของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ระลึกถึงชาติก่อน ข้าพระองค์เห็นแล้วมีความกรุณาแก่เขาว่า ขออย่าให้บุรุษผู้เลวทรามนี้ไปตกนรกเลย ข้าแต่กษัตริย์ลิจฉวี บุรุษผู้ทำกรรมชั่วนี้ จุติจากอัตภาพนี้แล้ว จักเข้าถึงนรกอันยัดเยียดไปด้วยสัตว์ผู้ทำบาป เป็นสถานที่ร้ายกาจ มีความเร่าร้อนมาก เผ็ดร้อน ให้เกิดความน่ากลัว หลาวนี้ประเสริฐกว่านรกนั้นตั้งหลายพันเท่า ขออย่าให้บุรุษนี้ไปตกนรก อันมีแต่ความทุกข์โดยส่วนเดียว เผ็ดร้อน ให้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 474
เกิดความน่ากลัว มีความทุกข์กล้าแข็งอย่างเดียว บุรุษนี้ฟังคำของข้าพระองค์อย่างนี้แล้ว ประหนึ่งว่า ข้าพระองค์น้อมเข้าไปสู่ทุกข์ในนรกนั้น จะพึงสละชีวิตของตนเสีย เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงไม่พูดในที่ใกล้เขา ด้วยหวังว่า ชีวิตของบุรุษนี้อย่าได้ดับไปเสีย เพราะคำของข้าพระองค์เลย เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงพูดว่า ขอท่านจงมีชีวิตอยู่เถิด การมีชีวิตอยู่เป็นของประเสริฐ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สาโลหิโต ได้แก่ มีโลหิตเสมอกัน คือ เชื่อมกันโดยกำเนิด, อธิบายว่า เป็นญาติกัน. บทว่า ปุริมาย ชาติยา คือในอัตภาพก่อน. บทว่า มา ปาปธมฺโม นิรยํ ปตายํ มีวาจาประกอบความว่า ข้าพระองค์ได้เห็นผู้นี้แล้ว ได้มีความกรุณาว่า ขออย่าให้บุรุษผู้มีกรรมอันเลวทรามนี้ตกนรกเลย คือ อย่าได้เข้าถึงนรกเลย.
บทว่า สตฺตุสฺสทํ ความว่า หนาแน่นด้วยสัตว์ผู้ทำกรรมชั่ว อีกอย่างหนึ่ง หนาแน่นด้วยเหตุอันหยาบช้า มีการจองจำ ๕ อย่าง เป็นต้น ๗ อย่างเหล่านี้คือ การจองจำ ๕ อย่าง คือ เทโลหะร้อนๆ เข้าไปในปาก ให้ขึ้นภูเขาอันเต็มด้วยถ่านเพลิง ใส่เข้าในหม้อเหล็ก ให้เข้าไปยังป่าอันพร้อมด้วยดาบ ให้ลงไปในชลาลัยในนรก โยนทิ้ง ลงไปในมหานรก. อธิบายว่า ก่อสั่งสมจนมากๆ ขึ้นไป. บทว่า มหาภิตาปํ ได้แก่ ทุกข์ใหญ่ หรือความเร่าร้อนอันเกิดแต่กองไฟ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 475
ใหญ่. บทว่า กฏุกํ แปลว่า ไม่น่าปรารถนา. บทว่า ภยานกํ แปลว่า ให้เกิดความกลัว.
บทว่า อเนกภาเตน คุเณน ได้แก่ ด้วยอานิสงส์หลายส่วน. บทว่า อยเมว สูโล นิรเยน เตน ความว่า หลาวนี้แหละประเสริฐกว่านรกอันเป็นที่เกิดของบุรุษนี้นั้น. จริงอยู่ บทว่า นิรเยน นี้ เป็นตติยาวิภัติ ใช้ในอรรถแห่งปัญจมีวิภัติ. บทว่า เอกนฺตติพฺพํ ความว่า มีความทุกข์อันแรงกล้าโดยส่วนเดียวแท้ คือ เป็นทุกข์ใหญ่อย่างแน่นอน.
บทว่า อินญฺจ สุตฺวา วจนํ มเมโส ความว่า บุรุษนี้ฟังถ้อยคำของเรานี้ ที่กล่าวโดยนัยมีอาทิว่า อิโต จุโต เคลื่อนจากอัตภาพนี้แล้ว เป็นต้น เป็นผู้เข้าถึงทุกข์ เป็นเหมือนเข้าถึงทุกข์ในนรก ตามคำของเรา บทว่า วิชเหยฺย ปาณํ ความว่า พึงสละชีวิตของตน. บทว่า ตสฺมา แปลว่า เพราะเหตุนั้น. บทว่า มา เม กโต อธิบายว่า เราไม่ได้พูดคำนี้ในที่ใกล้แห่งบุรุษนี้ว่า ขอชีวิตของบุรุษนี้ จงอย่าดับพร้อมกับเราเลย. โดยที่แท้ เราพูดเพียงเท่านี้ว่า จงมีชีวิตอยู่เถอะท่านผู้เจริญ เพราะชีวิดนั่นแหละ ประเสริฐ.
เมื่อเปรตประกาศความประสงค์ของตนอย่างนี้ พระราชาเมื่อทรงให้โอกาสเพื่อจะถามประวัติของเปรตนั้นอีก จึงตรัสคาถานี้ว่า :-
เรื่องของบุรุษนี้ เรารู้แล้ว แต่เราปรารถนาจะถามท่านถึงเรื่องอื่น ถ้าท่านให้โอกาสแก่เรา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 476
เราจะขอถามท่าน และท่านไม่ควรโกรธเรา
เปรตนั้นกราบทูลว่า :-
ข้าพระองค์ได้ให้ปฏิญญาไว้ในกาลนั้นแน่นอนแล้ว การไม่บอกย่อมมีแก่ผู้ไม่เลื่อมใส บัดนี้ ข้าพระองค์มีวาจาที่ควรเชื่อถือได้ แม้โดยพระองค์จะไม่ทรงเลื่อมใส เพราะเหตุนั้น ขอเชิญพระองค์ตรัสถามข้าพระองค์ตามพระประสงค์เถิด ข้าพระองค์จะกราบทูลตามที่สามารถจะกราบทูลได้.
นี้เป็นพระคาถาตรัสและคาถาโต้ตอบระหว่างพระราชากับเปรต.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อญฺโต แปลว่า อันข้าพเจ้ารู้แล้ว. บทว่า อิจฺฉามเส แปลว่า ข้าพระองค์ย่อมปรารถนา. บทว่า โน แปลว่า แก่พวกเรา. บทว่า น จ กุชฺฌิตพฺพํ ความว่า ไม่ควรทำความโกรธว่า คนเหล่านี้ได้ถามสิ่งใดสิ่งหนึ่ง.
บทว่า อทฺธา แปลว่า โดยส่วนเดียว. บทว่า ปฏิญฺา เม ความว่า เมื่อว่าโดยความรู้ เราได้ปฏิญญา คือให้โอกาสว่า ท่านจงถาม. บทว่า ตทา อหุ คือ ได้มีในกาลนั้น คือในการเห็นครั้งแรก. บทว่า นาจิกฺขณา อปฺปสนฺนสฺส โหติ ความว่า ไม่ได้พูดแก่ผู้ที่ไม่เลื่อมใส. จริงอยู่ ผู้เลื่อมใสเท่านั้นย่อมกล่าวอะไรๆ แก่ผู้ เลื่อมใส แต่ในเวลานั้น ท่านไม่มีความเลื่อมใสในเรา และเราก็ไม่มีความเลื่อมใสในท่าน เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่มีความปรารถนา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 477
ที่จะกล่าวปฏิญญา. แต่บัดนี้ ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาท่าน มีวาจาที่จะให้ท่านพอเชื่อถือได้ เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์จึงเป็นผู้ชื่อว่า มีวาจาพอเชื่อถือได้. บทว่า ปุจฺฉสฺสุ มํ กามํ ยถา วิสยฺหํ ความว่า ขอพระองค์จงซักถามเรื่องตามที่พระองค์ทรงปรารถนากะข้าพระองค์เถิด. แต่ข้าพระองค์จักกราบทูลตามสมควรแก่กำลังความรู้ของตน โดยประการที่ข้าพระองค์สามารถจะกราบทูลได้.
