๒. มหาโกฏฐิตเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระมหาโกฏฐิตะ
[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 54
เถรคาถา เอกนิบาต
วรรคที่ ๑
๒. มหาโกฏฐิตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระมหาโกฏฐิตะ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 50]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 54
๒. มหาโกฏฐิตเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระมหาโกฏฐิตะ
[๑๓๙] ได้ยินว่า ท่านพระมหาโกฏฐิตะ ได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
บุคคลผู้สงบ งดเว้นจากการทำความชั่ว พูดด้วยปัญญา ไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมกำจัดบาปธรรมทั้งหลาย เหมือนลมพัดใบไม้ไม่ให้ร่วงหล่นไป ฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 55
อรรถกถามหาโกฏฐิตเถรคาถา
คาถาของท่านพระมหาโกฏฐิตเถระ เริ่มต้นว่า อุปสนฺโต. ท่านมี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไร?
ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่าปทุมุตตระ แม้พระเถระนี้ก็บังเกิดในตระกูลที่มีโภคะมาก ในพระนครชื่อว่าหงสาวดี เจริญวัยเติบใหญ่แล้ว สืบทอดสมบัติ โดยที่มารดาบิดาล่วงลับไป อยู่ครอบครองเรือน วันหนึ่งเห็นชาวเมืองหงสาวดี ถือของหอมและระเบียบเป็นต้น มีจิตน้อมโน้ม โอนไปหาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เดินไปในเวลาเป็นที่แสดงธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ก็เดินเข้าไปพร้อมกับมหาชน เห็นพระศาสดาทรงแต่งตั้งภิกษุรูปหนึ่ง เป็นเอตทัคคะ เลิศกว่าภิกษุผู้บรรลุปฏิสัมภิทาทั้งหลายคิดว่า ได้ยินว่า ภิกษุนี้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้ถึงปฏิสัมภิทาในพระศาสนานี้ ไฉนหนอ แม้เราก็พึงถึงความเป็นผู้เลิศด้วยปฏิสัมภิทาญาณเหมือนภิกษุนี้ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ดังนี้ ในเวลาที่พระศาสดาจบพระธรรมเทศนาลง ก็ตรงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลอาราธนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงทรงรับภิกษาของข้าพระองค์ ในวันพรุ่งนี้ พระศาสดาทรงรับนิมนต์แล้ว.
เขาถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกระทำประทักษิณไปยังเรือนของตน ประดับตกแต่งที่สำหรับนั่งของพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ จัดแจงขาทนียโภชนียาหาร อันประณีตอยู่ตลอดคืนยังรุ่ง ครั้นรัตติกาลนั้นผ่านไป ก็อังคาสพระผู้มีพระภาคเจ้า มีภิกษุหนึ่งแสนรูปเป็นบริวาร ให้เสวยโภชนะแห่งข้าวสาลี อันหอมละมุน มีสูปะและพยัญชนะหลากรส มีข้าวยาคู
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 56
และของเคี้ยวหลายอย่างเป็นบริวาร ในเวลาเสร็จภัตกิจแล้ว คิดว่าเราปรารถนาตำแหน่งใหญ่มากหนอ ก็การถวายทานเพียงวันเดียว แล้วปรารถนาตำแหน่งนั้น ไม่สมควรแก่เราเลย เราจักถวายทานตลอด ๗ วัน โดยลำดับ แล้วจึงปรารถนา ดังนี้.
เขาถวายมหาทานอยู่ตลอด ๗ วัน โดยทำนองนั้นแหละ ในเวลาเสร็จภัตกิจแล้ว สั่งให้คนเปิดคลังผ้า วางผ้าเนื้อละเอียด พอทำจีวรอันมีราคาสูงสุด ไว้ที่บาทมูลของพระพุทธเจ้า และถวายไตรจีวรแด่ภิกษุแสนรูป เข้าไปเฝ้า พระตถาคตเจ้า แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นับย้อนหลังจากนี้ไป ๗ วัน พระองค์ทรงตั้งภิกษุรูปใดไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ แม้ข้าพระองค์ ก็พึงบวชในศาสนาของพระพุทธเจ้า ผู้จะเสด็จอุบัติในอนาคตกาล แล้วพึง เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ผู้บรรลุปฏิสัมภิทาญาณเถิด ดังนี้ แล้วหมอบลง แทบบาทมูลของพระศาสดา ทำความปรารถนาแล้ว.
