ชฎาสูตร - การถางชัฏคือกิเลส - ๒๓ มิ.ย. ๒๕๕o
สนทนาธรรมที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
พระสูตร ที่นำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ
วันเสาร์ ๒๓ มิ.ย. ๒๕๕๐ เวลา ๐๙:๐๐ - ๑๒:๐๐ น.
ชฏาสูตร
ว่าด้วยการถางชัฏคือกิเลส
จาก [เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 128
นำการสนทนาโดย..
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากร
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 128
๓. ชฏาสูตร
ว่าด้วยการถางชัฏคือกิเลส
[๖๐] เทวดาทูลถามว่า หมู่สัตว์รกทั้งภายใน รกทั้งภาย นอก ถูกรกชัฏหุ้มห่อแล้ว ข้าแต่พระ โคดม เพราะฉะนั้น ข้าพระองค์ขอถาม พระองค์ว่า ใครพึงถางรกชัฏนี้ได้.
[๖๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า นรชนผู้มีปัญญา ตั้งมั่นแล้วในศีล อบรมจิตและปัญญาให้เจริญอยู่ เป็นผู้มี ความเพียร มีปัญญารักษาตนรอด ภิกษุ นั้นพึงถางรกชัฏนี้ได้ ราคะก็ดี โทสะก็ดี อวิชชาก็ดี บุคคลเหล่าใด กำจัดเสียแล้ว บุคคลเหล่านั้น เป็นผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตัณหาเป็นเครื่องยุ่ง อันบุคคลเหล่านั้นสางเสียแล้ว นามก็ดี รูปก็ดี และรูปสัญญาก็ดี ย่อมดับหมดใน ที่ใด ตัณหาเป็นเครื่องยุ่งนั้น ย่อมขาด ไปในที่นั้น.
[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 129
อรรถกถากถาชฏาสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในชฏาสูตรที่ ๓ ต่อไป :- บัณฑิต พึงทราบเนื้อความแห่งคาถาว่า อนฺโตชฏา ดังต่อไปนี้
บทว่า ชฏา เป็นชื่อของตัณหาเพียงดังข่าย. จริงอยู่ ตัณหานั้นชื่อว่า ชฏา เพราะอรรถว่าเป็นดุจชัฏ กล่าวคือข่ายแห่งกิ่งไม้ทั้งหลาย มีกิ่งไม้ไผ่เป็นต้นด้วยอรรถว่าเกี่ยวประสานกันไว้ เพราะเกิดขึ้นซ้ำๆ ซากๆ ในอารมณ์ทั้งหลายมีรูปารมณ์ เป็นต้น ด้วยสามารถแห่งอารมณ์ทั้งต่ำและสูง. ก็ตัณหานี้นั้น เทพบุตรเรียกว่า ชัฏ (แปลว่ารก) ทั้งภายใน ชัฏทั้งภายนอก เพราะเกิดขึ้นในบริขารของตน และบริขารของผู้อื่น ทั้งในอัตภาพของตน และอัตภาพของผู้อื่น ทั้งในอายตนะภายในและอายตนะภายนอก. หมู่สัตว์ ยุ่งเหยิงแล้วด้วยชัฏ คือ ตัณหานั้นอันเกิดขึ้นอย่างนี้. อธิบายว่าต้นไม้ทั้งหลายมีไม้ไผ่เป็นต้น ยุ่งเหยิงแล้วด้วยชัฏคือกิ่งของไม้ทั้งหลายมีไม้ไผ่เป็นต้น ฉันใด ปชา คือ หมู่สัตว์แม้ทั้งหมดนี้ก็ยุ่งเหยิงแล้วด้วยชัฏคือตัณหาถูกตัณหานั้นผูกพันแล้ว ฉันนั้น. ก็เพราะหมู่สัตว์ถูกตัณหาผูกพันแล้วอย่างนี้ ฉะนั้น ข้าพระองค์จึงขอทูลถามพระองค์ว่า ตํ ตํ โคตม ปุจฺฉามิ ดังนี้ แปลว่าข้าแต่พระโคดม ข้าพระองค์ขอทูลถามพระองค์