เมื่อเปรตให้โอกาสแก่การถามอย่างนี้ พระราชาจึงตรัสคาถาว่า :-
เราเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยจักษุ เราควรเชื่อสิ่งนั้นแม้ทั้งสิ้น ถ้าเราเห็นสิ่งนั้นแล้วไม่เชื่อ ขอให้ลงโทษถอดยศเราเถิด.
คำแห่งคาถานั้น มีอธิบายดังต่อไปนี้ :-
เราเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยจักษุ เราควรเชื่อสิ่งนั้นแม้ทั้งหมด โดยประการนั้นนั่นแล ก็แลถ้าเราเห็นสิ่งนั้นแล้วไม่เชื่อ ดูก่อนเทพยดา ขอท่านจงลงนิยสกรรมและนิคคหกรรมแก่เราเถิด. อีกอย่างหนึ่งบทว่า ยํ กิญฺจหํ จกฺขุนา ปสฺสิสฺสามิ ความว่า เราจักเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยจักษุ เพราะไม่เป็นอารมณ์แห่งจักษุจึงไม่เห็น. บทว่า สนฺพมฺปิ ตาหํ อภิสทฺทเหยฺยํ ความว่า เราควรเชื่อสิ่งที่ท่านได้เห็น ได้ยิน หรือสิ่งอื่น. อธิบายว่า จริงอยู่ เรามีความเชื่อเช่นนั้นในท่าน. ส่วนเนื้อความแห่งบทหลัง ก็มีอรรถตามที่กล่าวแล้วนั่นแล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 478
เปรตได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวคาถาว่า :-
ขอสัจจปฏิญญาของพระองค์นี้ จงมีแก่ข้าพระองค์ พระองค์ได้ฟังธรรมที่ข้าพระองค์กล่าวแล้ว จงทรงได้ความเลื่อมใส ข้าพระองค์มีความต้องการอย่างอื่น ไม่มีจิตคิดประทุษร้ายข้าพระองค์ จักกราบทูลธรรมทั้งหมดที่ข้าพระองค์ได้สดับแล้วบ้าง หรือไม่ได้สดับแล้วบ้าง แก่พระองค์ตามที่ข้าพระองค์รู้.
เบื้องหน้าแต่นั้น พระราชาและเปรตทั้งสองนั้น จึงมีคาถาเป็นเครื่องตรัสโต้ตอบกันดังนี้ว่า :-
พระเจ้าอัมพสักขระตรัสว่า :-
ท่านขี่ม้าอันประดับประดาแล้วเข้าไปยังสำนักของบุรุษที่ถูกเสียบหลาว ม้าขาวตัวนี้เป็นม้าน่าอัศจรรย์ น่าดู น่าชม นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร
เปรตกราบทูลว่า :-
ที่กลางเมืองเวสาลีนั้น มีหลุมที่หนทางลื่น ข้าพระองค์มีจิตเลื่อมใส เอาศีรษะโคศีรษะหนึ่งวางทอดที่หลุมให้เป็นสะพาน ข้าพระองค์และบุคคลอื่นเหยียบบนศีรษะโคนั้น เดินไป
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 479
ได้สะดวก ม้านี้เป็นม้าน่าอัศจรรย์ น่าดู น่าชม นี้เป็นผลแห่งกรรมนั่นเอง
พระเจ้าสักขระตรัสถามว่า :-
ท่านมีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ และมีกลิ่นหอมฟุ้งไป ท่านได้สำเร็จฤทธิ์แห่งเทวดา เป็นผู้มีอานุภาพมาก แต่เป็นคนเปลือยกาย นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร.
เปรตนั้นกราบทูลว่า :-
เมื่อก่อนข้าพระองค์เป็นคนไม่มักโกรธ ทั้งมีจิตเลื่อมใสอยู่เป็นนิตย์ พูดกับคนทั้งหลายด้วยวาจาอ่อนหวาน ข้าพระองค์มีรัศมีเป็นทิพย์สว่างไสวอยู่เนืองนิตย์ นี้เป็นผลแห่งกรรมนั้น ข้าพระองค์เห็นยศและชื่อเสียงของบุคคลผู้ตั้งอยู่ในธรรม มีจิตเลื่อมใสกล่าวสรรเสริญ ข้าพระองค์มีกลิ่นทิพย์หอมฟุ้งไปเนืองนิตย์ นี้เป็นผลแห่งกรรมนั้น เมื่อพวกสหายของข้าพระองค์อาบน้ำที่ท่าน้ำ ข้าพระองค์ลักเอาผ้าซ่อนไว้บน ก ไม่มีความประสงค์จะลักขโมย และไม่มีจิตคิดประทุษร้าย เพราะกรรมนั้น ข้าพระองค์จึงเป็นคนเปลือยกาย เป็นอยู่อย่างฝืดเคือง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 480
พระเจ้าอัมพสักขระตรัสถามว่า :-
ผู้ใดทำบาปเล่นๆ นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า ผู้นั้นได้รับผลกรรมเช่นนี้ ส่วนผู้ใดตั้งใจทำบาปจริงๆ นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวผลกรรมของผู้นั้นว่าเป็นอย่างไร?
เปรตกราบทูลว่า :-
มนุษย์เหล่าใดมีความดำริชั่วร้าย เป็นผู้เศร้าหมองด้วยกายและวาจา เพราะกายแตกตายไป มนุษย์เหล่านั้นย่อมเข้าถึงนรกในสัมปรายภพโดยไม่ต้องสงสัย ส่วนชนเหล่าอื่นปรารถนาสุคติ ยินดียิ่งในทาน มีอัตภาพอันสงเคราะห์แล้ว เพราะกายแตกตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติในสัมปรายภพโดยไม่ต้องสงสัย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สจฺจปฺปฏิญฺา ตว เมสา โหตุ ความว่า ขอความปฏิญญาของท่านนี้ จงเป็นความสัจจสำหรับข้าพระองค์ว่า ข้าพเจ้าพึงเชื่อสิ่งนั้นทั้งหมด. บทว่า สุตฺวาน ธญฺมํ ลภ สุปฺปสาทํ ความว่า ท่านฟังคำที่ข้าพเจ้ากล่าวแล้ว จงได้ความเลื่อมใสเป็นอันดี. บทว่า อญฺตฺถิโก ได้แก่ ข้าพระองค์ไม่มีความประสงค์จะรู้. บทว่า ยถา ปชานํ ได้แก่ ตามที่คนอื่นรู้อยู่ อธิบายว่า ตามที่พระองค์รู้แล้วหรือว่าตามที่ข้าพระองค์รู้แล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 481
บทว่า กิสฺเสตํ กมฺมสฺส อยํ วิปาโก ความว่า นั่นเป็นผลแห่งกรรมอะไร คือ นี้เป็นวิบากแห่งกรรมอะไร. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า เอตํ เป็นเพียงนิบาต ก็อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า เป็นผลของกรรมอะไรของท่าน.
บทว่า จิกฺขลฺลมคฺเค แปลว่า ในทางมีโคลน. บทว่า นรกํ ได้แก่ บ่อ. บทว่า เอกาหํ ตัดเป็น เอกํ อหํ. บทว่า นรกสฺมึ นิกฺขิปึ ความว่า เราทอดศีรษะโค ๑ ศีรษะ ในบ่อที่มีโคลนโดยประการที่ผู้เดินจะไม่เหยียบเปือกตม. บทว่า ตสฺส ได้แก่ เอาศีรษะโค ทำเป็นสะพานนั้น.
บทว่า ธมฺเม ิตานํ ได้แก่ ผู้ประพฤติเป็นธรรม ประพฤติสม่ำเสมอ. บทว่า มนฺเตมิ ได้แก่ กล่าว คือ ระบุถึง. บทว่า ขิฑฺฑตฺถิโก ได้แก่ ประสงค์จะหัวเราะเล่น. บทว่า โน จ ปทุฏฺจิตฺโต ได้แก่ ไม่มีจิตคิดประทุษร้ายเจ้าของผ้า อธิบายว่า ไม่มีความ ประสงค์จะลัก ทั้งไม่ประสงค์จะทำให้เสียหาย.
บทว่า อกีฬมาโน ได้แก่ ไม่ประสงค์ คือ มีจิตคิดประทุษร้าย เพราะความโลภเป็นต้น. บทว่า กึ ตสฺส กมฺมสฺส วิปากมาหุ ความว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าววิบากทุกข์อันเผ็ดร้อนของกรรมชั่วนั้น คือที่ทำไว้อย่างนั้นไว้เพียงไร.
