๑๒. อัมพวนเปตวัตถุ ว่าด้วยเปรตฝากทรัพย์ไปให้ลูกใช้หนี้
[เล่มที่ 49] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 577
มหาวรรคที่ ๔
๑๒. อัมพวนเปตวัตถุ
ว่าด้วยเปรตฝากทรัพย์ไปให้ลูกใช้หนี้
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 49]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 577
๑๒. อัมพวนเปตวัตถุ
ว่าด้วยเปรตฝากทรัพย์ไปให้ลูกใช้หนี้
พวกพ่อค้าได้ถามเวมานิกเปรตตนหนึ่งว่า :-
[๑๓๒] สระโบกขรณีของท่านนี้น่ารื่นรมย์ดี มีพื้นราบเรียบ มีท่าอันงดงาม มีน้ำมาก ดารดาษไปด้วยปทุมชาติต่างๆ มีดอกอันบานดีเกลื่อนกล่นด้วยหมู่ภมร ท่านได้สระโบกขรณีอันเป็นที่ฟูใจนี้อย่างไร สวนมะม่วงของท่านนี้น่ารื่นรมย์ดี เผล็ดผลทุกฤดู มีดอกบานเป็นนิตย์นิรันดร์ เกลื่อนกล่นด้วยหมู่ภมร ท่านได้วิมาน นี้อย่างไร.
เวมานิกเปรตนั้นตอบว่า :-
สระโบกขรณีมีร่มเงาอันเยือกเย็น น่ารื่นรมย์ใจ ข้าพเจ้าได้ในที่นี้ เพราะทานที่ธิดาของข้าพเจ้าถวายมะม่วงสุก น้ำ ข้าวยาคู แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย.
เวมานิกเปรตนั้น ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงนำพวกพ่อค้า ไปดูทรัพย์ ๕๐๐ กหาปณะ แล้วสั่งว่า พวกท่านจงถือเอาเป็นส่วนตัวกึ่งหนึ่งจากทรัพย์นี้ แล้วให้ธิดาของเราใช้หนี้ที่เรายืมเขามากึ่งหนึ่งเถิด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 578
พวกพ่อค้ากลับมาถึงเมืองสาวัตถีแล้ว ได้บอกแก่ธิดาของเปรตนั้น แล้วได้ให้ทรัพย์ส่วนที่เปรตนั้นให้แก่ตนแก่เทพธิดานั้น นางได้ให้กหาปณะร้อยกหาปณะแก่เจ้าหนี้แล้วให้ทรัพย์ที่เหลือแก่สหายของบิดา ส่วนตนรับทำการใช้สอยกฏุมพีนั้นอยู่ กฏุมพีนั้นกลับคืนทรัพย์นั้นให้แก่นาง แล้วยกนางให้เป็นภรรยาของบุตรชายคนหัวปี ต่อมาภายหลัง นางมีบุตรคนหนึ่ง ได้กล่าวคาถาเป็นเชิงกล่อมบุตรว่า :-
ขอท่านทั้งหลาย จงดูผลแห่งทานที่จะพึงเห็นเอง และผลของความข่มใจ ความสำรวม เราเป็นทาสีอยู่ในตระกูลของลูกเจ้า บัดนี้ มาเป็นลูกสะใภ้เป็นใหญ่ในเรือน.
ภายหลัง พระศาสดาทรงเห็นนางมีญาณแก่กล้าจึงทรงแผ่พระรัศมีไปแสดงพระองค์ให้ปรากฏ ดุจประทับอยู่เฉพาะหน้า แล้วได้ตรัสพระคาถานี้ความว่า :-
ความประมาทย่อมครอบงำบุคคลผู้ติดอยู่ในความยินดียินร้าย ในความรักความชังในทุกข์และสุข.
จบ อัมพวนเปตวัตถุที่ ๑๒
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 579
อรรถกถาอัมพวนเปตวัตถุที่ ๑๒
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภอัมพเปรต จึงตรัสพระคาถานี้มีคำเริ่มต้นว่า อยญฺจ เต โปกฺขรณี สุรมฺมา ดังนี้.
ได้ยินว่า ในกรุงสาวัตถี มีคฤหบดีคนหนึ่งผู้เสื่อมสิ้นจากโภคสมบัติ. ภริยาของเขาก็ตาย ยังมีธิดาคนเดียวเท่านั้น. เขาได้ให้ธิดานั้นไปอยู่เรือนมิตรของตน เอาเงินที่ยืมมา ๑๐๐ กหาปณะไปซื้อสิ่งของบรรทุกเกวียนไปค้าขาย ไม่นานนักก็ได้เงิน ๕๐๐ กหาปณะ อันเป็นกำไรพร้อมทั้งต้นทุนแล้วกับมาพร้อมด้วยเกวียน ในระหว่างทางพวกโจรดักซุ่มปล้นหมู่เกวียน. พวกหมู่เกวียนแตกกระจายหนีไป. ฝ่ายคฤหบดีนั้น ซ่อนกหาปณะไว้ที่กอไม้แห่งหนึ่งแล้ว แอบอยู่ในที่ไม่ไกล. พวกโจรจับคฤหบดีนั้นฆ่าทิ้งเสีย. เพราะความโลภในทรัพย์ เขาจึงบังเกิดเป็นเปรตในที่นั้นนั่นเอง.
