๘. วีรเถรคาถา ว่าด้วยคาถาของพระวีรเถระ
[เล่มที่ 50] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 100
เถรคาถา เอกนิบาต
วรรคที่ ๑
๘. วีรเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระวีรเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 50]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 100
๘. วีรเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระวีรเถระ
[๑๔๕] ได้ยินว่า พระวีรเถระ ได้ภาษิตคาถานี้ ในเวลาภรรยาเก่า ไปเล้าโลม เพื่อให้สึกว่า
เมื่อก่อน ผู้ใด เป็นผู้อันบุคคลอื่นฝึกได้โดยยาก แต่เดี๋ยวนี้ ผู้นั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงฝึกฝนได้ดีแล้ว เป็นนักปราชญ์ มีความสันโดษ ข้ามความสงสัยได้แล้ว เป็นผู้ชนะกิเลสมาร ปราศจากขนลุกพอง ปราศจากความกำหนัด มีจิตตั้งมั่น ดับกิเลสและความ เร่าร้อนได้แล้ว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 101
อรรถกถาวีรเถรคาถา
คาถาของท่านพระวีรเถระเริ่มต้นว่า โย ทุทฺทมโย ดังนี้. เรื่องราว ของท่านเป็นมาอย่างไร?
ได้ยินว่า ในกัปที่ ๙๑ นับถอยหลังแต่ภัทรกัปนี้ ท่านปฏิบัติที่ประทับ
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า วิปัสสี. อยู่มาวันหนึ่ง ท่านเก็บดอกคนทิสอ มีลักษณะคล้ายกับดอกยางทราย มาบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า. ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย แล้วเกิดในตระกูลกษัตริย์ ในกัปที่ ๓๕ ถอยหลังแต่ภัทรกัปนี้ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ พระนามว่า มหาปตาปะ. ท้าวเธอเสวยราชย์โดยธรรมสม่ำเสมอ ยังหมู่สัตว์ ให้ตั้งอยู่ในทางสวรรค์ กลับมาเกิดเป็นเศรษฐีมีสมบัติมาก ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่ากัสสปะ. ในกัปนี้อีก บำเพ็ญทานแก่คนกำพร้าและคนเดินทางไกลเป็นต้น ได้ถวายขีรภัตรแก่พระสงฆ์ ท่านบำเพ็ญกองการบุญกุศลอันสำเร็จด้วยทาน และสั่งสมประโยชน์อื่นอีกเพื่อพระนิพพาน ในภพนั้นๆ ดังพรรณนามานี้ แล้วท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บังเกิดในตระกูลอมาตย์ของพระเจ้าปเสนทิ ในกรุงสาวัตถี ใน พุทธุบาทกาลนี้ คนทั้งหลายขนานนามท่านว่า วีระ.
ท่านเจริญวัยแล้ว ประกอบด้วยคุณทั้งหลาย มีความสมบูรณ์ด้วยพละ และชวนะเป็นต้น สมชื่อที่ตั้งให้ เป็นผู้กล้าหาญในสงคราม เมื่อมารดาบิดา จัดหาภรรยาให้ โดยการทำความผูกพัน ก็ได้บุตรคนเดียวเท่านั้น อันเหตุแห่งบุรพกรรม ตักเตือนอยู่เห็นโทษในกามทั้งหลายและในสงสารเกิดความสลดใจ บวชแล้ว
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 102
เพียรพยายามอยู่ ได้เป็นผู้มีอภิญญา ๖ ต่อกาลไม่นานเลย. สมดังคาถาประพันธ์ ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
เราเป็นคนเฝ้าพระอารามของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า วิปัสสี ได้ถือเอาดอกยางทรายไปบูชาพระพุทธเจ้า ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยดอกไม้ใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา ในกัปที่ ๓๕ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิองค์หนึ่ง เป็นจอมประชามีนามว่า มหาปตาปะ มีพละมาก คุณวิเศษ เหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า เราทำ สำเร็จแล้ว ดังนี้.
ก็ภรรยาเก่า (ของท่าน) ประสงค์จะให้พระเถระ ผู้บรรลุพระอรหัต อย่างนี้แล้ว ยับยั้งอยู่ด้วยความสุข อันเกิดแต่ผลสมาบัติ ให้สึก พยายามประเล้าประโลม โดยนัยต่างๆ ในระหว่างๆ วันหนึ่งไปถึงที่ท่านพักในกลางวัน เริ่มแสดงมายาหญิง มีเล่ห์มายาเป็นต้น. ลำดับนั้น ท่านพระวีระ คิดว่าหญิงคนนี้ เป็นคนโง่แท้หนอ ประสงค์จะเล้าโลมเรา อุปมาดุจมีความประสงค์ ให้เขาสิเนรุราชสั่นสะเทือน ด้วยลมปีกของลิ้นไรฉะนั้น ดังนี้แล้ว เมื่อจะแสดง ความที่กิริยาของหญิงนั้น ไม่มีประโยชน์ จึงได้ภาษิตคาถาว่า
เมื่อก่อน ผู้ใด เป็นผู้อันบุคคลอื่นฝึกได้โดยยาก แต่เดี๋ยวนี้ ผู้นั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงฝึกฝน ได้ดีแล้ว เป็นนักปราชญ์ มีความสันโดษ ข้ามความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้า 103
สงสัยได้แล้ว เป็นผู้ชนะกิเลสมาร ปราศจากขนพองสยองเกล้า ปราศจากความกำหนัด มีจิตตั้งมั่น ดับกิเลสและความเร่าร้อนได้แล้ว ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น เนื้อความของบททั้งหลายมีอาทิว่า โย ทุทฺทมโย ดังนี้ ข้าพเจ้ากล่าวไว้ในหนหลังแล้วทั้งนั้น. ส่วนคำ (ที่จะกล่าวต่อไป) นี้ เป็นเพียงโยชนา (คำประกอบความ) ในคาถานี้. เมื่อก่อนผู้ใด ชื่อว่าเป็นผู้ อันบุคคลอื่นฝึกได้ยาก เพราะยังมีกิเลสที่ยังไม่ได้ปราบ หรือเพราะอันข้าศึกทั้งหลาย ไม่สามารถเพื่อจะปราบ คือ เพื่อจะชนะในสนามรบได้ แต่บัดนี้ ผู้นั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ฝึกพระองค์แล้ว ทรงฝึกแล้วด้วยธรรมเครื่องฝึกอันสูงสุด ชื่อว่า เป็นนักปราชญ์ เพราะถึงพร้อมด้วยความเพียร คือ สัมมัปปธาน ๔ อย่าง จึงเป็นผู้มีความสันโดษ ข้ามความสงสัยได้แล้ว เป็นผู้ชนะกิเลสมาร ปราศจากความขนพองสยองเกล้า เป็นปราชญ์ ได้นามว่าวีระ ชื่อว่า ดับกิเลสและความเร่าร้อนได้ เพราะดับกิเลสได้โดยไม่มีส่วนเหลือ ต่อแต่นั้นไป ก็เป็นผู้มีจิตตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวด้วยมารเช่นท่านตั้ง ๑๐๐ ตน ๑,๐๐๐ ตน. หญิงนั้นฟังคำนั้นแล้ว คิดว่า เมื่อพระเถระผู้เป็นสามีของเรา ปฏิบัติได้เช่นนี้ การอยู่ครองเรือนของเราจะมีประโยชน์อะไร ดังนี้ เกิดความสลดใจ บวชในสำนักนางภิกษุณีทั้งหลาย เป็นผู้มีวิชชา ๓ ต่อกาลไม่นานเลย.
จบอรรถกถาวีรเถรคาถา