บทว่า ทุฏฺสงฺกปฺปมนา ได้แก่ ผู้มีวิตกทางใจอันประทุษร้ายด้วยอำนาจความดำริในกามเป็นต้น, ด้วยคำว่า ทุฏฺสงฺกปฺปมนา นั้น ท่านกล่าวถึงมโนทุจริต. บทว่า กาเยน วาจาย จ สงฺกิลิฏฺา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 482
ได้แก่ มีความเศร้าหมองด้วยกายและวาจา ด้วยอำนาจปาณาติบาต เป็นต้น. บทว่า อาสมานา ได้แก่ หวัง คือ ปรารถนา.
เมื่อเปรตแสดงจำแนกกรรมและผลแห่งกรรมโดยสังเขปอย่างนี้แล้ว พระราชาไม่ทรงเชื่อข้อนั้น จึงตรัสคาถาว่า :-
เราจะพึงรู้เรื่องนั้นได้อย่างไรว่า นี้เป็นผลแห่งกรรมดีและกรรมชั่ว หรือเราจะพึงเห็นอย่างไร จึงจะเชื่อถือได้ หรือแม้ใครจะพึงทำให้เราเชื่อถือเรื่องนั้นได้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตํ กินฺติ ชาเนยฺยมหํ อเวจฺจ ความว่า เราจะพึงเชื่อโดยไม่มีผู้อื่นเป็นปัจจัย ถึงวิบากของกรรมดีและกรรมชั่วที่เธอกล่าวจำแนกไว้โดยนัยมีอาทิว่า คนผู้มีความดำริชั่วย่อมเศร้าหมองด้วยกายและวาจา และโดยนัยมีอาทิว่า ก็คนเหล่าอื่นย่อมปรารถนาสุคติ ดังนี้นั้นได้อย่างไร คือโดยเหตุไร. บทว่า กึ วาหํ ทิสฺวา อภิสทฺทเหยฺยํ ความว่า เราเห็นอย่างไรอันเป็นตัวอย่างที่ประจักษ์จะพึงเชื่อได้. บทว่า โก วาปิ มํ สทฺทหาเปยฺย มํ ความว่า หรือใครเป็นวิญญูชน คือ เป็นบัณฑิต จะพึงให้เราเชื่อข้อนั้น ท่านจงแนะนำบุคคลนั้น.
เปรตได้ฟังดังนั้น เมื่อจะประกาศเรื่องนั้นแก่พระราชานั้นโดยเหตุ จึงได้กล่าวคาถาว่า :-
พระองค์ได้ทรงเห็นแล้วและได้สดับแล้ว ก็จงเชื่อเถิดว่า นี้เป็นผลแห่งกรรมดีและกรรมชั่ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 483
เมื่อมีกรรมดีและกรรมชั่วทั้งสอง ก็พึงมีสัตว์ไปสู่สุคติและทุคติ ถ้าสัตว์ทั้งหลายในมนุษยโลกนี้ ไม่พึงทำกรรมดีและกรรมชั่ว สัตว์ผู้ไปสู่สุคติ ทุคติ อันเลวและประณีต ก็ไม่มีในมนุษยโลกนี้ แต่เพราะสัตว์ทั้งหลายในมนุษยโลก ทำกรรมดีและกรรมชั่วไว้ ฉะนั้น จึงไปสู่สุคติ ทุคติ เลวบ้าง ประณีตบ้าง นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าววิบากแห่งกรรมทั้งสองนั้นว่า เป็นที่ตั้งแห่งการเสวยสุขและทุกข์ เทวดาย่อมพากันห้อมล้อมพวกชนผู้ได้เสวยผลอันเป็นสุข คนพาลผู้ไม่เห็นบาปและบุญทั้งสอง ย่อมเดือดร้อน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิสฺวา จ แปลว่า ทั้งได้ทรงเห็นโดยประจักษ์. บทว่า สุตฺวา ได้แก่ ทรงสดับธรรมแล้วทรงรู้ คือ ทรงรู้ตามซึ่งนัยตามแนวแห่งธรรมนั้น. บทว่า กลฺยาณปาปสฺส ความว่า จงทรงเชื่อเถิดว่า สุขนี้เป็นวิบากแห่งกุศลกรรม และ ทุกข์นี้เป็นวิบากแห่งอกุศลกรรม. บทว่า อุภเย อสนฺเต ความว่า เมื่อกรรมทั้งสอง คือ กรรมดีและกรรมชั่วมีอยู่. บทว่า สิยา นุ สตฺตา สุคตา ทุคฺคตา วา ความว่า เนื้อความดังนี้ว่า สัตว์เหล่านี้ไปสุคติหรือทุคติ หรือว่าเป็นผู้มั่งคั่งในสุคติหรือเป็นผู้เข็ญใจในทุคติ ดังนี้ จะพึงมีอยู่หรือ คือจะพึงเกิดได้อย่างไร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 484
บัดนี้ เปรตจะประกาศเนื้อความตามที่กล่าวแล้วโดยผิดแผกกัน และโดยคล้อยตามกัน ด้วยคาถา ๒ คาถาว่า โน เจตฺถ กมฺมานิ และ ยสฺมา จ กมฺมานิ ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า หีนา ปณีตา ได้แก่ ผู้เลวและหยิ่งโดยตระกูล รูปร่าง ความไม่มีโรค และบริวารเป็นต้น.
บทว่า ทฺวยชฺช กมฺมานํ วิปากมาหุ ความว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมกล่าวคือแสดงวิบากแห่งสุจริตและทุจริตแห่งกรรมทั้งสองอย่าง ในวันนี้ คือ ในบัดนี้. เพื่อจะหลีกเสี่ยงคำถามว่า ข้อนั้นคืออะไร? จึงกล่าวว่า การเสวยสุขและทุกข์ อธิบายว่า ควรจะเสวยอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์. บทว่า ตา เทวตาโย ปริจารยนฺติ ความว่า เหล่าชนผู้ได้รับวิบากอันอำนวยสุขโดยส่วนเดียว ย่อมเป็นเทพยดาในเทวโลก เปี่ยมด้วยทิพยสุขบำเรออินทรีย์ทั้งหลาย. บทว่า ปจฺเจนฺติ พาลา ทฺวยตํ อปสฺสิโน ความว่า ชนเหล่าใดเป็นคนพาลไม่เห็น คือไม่เชื่อกรรมและผลแห่งกรรมทั้งสอง ชนเหล่านั้นเป็นผู้ขวนขวายในบาป เมื่อเสวยวิบากอันอำนวยความทุกข์ให้ ย่อมไหม้ คือ ย่อมได้รับทุกข์ เพราะกรรมในนรกเป็นต้น.
เปรตหมายเอาการย้อนถามว่า ก็ท่านเชื่อกรรมและผลแห่งกรรมอย่างนี้ เพราะเหตุไรจึงเสวยทุกข์เห็นปานนี้ จึงกล่าวคาถาว่า :-
กรรมที่ข้าพระองค์ทำไว้ในชาติก่อน ซึ่งเป็นเหตุให้ได้เครื่องนุ่งห่มเป็นต้น ในบัดนี้ มิได้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 485
มีแก่ข้าพระองค์ และบุคคลผู้จะให้ผ้านุ่ง ผ้าห่ม ที่นอน ที่นั่ง ข้าว และน้ำแก่สมณพราหมณ์ทั้งหลาย แล้วอุทิศส่วนบุญมาให้แก่ข้าพระองค์มิได้มี เพราะเหตุนั้น ข้าพระองค์จึงเป็นผู้เปลือยกาย มีความเป็นผู้ฝืดเคือง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น มตฺถิ กมฺมานิ สยํกตานิ ความว่า เพราะเหตุที่บุญกรรมอันตนเองกระทำไว้ในกาลก่อน อันเป็นเหตุให้ได้รับเครื่องนุ่งห่มเป็นต้นในบัดนี้ ไม่ได้มีปรากฏแก่ข้าพระองค์. บทว่า ทตฺวาปิ เม นตฺถิ โย อาทิเสยฺย ความว่า ผู้ใดพึงให้ทานแก่สมณพราหมณ์แล้วพึงอุทิศส่วนบุญแก่ข้าพระองค์ว่า ขอบุญนี้จง ถึงแก่เปรตโน้น ผู้นั้นย่อมไม่มี. บทว่า เตนมฺหิ นคฺโค กสิรา จ วุตฺติ ความว่า เพราะเหตุทั้งสองนั้น ข้าพระองค์จึงเป็นผู้เปลือยกาย ไม่มีผ้าในบัดนี้ ทั้งมีความเป็นอยู่อย่างฝืดเคือง.
พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว เมื่อหวังจะให้เปรตนั้นได้เครื่องนุ่งห่มเป็นต้น จึงกล่าวคาถาว่า :-
ดูก่อนยักษ์ เหตุอะไรๆ ที่จะให้ท่านได้เครื่องนุ่งห่มพึงมีอยู่หรือ ถ้าเหตุที่ควรเชื่อ พอจะฟังเป็นเหตุได้มีอยู่ ขอท่านจงบอกเหตุนั้นแก่เรา.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เยน ความว่า เหตุอะไรๆ อันเป็นเหตุให้ท่านได้เครื่องนุ่งห่มพึงมีอยู่หรือหนอแล. บทว่า ยทตฺถิ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 486
ตัดเป็น ยทิ อตฺถิ แปลว่า ถ้ามีอยู่.
ลำดับนั้น เปรตเมื่อจะทูลบอกเหตุนั้นแก่พระราชา จึงได้กล่าวคาถาว่า :-
ในนครเวสาลีนี้ยังมีภิกษุรูปหนึ่ง นามว่า กัปปิตกะ เป็นผู้ได้ฌาน มีศีลบริสุทธิ์ เป็นพระอรหันต์ผู้หลุดพ้น มีอินทรีย์อันคุ้มครองแล้ว สำรวมในพระปาติโมกข์ เยือกเย็น บรรลุผลอันสูงสุด มีวาจาน่าคบเป็นสหาย รู้ความประสงค์ของผู้ขอ ว่าง่าย มีหน้าเบิกบาน เป็นผู้มาดีไปดี พูดจาโต้ตอบดี เป็นเนื้อนาบุญของโลก มีปกติอยู่ด้วยเมตตา เป็นทักขิไณยบุคคลของเทวดาและมนุษย์ สงบระงับ กำจัดมิจฉาวิตก ไม่มีทุกข์ ไม่มีตัณหา หลุดพ้นแล้ว ปราศจากลูกศร ไม่ถือเราถือเขา ไม่คดกาย วาจา ใจ ไม่มีอุปธิ สิ้นกิเลสเครื่องเนิ่นช้าทั้งปวง ได้บรรลุวิชชา ๓ มีความรุ่งเรือง ไม่มีชื่อเสียงปรากฏ เพราะเป็นผู้มีคุณวิเศษอันปกปิดไว้ แม้ใครๆ เห็นก็ไม่รู้ว่าเป็นคนดี ในหมู่ชนชาววัชชี เขาพากันเรียกท่านว่า มุนี รู้กันว่าท่านเป็นผู้ประเสริฐ หนักแน่นไม่หวั่นไหว มีธรรมอันดีงาม เที่ยวไปในโลก ถ้าพระองค์ทรงถวายผ้าคู่หนึ่งหรือสองคู่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 487
แก่ภิกษุนั้น แล้วทรงอุทิศส่วนกุศลให้ข้าพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงถวายแล้ว และท่านรับผ้านั้นแล้ว พระองค์ก็จะทรงเห็นข้าพระองค์ผู้นุ่งห่มเรียบร้อย.
บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า กปฺปิตโก นาม เปรตกล่าวหมายเอาพระอุปัชฌายะของท่านพระอุบาลีเถระภายในชฏิล ๑,๐๐๐ องค์. บทว่า อิธ ได้แก่ ในที่ใกล้นครเวสาลีนี้. บทว่า ฌายี ได้แก่ ผู้ได้ฌาน ด้วยฌานอันสัมปยุตต์ด้วยอรหัตตผล. บทว่า สีติภูโต ได้แก่ ผู้ถึงความเยือกเย็นด้วยการเข้าไปสงบความกระวนกระวายและความเร่าร้อนแห่งกิเลสทั้งปวง. บทว่า อุตฺตมทิฏฺิปตฺโต ได้แก่ ผู้บรรลุสัมมาทิฏฐิอันเป็นผลสูงสุด คือ อรหัตตผล.
บทว่า สขิโล แปลว่า ผู้มีวาจาอ่อนหวาน. บทว่า สุวโจ แปลว่า ผู้ว่าง่าย. บทว่า สฺวาคโม แปลว่า ผู้มาดีไป. บทว่า สุปฺปฏิมุตฺตโก แปลว่า ผู้มีวาจาหลุดพ้นด้วยดี อธิบายว่า ผู้มีปกติกล่าวหลุดพ้น. บทว่า อรณวิหารี แปลว่า ผู้มีปกติอยู่ด้วยเมตตาวิหารธรรม.
บทว่า สนฺโต แปลว่า ผู้สงบกิเลส บทว่า วิธูโม ได้แก่ ปราศจากควัน คือ มิจฉาวิตก. บทว่า อนีโฆ แปลว่า ผู้ไม่มีทุกข์. บทว่า นิราโส แปลว่า ผู้ไม่มีตัณหา. บทว่า มุตฺโต แปลว่า ผู้หลุดพ้นจากภพทั้งปวง. บทว่า วิสลฺโล แปลว่า ผู้ปราศจากลูกศรมีราคะเป็นต้น. บทว่า อมโม แปลว่า ผู้ปราศจากการถือ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 488
ว่าเราว่าเขา. บทว่า อวงฺโก ได้แก่ ผู้ปราศจากการคด มีคดกาย เป็นต้น. บทว่า นิรูปธี แปลว่า ผู้ละอุปธิมีกิเลสเครื่องปรุงแต่ง เป็นต้น. บทว่า สพฺพปปญฺจขีโณ แปลว่า ผู้สิ้นธรรมเครื่องเนิ่นช้า มีตัณหาเป็นต้น. บทว่า ชุติมา ได้แก่รุ่งเรืองด้วยญาณอัน ยอดเยี่ยม. บทว่า อปฺปญฺาโต ได้แก่ ชื่อว่าผู้ไม่ปรากฏเพราะเป็นผู้มักน้อยอย่างยิ่ง และเพราะเป็นผู้ปกปิดคุณ.
บทว่า ทิสฺวาปิ น จ สุชาโน ความว่า แม้เห็นโดยความลึกซึ้ง ก็ไม่เข้าใจได้ดีว่า มีศีลอย่างนี้ มีธรรมอย่างนี้ มีปัญญาอย่างนี้. บทว่า ชานนฺติ ตํ ยกฺขภูตา อเนชํ ความว่า ก็ท่านผู้ประเสริฐ ย่อมรู้จักท่านผู้หนักแน่น คือผู้ปราศจากตัณหาว่า เป็นพระอรหันต์. บทว่า กลฺยาณธมฺมํ ได้แก่ ผู้มีคุณมีศีลดีงาม เป็นต้น.
บทว่า ตสฺส โยคว่า แก่ท่านพระกัปปิตกมหาเถระนั้น. บทว่า เอกยุคํ ได้แก่ คู่ผ้าคู่หนึ่ง. บทว่า ทุเว วา ได้แก่ หรือว่า คู่ผ้าสองคู่. บทว่า มมุทฺทิสิตฺวาน ได้แก่ อุทิศข้าพระองค์. บทว่า ปฏิคฺคหีตานิ จ ตานิ อสฺสุ ความว่า และคู่ผ้าเหล่านั้นพึงเป็นของ อันพระเถระนั้นรับแล้ว. บทว่า สนฺนทฺธทุสฺสํ ได้แก่ ผู้ทำการนุ่งห่มผ้า อธิบายว่า ได้ผ้าแล้ว คือนุ่งห่มผ้าแล้ว.
ลำดับนั้น พระราชาจึงตรัสถามถึงที่อยู่ของพระเถระว่า :-
บัดนี้ พระสมณะนั้นอยู่ประเทศไหน เราจักไปพบท่านได้ที่ไหน ใครจักพึงแก้ไขความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 489
สงสัยสนเท่ห์อันเป็นเสี้ยนหนามแห่งความเห็นของเราได้ในวันนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กสฺมึ ปเทเส แปลว่า ในประเทศไหน. บทว่า โย มชฺช ตัดเป็น โย อชฺช, ม อักษรทำการเชื่อมบท.