พวกพ่อค้าไปยังกรุงสาวัตถี เล่าเรื่องนั้นให้ธิดาของเขาทราบ. ธิดานั้นเกิดโทมนัสอย่างยิ่ง ร่ำไรอย่างหนัก เพราะความตายของบิดา และเพราะภัยแห่งเลี้ยงชีพ. ลำดับนั้น กฏุมพีผู้เป็นสหายของบิดานั้น จงกล่าวปลอบโยนนางว่า ธรรมดาว่า ภาชนะดินทั้งหมดมีความแตกไปเป็นที่สุด ฉันใด ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายก็มีการแตกไปในที่สุด ฉันนั้นเหมือนกัน. ธรรมดาว่า ความตายย่อมทั่วไปแก่สรรพสัตว์ และไม่มีการตอบแทนได้ เพราะฉะนั้น เจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 580
อย่าเศร้าโศก อย่าปริเทวะ ถึงบิดาไปนักเลย เราจะเป็นบิดาของเจ้า เจ้าจงเป็นธิดาของเรา เราจะทำหน้าที่แทนบิดาของเจ้า เจ้าอย่าเสียใจ จงยินดีอยู่ในเรือนนี้ ให้เหมือนเรือนบิดาของเจ้าเถิด. หญิงนั้นสงบความเศร้าโศกลงได้ ตามคำของกฏุมพีนั้น เกิดความเคารพและความนับถือมากในกฏุมพีนั้น เหมือนในบิดาเป็นผู้มีปกติทำการขวนขวาย ประพฤติตามกฎุมพีนั้น โดยภาวะที่ตนเป็นคนกำพร้า ปรารถนาจะทำกิจเพื่อผู้ตาย อุทิศถึงบิดา จึงต้มข้าวยาคูแล้ว วางผลมะม่วงมีรสอร่อยสุกได้ที่เหมือนสีเหมือนมโนศิลา วางไว้ในถาดสัมฤทธิ์ให้ทาสีถือเอาข้าวยาคูและผลมะม่วง ไปยังวิหาร ถวายบังคมพระศาสดา กราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์จงทำความอนุเคราะห์ด้วยการรับทักษิณาของหม่อมฉัน พระศาสดามีพระมนัสอันพระมหากรุณากระตุ้นเตือน เมื่อจะทรงทำมโนรถของนางให้เต็มเปี่ยม จะแสดงอาการนั่ง. นางร่าเริงยินดี ได้ลาดผ้าอันบริสุทธิ์สะอาดที่ตนน้อมเข้าไปใน บวรพุทธอาสน์ที่บรรจงจัดไว้ถวาย. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทบนั่งบนอาสนะที่แล้ว.
ลำดับนั้น หญิงนั้นจึงน้อมข้าวยาคูเข้าไปถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับข้าวยาคูแล้ว ลำดับนั้น จึงถวายข้าวยาคูแม้แก่ภิกษุทั้งหลาย อุทิศสงฆ์แล้วล้างมือ น้อมผลมะม่วงเข้าไปถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าอีก. พระผู้พระภาคเจ้าทรงเสวยผลมะม่วงเหล่านั้น. นางถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 581
แล้ว กราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทักษิณาที่หม่อมฉันบำเพ็ญให้เป็นไปด้วยการถวายเครื่องลาด ข้าวยาคู และผลมะม่วงนั้น ขอจงถึงบิดาของหม่อมฉันเถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า จงสำเร็จอย่างนั้นเถิด แล้วทรงกระทำอนุโมทนา นางถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ทำประทักษิณแล้วหลีกไป. พอนางอุทิศ ส่วนบุญ เปรตนั้นก็กลับได้สวนมะม่วง วิมาน ต้นกัลปพฤกษ์ และสระโบกขรณี กับทิพยสมบัติอันใหญ่หลวง.
ครั้นสมัยต่อมา พ่อค้าเหล่านั้นเมื่อจะไปค้าขาย ได้เดินไปทางนั้นนั่นแหละ ได้พักแรมคืนหนึ่งในที่ที่ตนได้เคยอยู่มาก่อน. เปรตนั้นเห็นพ่อค้าเหล่านั้นแล้ว จึงแสดงตนแก่พ่อค้าเหล่านั้น พร้อมกับสวนและวิมานเป็นต้น. พ่อค้าเหล่านั้นเห็นดังนั้น เมื่อ จะถามถึงสมบัติที่เปรตนั้นได้มา จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถานี้ว่า :-
สระโบกขรณีของท่านนี้ น่ารื่นรมย์ดี มีพื้นที่ราบเรียบ มีท่างดงาม มีน้ำมาก ดารดาษไปด้วยปทุมชาติต่างๆ มีดอกอันบานสะพรั่ง เกลื่อนกล่นด้วยหมู่ภมร ท่านได้สระโบกขรณีอันเป็นที่ฟูใจนี้อย่างไร สวนมะม่วงของท่านนี้ น่ารื่นรมย์ดี เผล็ดผลทุกฤดูกาล มีดอกบานเป็นนิตย์นิรันดร์ เกลื่อนกล่นไปด้วยหมู่ภมร ท่าน ได้วิมานนี้อย่างไร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 582
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุรมฺมา แปลว่า น่ารื่นรมย์. บทว่า สมา แปลว่า มีพื้นที่ราบเรียบ. บทว่า สุติตฺถา ได้เก่ มีท่าดี เพราะมีบันไดแล้วด้วยแก้ว บทว่า มโหทกา แปลว่า มีน้ำมาก.