บทว่า โคตม คือ เทวดาย่อมเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยพระโคตร
บทว่า โก อิมํ วิชฏเย ชฏํ แปลว่า ใครพึงถางชัฏนี้ ความว่า เทพบุตรนั้น ทูลถามว่า ใครพึงถาง คือใครสามารถเพื่อจะถางชัฏ (ตัณหา) อันรกรุงรังซึ่งตั้งอยู่ในโลกธาตุทั้ง ๓ นี้ได้
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงวิสัชนาเนื้อความนี้แก่เทพบุตรนั้น จงตรัสว่า สีเล ปติฏฺฐาย นโร สปญฺโญ จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ อาตาปิ นิปโก ภิกฺขุ โส อิมํ วิชฏเย ชฏํ นรชนผู้มีปัญญา ตั้งมั่นแล้วในศีล อบรมจิตและปัญญาให้เจริญอยู่ เป็นผู้มี ความเพียร มีปัญญารักษาตนรอด ภิกษุ นั้นพึงถางชัฏ (ตัณหา) นี้ได้. บรรดาบทเหล่านั้น
บทว่า สีเล ปติฏฺฐาย ได้แก่ ตั้งอยู่ในจตุปาริสุทธิศีล. ก็ในบทนี้พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้อันเทวดาทูลถามถึงชัฏคือ ตัณหาที่ผูกพันนระไว้ พระองค์จึงเริ่มคำว่า ศีล มิได้ทูลถามอย่างอื่น ก็มิได้ตรัสอย่างอื่น. เพราะว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงศีลในที่นี้ก็เพื่อทรงแสดงถึงที่พึ่งของนระผู้ถางชัฏ คือ ตัณหาที่ผูกพันไว้
บทว่า นโร ได้แก่ สัตว์
บทว่า สปญฺโญ ได้แก่ ผู้มีปัญญา โดยปฏิสนธิมาด้วยปัญญาอันเป็นไตรเหตุอันเกิดแต่กรรม
บทว่า จิตฺตํ ปญฺญญฺจ ภาวยํ ได้แก่ ยังสมาธิและปัญญาให้เจริญอยู่. จริงอยู่ ข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส สมาบัติ ๘ ไว้ด้วยหัวข้อแห่งจิต ตรัสวิปัสสนาไว้โดยชื่อว่า ปัญญา
บทว่า อาตาปี แปลว่า มีความเพียร. จริงอยู่ ความเพียร ตรัสเรียกว่า อาตาปะ เพราะอรรถว่าเป็นเครื่องเผากิเลสทั้งหลายให้เร่าร้อน. ความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลสของนระนั้นมีอยู่ เหตุนั้น นระผู้มีความเพียรนั้นจึงชื่อว่า อาตาปี แปลว่า ผู้มีความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลสให้เร่าร้อน
ในบทว่า นิปโก นี้ ตรัสเรียกปัญญาว่า เนปกะ. อธิบายว่า นระผู้ประกอบด้วยปัญญา ชื่อว่า เนปกะ นั้น. ทรงแสดงปาริหาริยปัญญา
ด้วยบทว่า นิปโก นี้ อธิบายว่า ปัญญาอันเป็นเหตุที่บุคคลพึงบริหารให้สำเร็จกิจทั้งปวง โดยนัยว่า นี้เป็นกาลสมควรเพื่อเรียน (อุเทศ) นี้เป็น กาลสมควรเพื่อสอบถาม (ปริปุจฉา) เป็นต้น ชื่อว่า ปาริหาริยปัญญา. ในปัญหาพยากรณ์นี้ ปัญญามา ๓ วาระ. ในปัญญาเหล่านั้น ปัญญาที่หนึ่ง ชื่อว่า สชาติปัญญา (ปัญญามีมาพร้อมกับการเกิด) ปัญญาที่สอง ชื่อว่า วิปัสสนาปัญญา. ปัญญาที่สาม ชื่อว่า ปาริหาริยปัญญา อันเป็นเครื่องนำไปในกิจทั้งปวง