ลำดับนั้น เปรตจึงกล่าวคาถาว่า :-
ท่านอยู่ที่เมืองกปินัจจนา มีหมู่เทวดาเป็นอันมากห้อมล้อม เป็นผู้มีนามจริงแท้ และเป็นผู้ไม่ประมาท แสดงธรรมีกถาอยู่ในหมู่ของตน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กปินจฺจนายํ ได้แก่ ในประเทศ อันได้โวหารว่า กปินัจจนา เพราะเป็นที่ฟ้อนรำของพวกลิง. บทว่า สจฺจนาโม ได้แก่ ผู้มีนามตามเป็นจริง คือผู้มีนามไม่ผิดแผกด้วยคุณนามมีอาทิว่า ผู้ได้ฌาน มีศีลบริสุทธิ์ เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้หลุดพ้น.
เมื่อเปรตกล่าวอย่างนั้น พระราชามีพระประสงค์จะเสด็จไปยังสำนักของพระเถระในขณะนั้นทีเดียว จึงตรัสคาถาว่า :-
เราจักไปทำตานที่ท่านสั่งนั้นเดี๋ยวนี้ จักให้พระสมณะนั้นครองผ้า ขอท่านจงดูคู่ผ้าเหล่านั้นอันพระสมณะนั้นรับประเคนแล้ว และเราจักคอยดูท่านนุ่งห่มผ้าเป็นอันดี.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กสฺสามิ แปลว่า จักกระทำ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 490
ลำดับนั้น เปรตเมื่อจะแสดงว่า พระเถระย่อมแสดงธรรมแก่เทพยดาทั้งหลาย เพราะฉะนั้น เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะเข้าไปหา จึงกล่าวคาถาว่า :-
ข้าแต่พระเจ้าลิจฉวี ข้าพระองค์ขอประทานพระวโรกาส ขอพระองค์อย่าเสด็จเข้าหาบรรพชิตในเวลาไม่ควร การเสด็จเข้าไปหาบรรพชิตในเวลาไม่ควรนี้ ไม่เป็นธรรมเนียมที่ดีของกษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลาย ก็เมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปหาในเวลาอันสมควร ก็จักทรงเห็นภิกษุนั้นนั่งอยู่ในที่สงัดในที่นั้นเอง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สาธุ เป็นนิบาตใช้ในอรรถว่า ทูลขอร้อง. บทว่า โว ลิจฺฉวิ เนส ธมฺโม ความว่า ข้าแต่พระเจ้าลิจฉวี การเสด็จเข้าไปหาบรรพชิตในเวลาอันไม่สมควรนี้ ไม่เป็นธรรมเนียมของพระองค์ผู้เป็นพระราชา. บทว่า ตตฺเถว คือใน ที่นั้นนั่นเอง.
เมื่อเปรตกล่าวอย่างนี้ พระราชาทรงรับคำแล้ว เสด็จไปพระราชนิเวศน์ของพระองค์ ให้คนถือคู่ผ้า ๘ คู่ ในเวลาอันสมควรอีก แล้วเข้าไปหาพระเถระ ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ทรงกระทำปฏิสันถารแล้วตรัสว่า ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงรับคู่ผ้า ๘ คู่นี้. พระเถระได้ฟังดังนั้น เพื่อจะสั่งสนทนาด้วย จึงทูลว่า ข้าแต่มหาบพิตร เมื่อก่อนพระองค์ไม่ทรงบำเพ็ญทาน มีแต่จะเบียดเบียน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 491
สมณพราหมณ์เท่านั้น มีพระประสงค์จะถวายผ้าอันประณีตอย่างไรได้. พระราชาครั้นทรงสดับดังนั้นแล้ว เมื่อจะตรัสบอกเหตุแก่ท่าน จึงได้ตรัสบอกถึงการที่เปรตมา และเรื่องที่เปรตกับพระองค์กล่าวแก่พระเถระ จึงได้ถวายผ้าแล้วอุทิศเปรต. ด้วยเหตุนั้น เปรตจึงนุ่งห่มผ้าอันเป็นทิพย์ ประดับตกแต่ง ขึ้นม้า ได้ปรากฏข้างหน้าพระเถระและพระราชา. พระราชาครั้นทรงเห็นดังนั้นแล้ว ทรงพอพระทัย เบิกบานพระหฤทัย เกิดปีติโสมนัส ตรัสว่า เราเห็นผลแห่งกรรมโดยประจักษ์หนอ บัดนี้ เราจักไม่กระทำความชั่ว จักกระทำแต่บุญเท่านั้น ดังนี้แล้ว ได้ทรงกระทำสักขีพยานกับเปรตนั้น. และเปรตนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระเจ้าลิจฉวี ตั้งแต่วันนี้ ถ้าพระองค์ละอธรรม ประพฤติธรรมไซร้ เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าพระองค์จักเป็นสักขีพยานแก่พระองค์ และข้าพระองค์จักมายังสำนักของพระองค์ และขอพระองค์จงให้บุรุษผู้ที่ถูกหลาวเสียบ หลุดจากหลาวโดยเร็ว เมื่อเป็นเช่นนี้บุรุษนั้นก็จักรอดชีวิต ประพฤติธรรมพ้นจากทุกข์ และพระองค์จงเข้าไปหาพระเถระตามกาลอันควร ฟังธรรม บำเพ็ญบุญดังนี้แล้วก็ไป.
ลำดับนั้นพระราชาไหว้พระเถระแล้ว เข้าไปยังพระนคร รีบให้ประชุมบริษัทลิจฉวี ให้คนเหล่านั้นอนุญาต ให้บุรุษนั้นพ้นจากหลาว รับสั่งพวกพยาบาลว่า จงทำบุรุษนี้ ให้หายโรค. ก็แล ครั้นเข้าไปหาพระเถระแล้ว จึงตรัสถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ผู้ที่ทำกรรมอันเป็นเหตุไปสู่นรกแล้ว ดำรงอยู่ จะพึงพ้นจากนรก
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 492
หรือไม่หนอ. พระเถระทูลว่า พึงพ้นได้ มหาบพิตร ถ้าผู้นั้นทำบุญให้มากก็พ้นได้ จึงให้พระราชาตั้งอยู่ในสรณะและศีล. พระราชาตั้งอยู่ในสรณะและศีลนั้นแล้ว ตั้งอยู่ในโอวาทของพระเถระ. ได้เป็นพระโสดาบัน. ฝ่ายบุรุษผู้ถูกหลาวเสียบเป็นผู้หายโรค เกิดความสังเวช บวชในหมู่ภิกษุ ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัตต์. พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายเมื่อจะแสดงเรื่องนั้น จึงได้กล่าวคาถาทั้งหลายว่า :-
พระเจ้าลิจฉวีตรัสอย่างนั้นแล้ว ก็แวดล้อมไปด้วยหมู่ข้าราชบริพาร เสด็จไปในพระนครนั้น ครั้นเสด็จเข้าไปยังพระนครนั้นแล้ว จึงเสด็จเข้าไปยังที่ประทับ ในนิเวศน์ของพระองค์ ทรงกระทำกิจของคฤหัสถ์ทั้งหลาย ทรงสรงสนานและทรงดื่มน้ำแล้ว ได้เวลาอันสมควร จึงทรงเลือกผ้า ๘ คู่จากหีบ รับสั่งให้หมู่ข้าราชบริพารถือไป พระราชาครั้นเสด็จเข้าไปในประเทศนั้นแล้ว ได้ทอดพระเนตรเห็น สมณะรูปหนึ่ง ผู้มีจิตสงบระงับกลับจากที่โคจร เป็นผู้เยือกเย็น นั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ ครั้นได้ตรัสถามสมณะนั้นถึงความเป็นผู้มีอาพาธน้อย การอยู่สำราญ และตรัสบอกนามของพระองค์ให้ทรงทราบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉัน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 493
เป็นกษัตริย์ลิจฉวี อยู่ในเมืองเวสาลี ชาวลิจฉวีเรียกดิฉันว่า อัมพสักขระ ขอท่านจงรับผ้า ๘ คู่นี้ของดิฉัน ดิฉันขอถวายท่าน ดิฉันมาในที่นี้ด้วยความประสงค์เพียงเท่านี้ ดิฉันมีความปลาบปลื้มใจนัก.
