๘. คูถขาทิกเปตวัตถุที่ ๑ ว่าด้วยด่าพระตกนรกกินของไม่สะอาด
[เล่มที่ 49] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 559
มหาวรรคที่ ๔
๘. คูถขาทิกเปตวัตถุที่ ๑
ว่าด้วยด่าพระตกนรกกินของไม่สะอาด
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 49]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 559
๘. คูถขาทิกเปตวัตถุที่ ๑
ว่าด้วยด่าพระตกนรกกินของไม่สะอาด
พระมหาโมคคัลลานเถระได้ถามเปรตตนหนึ่งว่า :-
[๑๒๘] ท่านเป็นใครหนอ โผล่ขึ้นจากหลุมคูถ ให้เราเห็นเช่นนี้ ท่านร้องครวญครางอื้ออึงไปทำไมเล่า ท่านมีการงานอันลามกเป็นแน่.
เปรตนั้นตอบว่า :-
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นเปรตเสวยทุกข์เกิดในยมโลก เพราะได้ทำกรรมอันลามกไว้จึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก.
พระมหาโมคคัลลานเถระถามว่า :-
ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกาย วาจา ใจ เพราะผลแห่งกรรมอะไร ท่านจึงได้ประสบทุกข์เช่นนี้.
เปรตนั้นตอบว่า :-
ชาติก่อน มีภิกษุรูปหนึ่งเป็นเจ้าอาวาส อยู่ในอาวาสของข้าพเจ้า ท่านมีปกติริษยา ตระหนี่ตระกูล มีใจกระด้าง มักด่าบริภาษ ได้ยกโทษภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายที่เรือนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าฟังคำของภิกษุนั้นแล้ว ได้ด่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 560
ภิกษุทั้งหลาย เพราะผลแห่งกรรมนั้น ข้าพเจ้าจึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก.
พระมหาโมคคัลลานเถระถามว่า :-
ภิกษุที่เข้าไปสู่ตระกูลของท่าน ไม่ใช้มิตรแท้เป็นมิตรเทียม เป็นคนมีปัญญาทราม ทำลายขันธ์ละไปแล้ว ไปสู่คติไหนหนอ.
เปรตนั้นตอบว่า :-
ข้าพเจ้ายืนอยู่บนศีรษะของภิกษุผู้มีกรรมอันลามกนั้น กุลุปกภิกษุไปเกิดเป็นเปรตบริวารของข้าพเจ้า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ชนเหล่าอื่นถ่ายมูตรคูถลงในเว็จนี้ มูตรคูถนั้นเป็นอาหารของข้าพเจ้า และข้าพเจ้ากินมูตรคูถนั้นแล้ว ถ่ายมูตร คูถสิ่งใดลงไป กุลุปกเปรตนั้นก็เลี้ยงชีพด้วยมูตรคูถนั้น.
จบ ปฐมคูถขาทิกเปตวัตถุที่ ๘
อรรถกถาปฐมคูถขาทกเปตวัตถุที่ ๘
เมื่อพระศาสดา ประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภคูถขาทกเปรตตนหนึ่ง จึงตรัสพระคาถานี้ มีคำเริ่มต้นว่า คูถกูปโต อุคฺคนฺตฺวา ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 561
ได้ยินว่า ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งไม่ไกลแต่กรุงสาวัตถีนัก ยังมีกฏุมพีผู้หนึ่ง สร้างวิหารอุทิศถวายภิกษุผู้เป็นชีต้นของตน, ภิกษุทั้งหลายมาจากชนบทต่างๆ อยู่อาศัยในวิหารหลังนั้น. มนุษย์ทั้งหลายเห็นภิกษุเหล่านั้นแล้วมีจิตเลื่อมใส อุปัฏฐากด้วย ปัจจัยอันประณีต. ภิกษุชีต้นอดทนปัจจัยนั้นไม่ได้ เป็นผู้ถูกความริษยาครอบงำ เมื่อจะกล่าวโทษของภิกษุเหล่านั้น จึงยกโทษกะกฏุมพี. กฏุมพีข่มขี่บริภาษภิกษุเหล่านั้นและภิกษุเป็นชีต้น. ลำดับนั้น ภิกษุผู้เป็นชีต้นทำกาละแล้ว บังเกิดเป็นเปรตในเวจจกุฏีในวัดนั่นเอง. ฝ่ายกฏุมพีทำกาละแล้ว บังเกิดเป็นเปรตอยู่ข้างบนของพระเปรตนั้นนั่นแล. ลำดับนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะพอเห็นเปรตนั้นแล้ว เมื่อจะถามจึงกล่าวคาถาว่า :-
ท่านเป็นใครหนอ โผล่ขึ้นจากหลุมคูถ ให้เราเป็นเช่นนี้ ท่านร้องครวญครางอื้ออึงไปทำไมเล่า ท่านมีการงานอันลามก โดยไม่ต้องสงสัย.
เปรตได้ดังดังนั้นแล้ว จึงแสดงตนด้วยคาถาว่า :-
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นเปรตเสวยทุกข์ เกิดในยมโลก เพราะได้ทำกรรมอันลามกไว้ จึงจากโลกนี้ไปสู่เปตโลก.
ลำดับนั้นพระเถระจึงถามกรรมที่เปรตนั้นกระทำกะเปรตนั้น ด้วยคาถาว่า :-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 562
ท่านทำกรรมชั่วอะไรไว้ด้วยกาย วาจา เพราะผลแห่งกรรมอะไร ท่านจึงได้ประสบทุกข์เช่นนี้.