บทว่า ภิกฺขุ มีวิเคราะห์ว่า ผู้ใดย่อมเห็นภัยในสงสาร เหตุนั้นผู้นั้นจึงชื่อว่า ภิกษุ
บทว่า โส อิมํ วิชฏเย ชฏํ ความว่า ภิกษุนั้นพึงถางชัฏนี้ได้ ได้แก่ ภิกษุนั้นเป็นผู้ประกอบด้วยคุณทั้งหลายมีสีลาทิคุณเป็นต้นเหล่านี้๒ อธิบายว่า ภิกษุอาศัยแผ่นดินคือศีล แล้วยกศาสตราคือวิปัสสนาปัญญาอันตนลับดีแล้วด้วยศิลาคือสมาธิ ด้วยมือคือปาริหาริยปัญญาอันกำลังคือความเพียร ประดับประคองแล้ว พึงถาง พึงตัด พึงทำลายซึ่งชัฏคือตัณหาอันประจำอยู่ในสันดานแห่งตนนั้นแม้ทั้งหมด. เปรียบเหมือนบุรุษผู้ยืนบนแผ่นดินยกศาสตราอันตนลับดีแล้ว พึงถางกอไผ่ใหญ่ ฉะนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสเสกขภูมิด้วยคำมีประมาณเท่านี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงถึงพระมหาขีณาสพผู้ถางชัฏ (ตัณหา) แล้วดำรงอยู่ จึงตรัสคำว่า เยสํ ราโค จ โทโส จ อวิชฺชา จ วิราชิตา ขีณาสวา อรหนฺโต เตสํ วิชฺชิตา ชฏา ราคะก็ดี โทสะก็ดี อวิชชาก็ดี อัน บุคคลเหล่าใดกำจัดได้แล้ว บุคคลเหล่านั้นมีอาสวะสิ้นแล้ว เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตัณหาเป็นเครื่องยุ่งอันบุคคลเหล่านั้นสาง ได้แล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงพระขีณาสพผู้ถางซึ่งชัฏ คือ ตัณหา อย่างนี้แล้วดำรงอยู่ เมื่อจะทรงแสดงโอกาสเป็นเครื่องถางชัฏอีก จึงตรัสคำว่า ยตฺถ นามญฺจ รูปญฺจ อเสสํ อุปรุชฺฌติ ปฏิฆรูปสญฺญา จ เอตฺถ สา ฉิชฺชเต ชฏา นามก็ดี รูปก็ดี ปฏิฆสัญญาและรูป สัญญาก็ดี ย่อมดับไม่เหลือในที่ใด ตัณหา เป็นเครื่องยุ่งนั้น ย่อมขาดไปในที่นั้น
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นามํ ได้แก่ อรูปขันธ์ ๔.
ในบทว่า ปฏิฆรปสญฺญา นี้ ท่านถือเอากามภพด้วยอำนาจแห่งปฎิฆสัญญา ถือเอารูปภพด้วยอำนาจแห่งรูปสัญญา. เมื่อภพทั้ง ๒ เหล่านั้น ทรงถือเอาแล้ว อรูปภพก็เป็นอันถือเอาแล้วโดยสังเขปแห่งภพนั่นแหละ
ในบทว่า เอตฺเถสา ฉิชฺชเต ชฏา นี้ แปลว่า ตัณหาเป็นเครื่องยุ่งย่อมขาดไปในที่นั้น คือ ว่าตัณหาอันเป็นเครื่องยุ่งเหยิงนี้ ย่อมขาดไปในที่เป็นที่สิ้นสุดลงแห่งวัฏฏะอันเป็นไปในภูมิ ๓ คือว่าอาศัยพระนิพพานแล้วย่อมขาดย่อมดับไป ดังนี้ นี้เป็นอรรถอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว ดังนี้แล
จบ อรรถกถาชฏาสูตร ที่ ๓