พระเถระทูลถามว่า :-
สมณะพราหมณ์ทั้งหลาย พากันละเว้นพระราชนิเวศน์ของมหาบพิตรแต่ที่ไกลทีเดียว เพราะพระราชนิเวศน์ของมหาบพิตร บาตรย่อมแตก แม้สังฆาฏิก็ถูกเขาฉีกทำลาย เมื่อก่อนสมณะทั้งหลายมีศีรษะห้อยลง ตกลงไปจากเขียงเท้า มหาบพิตรได้เบียดเบียนบรรพชิตเช่นนี้ สมณะทั้งหลายเคยถูกมหาบพิตรทำการ เบียดเบียนแล้ว มหาบพิตรไม่เคยพระราชทานแม้แต่น้ำมันสักหยดหนึ่งเลย ไม่ตรัสบอกทางให้คนหลงทาง ชิงเอาไม้เท้าจากมือคนตาบอดเสียเอง มหาบพิตรเป็นคนตระหนี่ ไม่สำรวมเช่นนี้ แต่บัดนี้เพราะเหตุอะไร มหาบพิตรทรงเห็นผลอะไร จึงทรงจำแนกแจกจ่ายกับอาตมภาพทั้งหลายเล่า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 494
พระราชาตรัสว่า :-
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันขอรับผิด ดิฉันได้เบียดเบียนสมณะทั้งหลาย ดังคำที่ท่านพูด ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันมีความประสงค์จะล้อเล่น ไม่มีจิตคิดประทุษร้าย แต่กรรมอันชั่วช้านี้ ดิฉันทำแล้ว เด็กหนุ่มเปลือยกาย มีโภคะน้อย ได้สั่งสมบาป เพื่อจะล้อเล่น จึงต้องเสวยทุกข์ ก็ทุกข์อะไรเล่าที่เป็นทุกข์แก่ความเปลือยกาย ย่อมมีแก่เปรตนั้น ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันเห็นเหตุอันน่าสังเวชและเศร้าหมองนั้นแล้ว จึงให้ทาน เพราะเหตุนั้นเป็นปัจจัย ขอท่านจงรับผ้า ๘ คู่นี้ ทักษิณาที่ดิฉันถวายนี้จงสำเร็จผลแก่เปรตนั้น.
พระเถระทูลว่า :-
เพราะการให้ทาน นักปราชญ์ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น สรรเสริญไว้โดยมากแท้ และเมื่อพระองค์ถวายทานวัตถุ จงอย่ามีความหมดเปลืองไปเป็นธรรม อาตมภาพรับผ้า ๘ คู่ ของมหาบพิตร ขอทักษิณาทานเหล่านี้ จงสำเร็จผลแก่เปรตนั้น ลำดับนั้น พระเจ้าลิจฉวีทรงชำระพระหัตถ์และพระบาทแล้ว ทรงถวายผ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 495
๘ คู่แก่พระเถระ พอพระเถระรับประเคนผ้าเหล่านั้นแล้ว พระราชาทรงเห็นเปรต นุ่งห่มผ้าเรียบร้อย ลูบไล้ด้วยจุณจันทน์แดง มีผิวพรรณเปล่งปลั่งประดับประดา นุ่งผ้าดี ขี่ม้าอาชาไนย มีบริวารห้อมล้อม สำเร็จมหิทธิฤทธิ์ของเทวดา ครั้นทรงเห็นเช่นนั้นแล้ว ทรงปลื้มพระหฤทัย เกิดปีติปราโมทย์ มีพระหฤทัยร่าเริงเบิกบาน พระเจ้าลิจฉวีได้ทรงเห็นกรรมและวิบากแห่งกรรมแจ้งประจักษ์ด้วยพระองค์เองแล้ว จึงเสด็จเข้าไปใกล้แล้วตรัสกะเปรตนั้นว่า เราจักให้ทานแก่สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เราควรให้ทานทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ ดูก่อนเปรต ท่านมี อุปการะแก่เรามาก.
เปรตนั้นกราบทูลว่า :-
ข้าแต่กษัตริย์ลิจฉวี ก็พระองค์ได้พระราชทานแก่ข้าพระองค์ส่วนหนึ่ง แต่การพระราชทานนั้นมิได้ไร้ผล ข้าพระองค์เป็นเทวดา จักทำความเป็นสหายกับพระองค์ผู้เป็นมนุษย์.
พระราชาตรัสว่า :-
ท่านเป็นคติ เป็นเผ่าพันพันธุ์ เป็นที่ยึดเหนี่ยว เป็นมิตรและเป็นเทวดาของเรา ดูก่อนเปรต
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 496
เราขอทำอัญชลีท่าน ปรารถนาเพื่อจะเห็นท่านแม้อีก.
เปรตกราบทูลว่า :-
ถ้าพระองค์จักเป็นผู้ไม่มีศรัทธา มีความตระหนี่ มีจิตไม่เลื่อมใส พระองค์จักไม่ได้เห็นข้าพระองค์และข้าพระองค์ก็จักไม่ได้เห็น ไม่ได้เจรจากับพระองค์อีก ถ้าพระองค์จักทรงเคารพธรรม ทรงยินดีในการบริจาคทาน ทรงสงเคราะห์ ทรงเป็นดังบ่อน้ำของสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ด้วยอาการอย่างนี้ พระองค์ก็จักได้ทรงเห็นข้าพระองค์ และข้าพระองค์จักได้เห็น ได้เจรจากับพระองค์ ขอพระองค์โปรดทรงปล่อยบุรุษนี้จากหลาวโดยเร็วเถิด เพราะการปล่อยบุรุษนี้ เราทั้งสองจักได้เป็นสหายกัน ข้าพระองค์เข้าใจว่า เราทั้งสองจักได้เป็นสหายกันและกัน เพราะเหตุแห่งบุรุษผู้ถูกหลาวเสียบ ก็บุรุษผู้ถูกหลาวเสียบนี้ อันพระองค์ทรงรีบปล่อยแล้ว ถึงความเป็นผู้ประพฤติธรรมโดยเคารพ พึงพ้นจากนรกนั้นแน่นอน พึงพ้นจากกรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งเวทนา พระองค์เสด็จข้าไปหากัปปิตกภิกษุแล้ว ทรงจำแนกทานกะท่าน ในเวลาที่สมควร จงเสด็จ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 497
เข้าไปหาแล้ว ตรัสถามด้วยพระองค์เอง ท่านจงกราบทูลเนื้อความนั้นแก่พระองค์ ก็พระองค์ทรงพระประสงค์บุญ มีจิตไม่ประทุษร้าย ก็เชิญเสด็จเข้าไปหาภิกษุนั้นเถิด ท่านจักแสดงธรรมทั้งปวงที่ทรงสดับแล้ว และยังไม่ได้ทรงสดับ แก่พระองค์ ตามความรู้เห็น พระองค์ได้ทรงฟังธรรมนั้นแล้ว จักทรงเห็นสุคติ.
พระราชาทรงเจรจาความลับในที่นั้นแล้ว ได้ทรงกระทำเปรตให้เป็นพยานร่วมกัน แล้วเสด็จหลีกไป ส่วนเปรตนั้นได้กล่าวกะบริษัทแห่งกษัตริย์ลิจฉวีทั้งหลาย พร้อมกับบุตรของตน ซึ่งนั่งประชุมกันอยู่ว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ขอจงฟังคำอย่างหนึ่งของเรา เราจักเลือกพร จักได้ประโยชน์ บุรุษที่ถูกเสียบด้วยหลาว มีกรรมอันหยาบช้า มีอาชญาอันตั้งไว้แล้ว ถูกหลาวร้อยจะตายหรือไม่ตาย ประมาณ ๒๐ ราตรีเท่านั้น เดี๋ยวนี้ เราจักปล่อยเขาตามความชอบใจของเรา ขอหมู่ท่านจงอนุญาต จงรีบปล่อยบุรุษนั้นและบุรุษอื่นที่พระราชารับสั่งให้ลงอาชญาโดยเร็วเถิด ใครพึงบอกท่าน ผู้ทำกรรมอย่างนั้น ท่านรู้อย่างไร จึงทำอย่างนั้น หมู่ท่านย่อมอนุญาตตามชอบใจ พระเจ้าลิจฉวี
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 498
เสด็จเข้าไปสู่ประเทศนั้นแล้ว รีบปล่อยบุรุษที่ถูกเสียบด้วยหลาวโดยเร็ว และได้ตรัสกะบุรุษนั้นว่า อย่ากลัวเลยเพื่อน และรับสั่งให้หมอ พยาบาล แล้วเสด็จไปหากัปปิตกภิกษุแล้ว ทรงถวายทานกับท่านในเวลาอันสมควร มีพระประสงค์จะทรงทราบเหตุ จึงเสด็จเข้าไปใกล้ แล้วตรัสถามด้วยพระองค์เองว่า บุรุษผู้ถูกเสียบ ด้วยหลาวมีกรรมอันหยาบช้า มีอาชญาอันตั้งไว้แล้ว ถูกหลาวร้อยจักตายหรือไม่ตาย ประมาณ ๒๐ ราตรีเท่านั้น ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เดี๋ยวนี้ดิฉันปล่อยเขาไปแล้ว เขาไปบอกเปรตนั้น เหตุอะไรๆ ที่จะไม่ต้องไปสู่นรกนั้น พึงมีหรือหนอ ถ้ามีขอท่านโปรดบอกแก่ดิฉัน ดิฉันรอฟังเหตุที่ควรเชื่อถือจากท่าน.