เปรตนั้นได้บอกกรรมที่ตนทำด้วยคาถา ๒ คาถาว่า :-
เมื่อก่อน มีภิกษุรูปหนึ่งเป็นเจ้าอาวาส อยู่ในอาวาสของข้าพเจ้า ท่านมีปกติริษยา ตระหนี่ในตระกูล มีใจกระด้าง มักด่าบริภาษ ได้ยกโทษภิกษุอาคันตุกะทั้งหลายที่เรือนของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าฟังคำของภิกษุนั้นแล้ว ได้ด่าภิกษุทั้งหลาย เพราะผลแห่งกรรมนั้น ข้าพเจ้าจากโลกนี้แล้วไปสู่เปตโลก.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อหุ อาวาสิโก มยฺหํ ได้แก่ ภิกษุรูปหนึ่ง ผู้เป็นเจ้าอาวาส ได้อยู่ประจำในอาวาสของข้าพเจ้า คือ ในวัดที่ข้าพเจ้าได้สร้างไว้. บทว่า อชฺฌาสิโต มยฺหํ ฆเร ความว่า ท่านได้อยู่อาศัยในเรือนของข้าพเจ้า โดยความเป็นชีต้น ด้วยอำนาจการอยู่ด้วยตัณหา.
บทว่า ตสฺส ได้แก่ภิกษุผู้เป็นชีต้นนั้น. บทว่า ภิกฺขโว แปลว่า ซึ่งภิกษุทั้งหลาย. บทว่า ปริภาสิสํ แปลว่า ด่าแล้ว บทว่า เปตโลกํ อิโต คโต ความว่า เข้าถึงกำเนิดเปรต คือเป็นเปรตด้วยอาการอย่างนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 563
พระเถระได้ฟังดังนั้นแล้ว เมื่อจะถามถึงคติของเปรตนอกนี้ จึงกล่าวคาถาว่า :-
ภิกษุผู้ชีต้นของท่านไม่ใช่มิตรแท้ เป็นแต่มิตรเทียม เป็นคนมีปัญญาทราม ทำลายขันธ์ละไปแล้ว ไปสู่คติไหนหนอ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มิตฺตวณฺเณน ได้แก่ ด้วยมิตรเทียม คือ โดยความเทียมมิตร.
เปรตเมื่อจะบอกเรื่องนั้นแก่พระเถระอีก จึงกล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :-
ข้าพเจ้ายืนอยู่บนศีรษะของภิกษุผู้มีกรรมอันลามกนั้น ภิกษุผู้ชีต้นไปเกิดเป็นเปรตบริวารของข้าพเจ้า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ชนเหล่าอื่นถ่ายมูตรคูถลงในเวจกุฏีนี้ มูตรคูถนั้นเป็นอาหารของข้าพเจ้า และข้าพเจ้ากินมูตรคูถนั้นแล้ว ถ่ายมูตรคูถสิ่งใดลงไป เปรตผู้เป็นชีต้นนั้น ก็เลี้ยงชีพด้วยมูตรและคูถนั้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตสฺเสว ได้แก่ เปรตผู้เป็นภิกษุชีต้นในกาลก่อนของข้าพเจ้านั้นนั่นแล. บทว่า ปาปกมฺมสฺส ได้แก่ มีความประพฤติลามก. บทว่า สีเส ติฏฺามิ มตฺถเก ความว่า ข้าพเจ้ายืนอยู่บนศีรษะ และเมื่อยืน ยืนอยู่บนกระหม่อมนั้นเอง อธิบายว่า ไม่ได้ยืนอยู่บนอากาศประมาณศีรษะ. บทว่า ปรวิสยํ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 564
ปตฺโต ได้แก่ อาศัยมนุษยโลกแล้วถึงเปตวิสัยอันเป็นแดนอื่น. บทว่า มเมว ความว่า บาลีที่เหลือ บัณฑิตพึงนำมาเชื่อมเข้าด้วยคำว่า ได้เป็นบริวารของข้าพเจ้าเอง.
บทว่า ยํ ภทนฺเต หทนฺตญฺเ ความว่า ข้าแต่พระมหาโมคคัลลานะผู้เจริญ ชนเหล่าอื่นย่อมถ่ายอุจจาระลงในเวจจกุฏีนั้น. บทว่า เอตํ เม โหติ โภชนํ ความว่า อุจจาระนั้นเป็นอาหารของข้าพเจ้าทุกๆ วัน. บทว่า ยํ หทามิ ความว่า ก็ข้าพเจ้าถ่ายอุจจาระที่ข้าพเจ้ากินเข้าไป. บทว่า เอตํ โส อุปชีวติ ความว่า เปรตผู้เป็นชีต้นนั้น เลี้ยงชีพ คือยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยการกินอุจจาระของข้าพเจ้านั้น ทุกๆ วัน.
ในคนเหล่านั้น กฏุมพีด่าภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักว่า การกินคูถของพวกท่านยังประเสริฐกว่าการบริโภคอาหารอย่างนี้. ส่วนภิกษุเป็นชีต้นชักชวนกฏุมพีในการเช่นนี้นั้น ตนเองก็ได้ด่าเหมือนเช่นนั้น, ด้วยเหตุนั้น เปรตนั้นจึงมีการเลี้ยงชีพอันน่าติเตียนแม้กว่ากฏุมพีนั้น. ท่านพระมหาโมคคัลลานะกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำเรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุ แล้วทรงแสดงโทษในการว่าร้ายแล้ว ทรงแสดงธรรมแก่บริษัทผู้ถึงพร้อมแล้ว. เทศนานั้นได้มีประโยชน์แก่มหาชนฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาปฐมคูถขาทกเปตวัตถุที่ ๘