พระศาสดา ทรงเห็นความสำเร็จแห่งความปรารถนาของเขาแล้ว ทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตกาล ในที่สุดแห่งแสนกัปนับแต่กัปนี้ไป พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโคดม จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก. ความปรารถนาของท่าน จักสำเร็จในศาสนาของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโคดม นั้น. แม้ในอปทานท่านก็กล่าวคาถาประพันธ์นี้ไว้ว่า
ในกัปนับจากภัทรกัปนี้ไปแสนหนึ่ง พระพิชิตมารทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้รู้แจ้งโลกทั้งปวง เป็นมุนี มีจักษุได้เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว พระองค์ตรัสสอน ทรงแสดงให้สัตว์รู้ชัดได้ ทรงยังสรรพสัตว์ให้ข้ามวัฏสงสาร ทรงฉลาดในเทศนา เป็นผู้เบิกบาน ทรงช่วยให้ประชาชนข้ามพ้นได้เป็นอันมาก พระองค์เป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 57
ผู้อนุเคราะห์ ประกอบด้วยพระกรุณา แสวงหาประโยชน์ให้สรรพสัตว์ ทรงยังเดียรถีย์ที่มาเฝ้า ให้ดำรงอยู่ในเบญจศีลได้ทุกคน เมื่อเป็นเช่นนี้ พระศาสนาจึงไม่มีความอากูล ว่างสูญจากเดียรถีย์ วิจิตรด้วยพระอรหันต์ผู้คงที่ มีความชำนิชำนาญ พระมหามุนีพระองค์นั้น สูงประมาณ ๕๘ ศอก มีพระฉวีวรรณงดงาม คล้ายทองคำล้ำค่า มีพระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ ครั้งนั้น อายุของสัตว์ยืนประมาณแสนปี พระชินสีห์พระองค์นั้น เมื่อดำรงพระชนม์อยู่โดยกาล ประมาณเท่านั้น ได้ทรงยังประชาชนเป็นอันมาก ให้ข้ามพ้นวัฏสงสารไปได้ ครั้งนั้นเราเป็นพราหมณ์ ผู้เรียนจบไตรเพท ในพระนครหงสาวดี ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ผู้เลิศกว่าโลกทั้งปวง แล้วสดับพระธรรมเทศนา ครั้งนั้นพระธีระเจ้าพระองค์นั้น ทรงตั้งสาวกผู้แตกฉานในปฏิสัมภิทา ฉลาดในอรรถ ธรรม นิรุตติ และปฏิภาณในตำแหน่งเอตทัคคะ เราได้ฟังดังนั้นแล้วก็ชอบใจ จึงได้นิมนต์พระชินวรเจ้า พร้อมด้วยพระสาวกให้เสวยและฉัน ถึง ๗ วัน ในกาลนั้น เรายังพระพุทธเจ้าผู้เปรียบด้วยสาคร พร้อมทั้งพระสาวกให้ครองผ้า แล้วหมอบลงแทบบาทมูล ปรารถนาฐานันดรนั้น ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าผู้เลิศ กว่าโลก ได้ตรัสว่า จงดูพราหมณ์ผู้สูงสุด ที่หมอบอยู่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 58
แทบเท้าผู้นี้ มีรัศมีเหมือนกลีบดอกบัว พราหมณ์นี้ ปรารถนาตำแหน่งแห่งภิกษุผู้แตกฉาน ซึ่งเป็นตำแหน่งประเสริฐสุด เพราะการบริจาคทานด้วยศรัทธานั้น และเพราะการสดับพระธรรมเทศนา พราหมณ์นี้จักเป็นผู้ถึงสุขในทุกภพ เที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่ จักได้สมมโนรถเช่นนี้ ในกัปนับแต่นี้ไปแสนหนึ่ง พระศาสดามีพระนามว่า โคดม ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พราหมณ์นี้จักเป็นธรรมทายาท ของพระศาสดาพระองค์นั้น จักเป็นโอรสอันธรรมเนรมิต เป็นสาวกของพระศาสดา มีนามว่าโกฏิฐิตะ เราได้ฟังพระพุทธพยากรณ์นั้นแล้ว เป็นผู้เบิกบาน มีจิตประกอบด้วยเมตตา บำรุงพระชินสีห์เจ้า ตราบเท่าสิ้นชีวิต ในครั้งนั้น เพราะเราเป็นผู้มีสติประกอบไปด้วยปัญญา เพราะผลแห่งกรรมนั้น และเพราะการตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เราได้เสวยราชสมบัติในเทวโลก ๓๐๐ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ครั้ง และได้เป็นเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์ โดยเวลาสุดคณานับ เพราะกรรมนั้นนำไป เราจึงเป็นผู้ถึงความสุขในทุกภพ เราท่องเที่ยวไปแต่ในสองภพ คือในเทวดาและมนุษย์ คติอื่นเราไม่รู้จัก นี้เป็นผลแห่งกรรมที่สั่งสมไว้ดี เราเกิดแต่ในสองตระกูล
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 59
ตระกูล คือตระกูลกษัตริย์ และตระกูลพราหมณ์ หาเกิดในตระกูลต่ำทรามไม่มี นี้เป็นผลแห่งกรรมที่ สั่งสมไว้ดี เมื่อถึงภพสุดท้าย เราเป็นบุตรของพราหมณ์ เกิดในตระกูลที่มีทรัพย์สมบัติมาก ในพระนครสาวัตถี มารดาของเราชื่อจันทวดี บิดาชื่ออัสสลายนะ ในคราวที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำบิดาเรา เพื่อความบริสุทธิ์ทุกอย่าง เราเลื่อมใสในพระสุคตเจ้า ได้ออกบวชเป็นบรรพชิต พระโมคคัลลานะ เป็นอาจารย์ พระสารีบุตร เป็นอุปัชฌาย์ เราตัดทิฏฐิพร้อมด้วยมูลรากเสียได้ ในเมื่อกำลังปลงผม และเมื่อกำลังครองผ้ากาสาวพัสตร์ก็ได้บรรลุพระอรหัต เรามีปรีชาแตกฉานในอรรถ ธรรม นิรุตติ และปฏิภาณ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เลิศกว่าโลก จึงทรงตั้งเราไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เราอันท่านพระอุปติสสะไต่ถามในปฏิสัมภิทา ก็แก้ได้ไม่ขัดข้อง ฉะนั้น เรา จึงเป็นผู้เลิศในพระศาสนา เราเผากิเลสทั้งหลายสิ้นแล้ว ถอนภพขึ้นได้หมดแล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูกพัน ดังช้างตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ การที่เราได้มาในสำนักของพระพุทธเจ้าของเรานี้ เป็นการมาดีแล้วหนอ วิชชา ๓ เราได้บรรลุแล้ว โดยลำดับ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำเสร็จแล้ว คุณพิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และ อภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า เราทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 60
เขาสั่งสมซึ่งบุญและญาณสมภาร ในภพนั้นๆ อย่างนี้แล้ว ท่องเที่ยว ไปๆ มาๆ ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล กรุงสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้. มารดาบิดาได้ขนานนามเขาว่า "โกฏฐิตะ".