บทว่า สพฺโพตุกํ ได้แก่ นำมาซึ่งความสุขทุกฤดูกาล ด้วยต้นไม้ที่สะพรั่งไปด้วยดอกและผลเป็นต้น. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ย่อมเผล็ดผล ดังนี้. บทว่า สุปุปฺผิตํ แปลว่า บานสะพรั่งอยู่เป็นนิตย์.
เปรตได้ฟังดังนั้น เมื่อจะบอกถึงเหตุแห่งการได้สระโบกขรณีเป็นต้น จึงกล่าวคาถาว่า :-
สระโบกขรณีมีร่มเงาอันเยือกเย็น น่ารื่นรมย์ใจ ข้าพเจ้าได้ในที่นี้ เพราะทานที่ธิดาของข้าพเจ้าถวายมะม่วงสุก น้ำ ข้าวยาคู แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า และภิกษุสงฆ์.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เตน เม อิธ ลพฺภติ ความว่า เพราะทานที่ธิดาของข้าพเจ้าถวายมะม่วงสุก น้ำ และข้าวยาคูแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า และภิกษุสงฆ์ อุทิศข้าพเจ้า มะม่วงสุกอันเผล็ดผลทุกฤดูกาล ก็ได้สำเร็จเป็นน้ำทิพย์ในสระโบกขรณี อันเป็นที่ฟูใจอันเป็นทิพย์นี้ ด้วยการให้ข้าวยาคูและเครื่องลาด ย่อมให้สำเร็จเป็นสระโบกขรณี มีร่มเงาเยือกเย็น น่ารื่นรมย์ใจ ในสวน วิมาน และต้นกัลปพฤกษ์ เป็นต้นในที่นี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 583
ก็แลเปรตนั้น ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงนำพ่อค้าเหล่านั้นไปแสดงทรัพย์ ๕๐๐ กหาปณะนั้น แล้วกล่าวว่า ขอท่านจงรับเอากึ่งหนึ่งจากส่วนนี้ จงให้แก่ธิดาของเรา ด้วยประสงค์ว่า นางจงชำระหนี้ที่เรากู้เขามากึ่งหนึ่งตัวจงเป็นอยู่สบายเถิด. พ่อค้า ถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับแล้ว จึงบอกแก่ธิดาของเปรตนั้นแล้ว ได้ให้ส่วนที่เปรตนั้น ได้ให้แก่ตนแก่นางนั่นเอง. นางได้ใช้หนี้ทรัพย์ ๑๐๐ กหาปณะ แก่พวกเจ้าหนี้ นอกนั้นได้ให้แก่กฏุมพีนั้น ผู้เป็นสหายบิดาตน ส่วนตนเองทำการขวนขวายอยู่อาศัย. กฏุมพีนั้นได้ให้คืนแก่นางนั้นนั่นเอง ด้วยพูดว่า จงเป็นทรัพย์ของตัวเธอทั้งหมดเถอะ แล้วแต่งงานนางกับุตรคนโตของตน.
เมื่อกาลผ่านไป นางได้บุตรคนหนึ่ง เมื่อจะล้อเล่นกับบุตร จึงกล่าวคาถานี้ว่า :-
ขอท่านทั้งหลาย จงดูผลทานที่จะพึงเห็นเอง และผลแห่งความข่มใจ ความสำรวม เราเป็นทาสีอยู่ในตระกูลของลูกเจ้า บัดนี้ มาเป็นลูกสะใภ้ เป็นใหญ่ในตระกูล
ภายหลังวันหนึ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูนางว่ามีญาณแก่กล้า จึงทรงแผ่พระรัศมีไปแสดงพระองค์ให้ปรากฏ ประหนึ่งประทับอยู่เฉพาะหน้า แล้วได้ตรัสพระคาถานี้ความว่า :-
ความประมาทย่อมครอบงำบุคคลผู้ติดอยู่ในความยินดียินร้าย ในความรักความชัง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 584
ในทุกข์และสุข.
ในเวลาจบคาถา นางดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. ในวันที่สอง นางได้ถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทำเรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุ แล้วแสดงธรรม แก่บริษัทผู้ถึงพร้อมแล้ว. เทศนานั้นได้มีประโยชน์แก่มหาชน ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอัมพวนเปตวัตถุที่ ๑๒