กัปปิตกภิกษุทูลว่า :-
ความพินาศแห่งกรรมเหล่านั้นย่อมไม่มี ความพินาศในโลกนี้เกิดขึ้นเพราะความไม่รู้แจ้ง ถ้าเขาพึงเป็นผู้ไม่ประมาท ประพฤติธรรมทั้งหลายโดยเคารพตลอดคืนและวัน เขาพึงพ้นจากนรกนั้นได้แน่ กรรมอันเว้นจากการให้ผล พึงมี.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 499
พระราชาตรัสว่า :-
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ผู้มีปัญญากว้างขวาง ประโยชน์ของบุรุษนี้ ดิฉันรู้ทั่วถึงแล้ว บัดนี้ ขอท่านอนุเคราะห์ดิฉันบ้าง ขอท่านได้กล่าวตักเตือนพร่ำสอนดิฉัน โดยวิธีที่ดิฉันจะไม่พึงไปสู่นรกด้วยเถิด.
กัปปิตกภิกษุทูลว่า :-
วันนี้ ขอมหาบพิตรจงมีพระหทัยเลื่อมใสถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ จงทรงสิกขาบทอย่าให้ขาดและด่างพร้อย จงทรงงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ทรงยินดีด้วยพระมเหสีของพระองค์ ไม่ทรงพูดเท็จ ไม่ทรงดื่มน้ำจัณฑ์ และทรงสมาทานอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการอัน ประเสริฐ เป็นกุศล มีสุขเป็นกำไร จงทรงพระราชทานจีวร บิณฑบาต ที่นอนและที่นั่ง คิลานปัจจัย ข้าว น้ำ ของเคี้ยว ของกิน ผ้า เสนาสนะ ในภิกษุผู้มีจิตซื่อตรงทั้งหลาย บุญย่อมเจริญทุกเมื่อ ทรงอังคาสภิกษุทั้งหลาย ผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ปราศจากราคะ เป็นพหูสูต ให้อิ่มหนำ ด้วยข้าวและน้ำ บุญย่อมเพิ่มพูนทุกเมื่อ เมื่อบุคคลเป็นผู้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 500
ไม่ประมาท ประพฤติธรรมโดยเคารพตลอดคืนและวันอย่างนี้ พึงพ้นจากนรกนั้น กรรมที่เว้นจากการให้ผลพึงมี.
พระราชาตรัสว่า :-
วันนี้ ดิฉันมีจิตเลื่อมใส ขอถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ขอสมาทานสิกขาบท ๕ ประการ ไม่ให้ขาด ไม่ให้ด่างพร้อย ของดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ยินดีด้วยภรรยาของตน ไม่กล่าวคำเท็จ ไม่ดื่มน้ำเมา และจักสมาทานอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ประการอันประเสริฐ เป็นกุศล มีสุขเป็นกำไร จักถวายจีวร บิณฑบาต ที่นอน ที่นั่ง คิลานปัจจัย ข้าวน้ำ ของเคี้ยว ของกิน ผ้าและเสนาสนะ แก่ภิกษุทั้งหลายผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ปราศจากราคะ เป็นพหูสูต จักไม่กำหนัด ยินดีแล้วในศาสนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. พระเจ้าลิจฉวีทรงพระนามว่า อัมพสักขระ ได้เป็นอุบาสกคนหนึ่ง ในเมืองเวสาลี ทรงมีศรัทธา มีพระหทัยอ่อนโยน ทรงทำอุปการะแก่ภิกษุ ทรงบำรุงสงฆ์โดยความ เคารพ ในกาลนั้น บุรุษผู้ถูกเสียบด้วยหลาว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 501
หายโรค เป็นสุขสบายดี เข้าถึงบรรพชา แม้ชนทั้งสองอาศัยกัปปิตกภิกษุผู้ประเสริฐ ได้บรรลุสามัญญผล การคบหาสัปบุรุษเช่นนี้ย่อมมีผลมากตั้งร้อย แก่วิญญูชนผู้รู้แจ้ง บุรุษผู้ถูกเสียบด้วยหลาว ได้บรรลุผลอันยอดเยี่ยม ส่วนพระเจ้า อัมพสักขระได้บรรลุโสดาปัตติผล.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วาสูปคจฺฉิตฺถ แปลว่า เข้าไปยังที่ประทับ. บทว่า คิหิกิจฺจานิ ได้แก่ กิจแห่งขุมทรัพย์ที่ผู้ครองเรือนพึงกระทำ. บทว่า วิเจยฺย ได้แก่ พึงเลือกถือเอาผ้าดีๆ. บทว่า ปฏิกฺกนฺตํ แปลว่า กลับจากบิณฑบาต. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า กลับจากโคจร. บทว่า อโวจ ความว่า ได้ตรัสคำมีอาทิว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นเจ้าลิจฉวีในเมืองเวสาลี.
บทว่า วิทาลยนฺติ แปลว่า ย่อมฉีกทำลาย. บทว่า ปาทกุาริกาหิ ได้แก่ จากเขียง คือเท้า. บทว่า ปาตยนฺติ แปลว่า ย่อมตกลง.
บทว่า ติเณน แปลว่า แม้ด้วยปลายหญ้า. บทว่า มูฬฺหสฺส มคฺคมฺปิ น ปาวทาสิ ความว่า พระองค์ไม่ได้บอกแม้ทางแก่คนหลงทางว่า ด้วยคิดว่า บุรุษนี้จงวนเวียนไปทางโน้นทางนี้ด้วยอาการอย่างนี้. จริงอยู่ พระราชานี้เป็นผู้มักล้อเล่น. บทว่า สยมาทิยาสิ ความว่า ตนเองชิงเอาไม้เท้าจากมือของคนตาบอด. บทว่า สํวิภาคํ กโรสิ ความว่า ทรงแบ่งส่วนหนึ่งจากวัตถุที่ตนบริโภคให้ไป.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 502
ด้วยบทว่า ปจฺเจมิ ภนฺเต ยํ ตฺวํ วเทสิ นี้ พระราชาทรงแสดงว่า ท่านผู้เจริญ ดิฉันรู้เฉพาะคำที่ท่านกล่าวโดยนัยมีอาทิว่า บาตรแตก สิ่งนั้นทั้งหมดนั่นแหละดิฉันทำและให้ผู้อื่นทำ. บทว่า เอตมฺปิ ได้แก่ สิ่งนี้ดิฉันแม้ทำก็โดยประสงค์จะล้อเล่น.
บทว่า ขิฑฺฑา แปลว่า ด้วยการล้อเล่น. บทว่า ปสวิตฺวา แปลว่า ก่อแล้ว. บทว่า เวเทติ แปลว่า ย่อมเสวย. บทว่า อสมตฺตโภคี แปลว่า ผู้มีโภคะไม่บริบูรณ์. เพื่อจะแสดงว่า เปรตเป็นผู้มีโภคะไม่บริบูรณ์นั้นนั่นแหละ จึงตรัสว่า เด็กหนุ่ม เป็นต้น. บทว่า นคฺคนิยสฺส แปลว่า เป็นคนเปลือย. บทว่า กึ สุ ตโต ทุกฺขตรสฺส โหติ ความว่า ก็ทุกข์อะไรเล่าที่เป็นทุกข์กว่าความเป็นคนเปลือยของเปรตนั้น. บทว่า ยกฺขสฺสิมา คจฺฉนฺตุ ทกฺขิณาโย ความว่า ขอทักษิณาคือผ้าที่ดิฉันให้นี้ จงสำเร็จแก่เปรต.
บทว่า พหุธา ปสตฺถํ ความว่า อันบัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น พรรณนาไว้โดยประการมากมาย. บทว่า อกฺขยธมฺมมตฺถุ แปลว่า ขอทานวัตถุนี้ จงอย่าสิ้นไปเป็นธรรม. บทว่า อาจมยิตฺวา ได้แก่ บ้วนปากก่อนล้างมือและล้างเท้า.