โกฏฐิตมาณพนั้น เจริญวัยแล้ว เรียนไตรเพท สำเร็จศิลปศาสตร์ของพราหมณ์ วันหนึ่ง ไปยังสำนักของพระศาสดา ฟังธรรมแล้ว ได้มีศรัทธา บวชแล้ว จำเดิมแต่เวลาที่ได้อุปสมบทแล้ว บำเพ็ญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย เป็นผู้ชำนาญเชี่ยวชาญ ในปฏิสัมภิทาญาณ เข้าไปหาพระมหาเถระผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายแล้ว ถามปัญหาก็ดี เข้าเฝ้าพระทศพลแล้ว ทูลถามปัญหาก็ดี ก็ถามปัญหาเฉพาะในปฏิสัมภิทาเท่านั้น.
พระเถระรูปนี้ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุผู้บรรลุปฏิสัมภิทาทั้งหลาย เพราะเป็นผู้มีอธิการอันการทำไว้แล้วในภพนั้น และเพราะเป็นผู้มีความชำนาญ ที่สั่งสมไว้แล้ว ด้วยประการดังพรรณนามานี้
ครั้งนั้น พระศาสดาทรงกระทำมหาเวทัลลสูตร ให้เป็นอัตถุปปัติ ทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้บรรลุปฏิสัมภิทาญาณ โดยมีพระพุทธดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระมหาโกฏฐิตะเลิศกว่าพวกภิกษุสาวกของเราผู้บรรลุปฏิสัมภิทา. สมัยต่อมา เมื่อท่านเสวยวิมุตติสุขได้กล่าวคาถา โดยเปล่งเป็นอุทาน ได้ยินว่าท่านพระมหาโกฏฐิตะ ได้ภาษิตคาถานี้ ไว้อย่างนี้ว่า
บุคคลผู้สงบ งดเว้นจากการทำความชั่ว พูดด้วย ปัญญา ไม่ฟุ้งซ่าน ย่อมกำจัดบาปธรรมทั้งหลาย เหมือนลมพัดใบไม้ ให้ร่วงหล่นไปฉะนั้น ดังนี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 61
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปสนฺโต ความว่า บุคคล ชื่อว่า สงบแล้ว เพราะกระทำความสงบระงับ อินทรีย์ทั้งหลายมีมนะเป็นที่ ๖ โดยกระทำให้หมดพยศ.
บทว่า อุปรโต ความว่า งดคือเว้นจากการทำความชั่วทุกอย่าง. บทว่า มนฺตภาณี ความว่า ปัญญา ท่านเรียกว่า มันตา ก็บุคคล ชื่อว่า มันตภาณี เพราะพิจารณาด้วยปัญญานั้นแล้วจึงกล่าว. อธิบายว่า กล่าวโดยไม่ละความเป็นผู้กล่าวในกาลเป็นต้น. อีกอย่างหนึ่ง บุคคลชื่อว่า มนฺตภาณี เพราะกล่าวด้วยสามารถแห่งการกล่าวมนต์. อธิบายว่า เว้นคำที่เป็นทุพภาษิต กล่าวแต่คำที่เป็นสุภาษิต อันประกอบด้วยองค์ ๔ เท่านั้น โดยการกล่าวของตน. บุคคลชื่อว่า อนุทฺธโต (ไม่ฟุ้งซ่าน) เพราะไม่ฟุ้งซ่าน โดยการยกตน ด้วยสามารถแห่งชาติเป็นต้น. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า สงบแล้ว เพราะสงบกายทุจริต ๓ ได้ โดย เว้นขาดจากกายทุจริตนั้น ชื่อว่า งดเว้น เพราะงดเว้น คือ ละมโนทุจริต ทั้ง ๓ ได้. ชื่อว่า พูดด้วยปัญญา เพราะพูดละเมียดละไม ไม่ล่วงละเมิด วจีทุจริต ๔. ชื่อว่า ไม่ฟุ้งซ่าน เพราะไม่มีความฟุ้งซ่านอันเกิดแต่นิมิต คือ ทุจริต ๓ อย่าง. ก็ผู้ที่ตั้งอยู่ในศีลอันบริสุทธิ์ โดยละทุจริต ๓ อย่างได้ เช่นนี้ เป็นผู้มีจิตตั้งมั่น เพราะละอุทธัจจะได้กระทำสมาธินั้นแหละให้เป็นปทัฎฐาน เจริญวิปัสสนาแล้ว ย่อมชื่อว่า กำจัดบาปธรรมทั้งหลายได้ คือ ขจัดสังกิเลสธรรม ที่ชื่อว่าลามก เพราะเป็นที่ตั้งแห่งความลามกได้แม้ทุกอย่าง ตามลำดับแห่งมรรค ได้แก่ ละได้ด้วยสามารถแห่งสมุจเฉทปหาน. เหมือนอะไร? เหมือนลมพัดใบไม้ให้ร่วงไปฉะนั้น. อุปมาเหมือนลม (มาลุตะ) ย่อมกำจัดใบ คือ ใบที่เหลืองของต้นไม้ คือ ให้สลัดหลุดจากขั้ว ฉันใด ผู้ที่ตั้งอยู่ใน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 62
ข้อปฏิบัติ ตามที่กล่าวแล้วก็ฉันนั้น ย่อมนำบาปธรรมทั้งปวงออกจากสันดาน ของตนได้. พึงทราบว่า คาถานี้ของพระเถระ ก็จัดว่าเป็นคาถาพยากรณ์อรหัตตผลโดยการอ้างถึงพระอรหัตตผล.
ก็ในคาถานี้ ท่านแสดงถึงความบริสุทธิ์แห่งประโยค ด้วยการกล่าวถึง การละกายทุจริต และวจีทุจริต แสดงถึงความบริสุทธิ์แห่งอาสยะ ด้วยการ กล่าวถึงการละมโนทุจริต แสดงถึงการละนิวรณ์ ของท่านผู้มีประโยคและอาสยะบริสุทธิ์อย่างนี้ เพราะตั้งอยู่ในความไม่ฟุ้งซ่านนั้น ด้วยการกล่าวถึง ความไม่มีอุทธัจจะ นี้ว่า "อนุทฺธโต" บรรดาประโยค และอาสยะเหล่านั้น ศีลสมบัติย่อมแจ่มแจ้ง ด้วยความบริสุทธิ์แห่งประโยค. การกำหนดธรรมที่เป็น อุปการะต่อสมถภาวนา ย่อมแจ่มแจ้ง ด้วยความบริสุทธิ์แห่งอาสยะ สมาธิภาวนา ย่อมแจ่มแจ้ง ด้วยการละนิวรณ์. ปัญญาภาวนา ย่อมแจ่มแจ้ง ด้วยบาทคาถา นี้ว่า ธุนาติ ปาปเก ธมฺเม (ย่อมกำจัดบาปธรรมทั้งหลายได้).
ด้วยประการดังพรรณนามานี้ สิกขา ๓ มีอธิศีลสิกขาเป็นต้น คำสอนที่งาม ๓ อย่าง ปหาน ๓ มี ตทังคปหานเป็นต้น ข้อปฏิบัติโดยมัชฌิมาปฏิทา พร้อมกับการเว้นส่วนสุด ๒ อย่าง และอุบายเป็นเครื่องก้าวล่วงภพในอบาย เป็นต้น บัณฑิตพึงเอามาขยายประกอบความตามเหมาะสม. แม้ในคาถาที่เหลือ ก็พึงทราบการประกอบความตามสมควรโดยนัยนี้. ก็ข้าพเจ้าจะพรรณนาเพียงใจความเท่านั้น ในตอนหลัง ในคาถานั้นๆ. คำว่า อิตฺถํ สุทํ อายสฺมา มหาโกฏฺฐิโต ได้ยินว่า ท่านพระมหาโกฏฐิตะ (ได้ภาษิตคาถานี้ไว้) อย่างนี้ นี้ เป็นคำกล่าวยกย่องอย่างเดียวกันกับกล่าวยกย่องพระมหาโมคคัลลานะ ฉะนี้แล.
จบอรรถกถามหาโกฏฐิตเถรคาถา