บทว่า จนฺทนสารลิตฺตํ แปลว่า ลูบไล้ด้วยแก่นจันทน์. บทว่า อุฬารวณฺณํ แปลว่า มีรูปอันประเสริฐ. บทว่า ปวาริตํ แปลว่า แวดล้อมด้วยบริพารผู้มีความประพฤติคล้อยตาม. บทว่า ยกฺขมหิทฺธิปตฺตํ ได้แก่ ผู้มียักขฤทธิ คือเทพฤทธิ์ใหญ่. บทว่า ตเมนนโวจ ตัดเป็น ตเมนํ อโวจ ได้ตรัสคำนี้นั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 503
ด้วยบทว่า เอกเทสํ อทาสิ ท่านกล่าวหมายถึงการให้ผ้า อันเป็นส่วนหนึ่งในบรรดาปัจจัย ๔. บทว่า สกฺขึ ได้แก่ ความเป็นพยาน.
บทว่า มมาสิ ตัดเป็น เม อาสิ. บทว่า เทวตา เม มีวาจาประกอบความว่า ท่านได้เป็นเทวดาของเรา.
บทว่า วิปฺปฎิปนฺนจิตฺโต ได้แก่ มีจิตดำเนินตามมิจฉาทิฏฐิ อธิบายว่า ผู้ละปฏิปทาอันชอบธรรม แล้วดำเนินปฏิปทาอันไม่ชอบธรรม. บทว่า ยโตนิทานํ ได้แก่ มีสิ่งใดเป็นนิมิต คือ มายังสำนักของผู้ใดเป็นเหตุ.
บทว่า สํวิภชิตฺวา แปลว่า ทำการจำแนกทาน. บทว่า สยํ มุเขนูปนิสชฺช ปุจฺฉ ความว่า ท่านจงอย่าส่งคนอื่นไป จงเข้าไปนั่งถามเฉพาะหน้าเลย.
บทว่า สนฺนิสินฺนํ แปลว่า นั่งประชุมกัน. บทว่า ลภิสฺสามิ อตฺถํ ความว่า เราจักได้ประโยชน์แม้ที่เราปรารถนา. บทว่า ปณิหิตทณฺโฑ แปลว่า ได้ตั้งอาญาในตัวไว้. บทว่า อนุสตฺตรูโป ได้แก่ มีสภาวะเกี่ยวข้องในราชา. บทว่า วีสติรตฺติมตฺตา ความว่า ล่วงไปประมาณ ๒๐ ราตรี. บทว่า ตาหํ ตัดเป็น ตํ อหํ. บทว่า ยถามตึ แปลว่า ตามความชอบใจของเรา.
บทว่า เอตญฺจ อญฺญฺจ ความว่า บุรุษนี้ที่ถูกเสียบหลาว และบุรุษอื่นที่ถูกลงราชอาชญา. บทว่า ลหุํ ปมุญฺจ แปลว่า ปล่อยโดยเร็ว. บทว่า โก ตํ วเทถ ตถา กโรนฺตํ ความว่า ใครใน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 504
แคว้นวัชชีนี้พึงบอกผู้ทำกรรมอันชอบธรรมนั้นว่า จงอย่าปล่อย อธิบายว่า ถึงใครๆ ก็ไม่ได้เพื่อจะกล่าวอย่างนั้น.
บทว่า ติกิจฺฉกานญฺจ ได้แก่ ผู้เยียวยา.
บทว่า ยกฺขสฺส วโจ ได้แก่ คำของเปรต, ท่านแสดงว่า ท่านผู้เจริญ ดิฉันได้กระทำอย่างนั้นตามคำของเปรตนั้น.
บทว่า ธมฺมานิ ได้แก่ ธรรมคือบุญอันสามารถครอบงำกรรมชั่วที่ได้กระทำไว้ในกาลก่อน บทว่า กมฺมํ สิยา อญฺตฺร เวทนียํ ได้แก่ กรรมที่อำนวยผลให้เกิดในกรรมชั่วนั้น ชื่อว่า เป็น อโหสิกรรม ส่วนกรรมที่อำนวยผลให้เกิดในภพต่อๆ ไป ย่อมเป็นผลที่จะพึงเสวยในภพอื่น คือ ภพต่อๆ ไป ในเมื่อยังเป็นไปในสังสารวัฏฏ์.
บทว่า อิมญฺจ พระเถระกล่าวเพราะกระทำอธิบายว่า คำที่ตนกล่าว ใกล้หรือประจักษ์แก่สิกขานั้น. บทว่า อริยํ อฏฺงฺควเรนุเปตํ ความว่า อุโบสถศีลอันสูงสุดอันเข้าถึง คือประกอบด้วยองค์ ๘ มีเจตนาอันงดเว้นจากปาณาติบาตเป็นต้น ชื่อว่าประเสริฐ เพราะอรรถว่าบริสุทธิ์. บทว่า กุสลํ ได้แก่ ไม่มีโทษ. บทว่า สุขุทฺริยํ แปลว่า มีสุขเป็นผล.
บทว่า สทา ปุญฺํ ปวฑฺฒติ ความว่า เมื่อบุคคลทำบุญคราวเดียวแล้วไม่อิ่มใจว่า พอละด้วยบุญเพียงเท่านี้ แล้วจึงบำเพ็ญสุจริตต่อๆ ไป บุญของเขาย่อมเจริญยิ่งตลอดกาล หรือเมื่อเขา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 505
บำเพ็ญสุจริตต่อๆ มา ผลบุญ คือ บุญย่อมเจริญ คือ เต็มเปี่ยมยิ่งๆ ขึ้น.
เมื่อพระเถระกล่าวอย่างนี้ พระราชามีพระหทัยสะดุ้งจา ทุกข ในอบาย มีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย และบุญธรรมเจริญยิ่ง ต่อแต่นั้น จึงสมาทานสรณะและศีล จึงตรัสคำมีอาทิว่า ดิฉันขอถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะในวันนี้แหละ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอตาทิโส ได้แก่ มีรูปตามที่กล่าวแล้วนี้. บทว่า เวสาลิยํ อญฺตโร อุปาสโก ความว่า เป็นอุบาสกคนหนึ่งในบรรดาอุบาสกหลายพันคนในเมืองเวสาลี. บทว่า สทฺโธ เป็นต้น ท่านกล่าวเพื่อแสดงความที่พระเจ้าอัมพสักขระนั้น เป็นโดยประการอื่นจากภาวะที่มีในก่อน เพราะอาศัยกัลยาณมิตร. จริงอยู่ ในกาลก่อน พระเจ้าอัมพสักขระนั้นเป็นผู้ไม่มีศรัทธา เป็นคนหยาบช้า ด่าภิกษุทั้งหลาย และไม่ใช่เป็นอุปัฏฐากของสงฆ์ แต่บัดนี้ เป็นผู้มีศรัทธาอ่อนโยน และอุปัฏฐากภิกษุสงฆ์ในกาลนั้นโดยเคารพ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า การกโร ได้แก่ผู้กระทำอุปการะ.
บทว่า อุโภปิ ได้แก่ ชนทั้ง ๒ คน คือ บุรุษผู้ถูกหลาวเสียบและพระราชา. บทว่า สามญฺญผลานิ อชฺฌคุํ ได้แก่ ผู้บรรลุสามัญญผลตามสมควร. เพื่อจะแสดงตามสมควร ท่านจึงกล่าวคำนี้ไว้ว่า บุรุษผู้ถูกหลาวเสียบได้บรรลุพระอรหัตตผล ส่วนพระเจ้าอัมพสักขระได้บรรลุผลน้อยกว่า. ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น ด้วย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 506
บทว่า ผลํ กนิฏํ ท่านกล่าวหมายถึงโสดาปัตติผล แต่ในที่นี้ เมื่อว่าโดยอรรถ คำที่ท่านไม่ได้จำแนกไว้ รู้ได้ง่ายทีเดียว.
ท่านพระกัปปิตกได้ไปถึงกรุงสาวัตถี เพื่อถวายบังคมพระศาสดา จึงได้กราบทูลความที่พระราชา เปรต และตน กล่าวแล้วอย่างนี้ แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระศาสดาทรงกระทำเรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุ แล้วแสดงธรรมแก่บริษัทผู้ถึง พร้อมแล้ว เทศนานั้นได้มีประโยชน์แก่มหาชน ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอัมพสักขรเปตวัตถุที่ ๑